นับได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังที่มี 'ความทะเยอทะยาน' สูงมาก ด้วยความที่กรอบและแนวทางของมันติดอยู่บนหลักของความเป็นจริง กล่าวคือชีวิตปกติที่เป็นอยู่ทั่วไปบนโลกมนุษย์ ในบทเรื่องราวที่ไม่มีความอัศจรรย์เหนือจริง ในโลกที่บทภาพยนตร์และลายเส้นสาดสีบนหน้ากระดาษไม่อาจเป็นสิ่งอื่นใดได้นอกจาก
'ความเพ้อฝัน'
ในโลกที่ 'ยอดวีรบุรุษและเหล่าร้ายจอมพลัง' ไม่มีอยู่จริง
ข้ามคืนผ่านพ้นไป
เราลืมตาและหลงใหล
ชายที่โหนใยปราบเหล่าร้าย
ชายในชุดค้างคาวจอมเงียบครึม
หรือยอดมนุษย์ผู้โบยบินผ่านฟากฟ้า
เราหลับตาและหลับใหล
ไปกับทรงจำของจินตนาการ
ชายในร่างเกราะเหล็ก
หญิงสาวผู้ถือโล่เหล็กกล้า
ชายหนุ่มเคราหนาผู้คุยกับปลาใต้น้ำ
ฮีโร่และวีรบุรุษ
โลกความฝันที่เราแต่งเติม
และถ้าหากว่าในวันหนึ่งเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความเพ้อฝันล่ะ
หากเราตื่นขึ้นมาและพบว่าคนข้างบ้านคุณกำลังยกกองไม้ขนาดใหญ่ด้วยแขนข้างเดียว
หญิงชราแก่เจ้าจองร้านจานโปรดของคุณสามารถเสกไฟขึ้นจากมือได้
ถ้าพวกเขาไม่ใช่แค่จินตนาการ
ถ้าเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องจริง
เคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
และโลกที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร?
..........................................................................
Glass
คือเรื่องราวที่สานต่อจาก Spilt(2016) และ Unbreakable(2000) ของผู้กำกับเดียวกัน
M. Night Shyamalan
เนื้อหาคือสิ่งที่สื่อออกมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยอารมณ์และเรื่องราวที่เรียบเรียงผ่านมุมมองของตัวละครต่างๆในเรื่อง ผนวกรวมเข้ากับมุมกล้องและวิธีการถ่ายทำ มุมองศาและโทนของภาพเคลื่อนไหว มันจึงสามารถโน้มน้าวให้คุณคล้อยตามได้ไม่ยาก ว่าสิ่งที่ปรากฎบนจอนั้นคือ 'เรื่องจริง'
และนั้นก็คือสิ่งที่ 'เจ๋ง'ที่สุดของหนังเรื่องนี้
แต่ด้วยความที่ท้ายที่สุด
หนังก็ยังคงเป็นหนังอยู่
และนี่ก็คือสิ่งที่ยังคงเป็น'ความจริง'อยู่วันยันค่ำ
บนเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมนั้นกลับเต็มไปด้วยบาดแผลและช่องโหว่อยู่พอสมควร รวมถึงความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่แม้แต่หนังสือการ์ตูนที่ว่าเหนือจริงนั้นก็ยังไม่เขียนกัน
และถ้าหากคุณไม่ได้สนุกไปกับเนื้อหาแนวจิตวิทยาหนักๆ กับความสมจริ๊งสมจริงที่หนังพยายามจะสื่อ
คุณก็จะไม่ได้อะไรจากมันเลยนอกจากหนังน่าเบื่อสักเรื่องนึง
เพราะตลอดความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงนิดๆ มันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากพูด พูด พูด และก็พูดกัน ปิดท้ายด้วยฉากต่อสู้นิดหน่อย ที่ในพ.ศ.นี้ก็น่าจะไม่ใช่อะไรแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก
ในทางกลับกัน หากคุณเป็นคนประเภทที่สามารถสนุกกับเนื้อหาทั้งหมดที่ผมได้กล่าวไป นี่จะเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ดีสำหรับคุณ อีกทั้งยังเป็นการเติมเต็มเรื่องราวในจักรวาลหนังของ เอ็ม ไนท์ ชามาลานได้อย่างลงตัว และยังไม่วายทิ้งปมเรื่องตอนท้ายให้ได้ถกเถียงกันหลังจากดูจบ สร้างความน่าสนใจได้อีกว่าอะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
และถ้าคิดไปคิดมา นอกจากตัวหนังที่ได้ขบคิดแล้ว ดีไม่ดีคุณอาจจะค้นพบความจริงอะไรบางอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงความฝันก็ได้
ใครจะรู้?
