- เห็นทางฝั่งเมืองนอกและไทยเสียงแตกมาก โดยเฉพาะฝั่งนอกที่ทุกคนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นี่คือผลงานที่น่าผิดหวัง" ก่อนจะดูเลยตื่นเต้นมากว่าตัวเองจะอยู่ในฝั่งไหน ซึ่งพอดูจบแล้วก็พูดได้เต็มปากเลยว่า "ชอบ" แต่นี่คือ 1 ในหนังที่รีวิวยากที่สุดเรื่องนึงที่เคยดูมา เพราะมันมีทั้งจุดที่ดีมากๆและแย่มากๆในเรื่องเดียวกัน
- ถ้าวิจารณ์ในฐานะที่เป็นภาคสุดท้ายของแฟรนไชนส์นี้ ก็ต้องบอกเลยว่า "Glass คือภาคที่แย่ที่สุด" ในเมื่อเป็นบทสรุปทั้งที ทุกตัวละครควรมี Storyline ที่ชัดเจน เปิดและขมวดจบลงอย่างสมบูรณ์ แต่ในเรื่องมีเพียงแค่ The Beast ที่ลงลึกและเด่นที่สุด ส่วน David Dunn กับ Mr.Glass นอกจากจะไม่ค่อยเด่นแล้ว บทที่เขียนให้ทั้ง 2 คนก็ไม่ค่อยดี ไม่สมศักดิ์ศรีความเป็นตัวเอกของ Unbreakable เลย ยิ่งใครชอบเรื่อง Unbreakable ที่สุดจะยิ่งผิดหวัง เพราะ Arc ของ David Dunn และลูกถูกโฟกัสน้อยสุด
- ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ Unbreakable กับ Spilt แต่ทั้ง 2 เรื่องนี้มีการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะเหมือน Glass เพราะภาคนี้เป็นการรวมหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน องก์ 1-2 เป็นหนัง Psychological Thriller ส่วนองก์ 3 เปลี่ยนมาเป็นหนังฮีโร่เต็มตัว นอกจากนี้ยังแบ่งการโฟกัสตัวละครอีก (ช่วงแรก - David Dunn / ช่วงกลาง - The Beast / ช่วงท้าย - Mr.Glass) ซึ่งถ้าบาลานซ์ดีๆ มันก็คงจะดีกว่านี้
- แต่ถ้าวิจารณ์มันในฐานะ "หนัง Superhero สไตล์เอ็มไนท์" แล้วล่ะก็... ต้องยกให้ 4 ดาวเลย คิดดูสิ ท่ามกลางหนังฮีโร่มาร์เวลและดีซีที่เราดูกันมาจนเอียน เรื่องนี้คือหนังฮีโร่ที่แตกต่างที่สุดในรอบหลายปี ทั้งความเรียล, สกอร์แบบหนังสยอง, มุมกล้องแปลกๆ และความหักมุมแบบไนท์ๆ โดยเฉพาะองก์ 3 ที่เป็นการ Showdown ที่สนุกมาก ถึงจะไม่ได้จัดเต็ม CG อลังการแบบเรื่องอื่น แต่ถ้าใครชอบแนวเรียลๆ จะต้องโดนใจสุดๆ
- สำหรับเรา สิ่งที่ชอบที่สุดใน Glass ก็คือ "ความสัมพันธ์ของ The Beast และ Casey" ประเด็นนี้พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะจะ Spoil แต่มันเขียนมาดีมาก สาเหตุส่วนนึงที่มันดีขนาดนี้ เพราะมันถูกปูทางมาตั้งแต่ใน Split แล้วพอเอามาขยายมันเลยซึ้งกินใจมาก ทำเอาหลายคนอิน บางคนถึงขั้นเสียน้ำตาเลย เป็นการต่อยอดตัวละครทั้ง 2 ได้โคตรดี
- และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เวลาพูดถึงหนัง M.Night ก็คือ "จุดหักมุม" ก่อนจะดู เห็นว่าฝั่งเมืองนอกเกลียดกันมาก ถึงขั้นโมโห มีหลายคนที่บอกว่าดีมาทั้งเรื่อง แต่มาพังเพราะจุดหักมุม... ซึ่งพอดูแล้ว ไม่คิดอย่างนั้นเลยสักนิด ส่วนตัวชอบจุดหักมุมและบทสรุปเรื่องนี้ รู้สึกว่ามันน่าสนใจแถมปิดได้อลัง
Glass (2019) - ⭐⭐⭐ [แย่ที่สุดใน 3 ภาค แต่...!]
- เห็นทางฝั่งเมืองนอกและไทยเสียงแตกมาก โดยเฉพาะฝั่งนอกที่ทุกคนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นี่คือผลงานที่น่าผิดหวัง" ก่อนจะดูเลยตื่นเต้นมากว่าตัวเองจะอยู่ในฝั่งไหน ซึ่งพอดูจบแล้วก็พูดได้เต็มปากเลยว่า "ชอบ" แต่นี่คือ 1 ในหนังที่รีวิวยากที่สุดเรื่องนึงที่เคยดูมา เพราะมันมีทั้งจุดที่ดีมากๆและแย่มากๆในเรื่องเดียวกัน
- ถ้าวิจารณ์ในฐานะที่เป็นภาคสุดท้ายของแฟรนไชนส์นี้ ก็ต้องบอกเลยว่า "Glass คือภาคที่แย่ที่สุด" ในเมื่อเป็นบทสรุปทั้งที ทุกตัวละครควรมี Storyline ที่ชัดเจน เปิดและขมวดจบลงอย่างสมบูรณ์ แต่ในเรื่องมีเพียงแค่ The Beast ที่ลงลึกและเด่นที่สุด ส่วน David Dunn กับ Mr.Glass นอกจากจะไม่ค่อยเด่นแล้ว บทที่เขียนให้ทั้ง 2 คนก็ไม่ค่อยดี ไม่สมศักดิ์ศรีความเป็นตัวเอกของ Unbreakable เลย