Glass(2018) กับความจริงและฝันเฟื่อง
'ความเพ้อฝัน'
ในโลกที่ 'ยอดวีรบุรุษและเหล่าร้ายจอมพลัง' ไม่มีอยู่จริง
ข้ามคืนผ่านพ้นไป
เราลืมตาและหลงใหล
ชายที่โหนใยปราบเหล่าร้าย
ชายในชุดค้างคาวจอมเงียบครึม
หรือยอดมนุษย์ผู้โบยบินผ่านฟากฟ้า
เราหลับตาและหลับใหล
ไปกับทรงจำของจินตนาการ
ชายในร่างเกราะเหล็ก
หญิงสาวผู้ถือโล่เหล็กกล้า
ชายหนุ่มเคราหนาผู้คุยกับปลาใต้น้ำ
ฮีโร่และวีรบุรุษ
โลกความฝันที่เราแต่งเติม
และถ้าหากว่าในวันหนึ่งเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความเพ้อฝันล่ะ
หากเราตื่นขึ้นมาและพบว่าคนข้างบ้านคุณกำลังยกกองไม้ขนาดใหญ่ด้วยแขนข้างเดียว
หญิงชราแก่เจ้าจองร้านจานโปรดของคุณสามารถเสกไฟขึ้นจากมือได้
ถ้าพวกเขาไม่ใช่แค่จินตนาการ
ถ้าเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องจริง
เคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
และโลกที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร?
..........................................................................
Glass
คือเรื่องราวที่สานต่อจาก Spilt(2016) และ Unbreakable(2000) ของผู้กำกับเดียวกัน
M. Night Shyamalan
เนื้อหาคือสิ่งที่สื่อออกมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยอารมณ์และเรื่องราวที่เรียบเรียงผ่านมุมมองของตัวละครต่างๆในเรื่อง ผนวกรวมเข้ากับมุมกล้องและวิธีการถ่ายทำ มุมองศาและโทนของภาพเคลื่อนไหว มันจึงสามารถโน้มน้าวให้คุณคล้อยตามได้ไม่ยาก ว่าสิ่งที่ปรากฎบนจอนั้นคือ 'เรื่องจริง'
และนั้นก็คือสิ่งที่ 'เจ๋ง'ที่สุดของหนังเรื่องนี้
แต่ด้วยความที่ท้ายที่สุด
หนังก็ยังคงเป็นหนังอยู่
และนี่ก็คือสิ่งที่ยังคงเป็น'ความจริง'อยู่วันยันค่ำ
บนเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมนั้นกลับเต็มไปด้วยบาดแผลและช่องโหว่อยู่พอสมควร รวมถึงความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่แม้แต่หนังสือการ์ตูนที่ว่าเหนือจริงนั้นก็ยังไม่เขียนกัน
และถ้าหากคุณไม่ได้สนุกไปกับเนื้อหาแนวจิตวิทยาหนักๆ กับความสมจริ๊งสมจริงที่หนังพยายามจะสื่อ
คุณก็จะไม่ได้อะไรจากมันเลยนอกจากหนังน่าเบื่อสักเรื่องนึง
เพราะตลอดความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงนิดๆ มันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากพูด พูด พูด และก็พูดกัน ปิดท้ายด้วยฉากต่อสู้นิดหน่อย ที่ในพ.ศ.นี้ก็น่าจะไม่ใช่อะไรแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก
ในทางกลับกัน หากคุณเป็นคนประเภทที่สามารถสนุกกับเนื้อหาทั้งหมดที่ผมได้กล่าวไป นี่จะเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ดีสำหรับคุณ อีกทั้งยังเป็นการเติมเต็มเรื่องราวในจักรวาลหนังของ เอ็ม ไนท์ ชามาลานได้อย่างลงตัว และยังไม่วายทิ้งปมเรื่องตอนท้ายให้ได้ถกเถียงกันหลังจากดูจบ สร้างความน่าสนใจได้อีกว่าอะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
และถ้าคิดไปคิดมา นอกจากตัวหนังที่ได้ขบคิดแล้ว ดีไม่ดีคุณอาจจะค้นพบความจริงอะไรบางอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงความฝันก็ได้
ใครจะรู้?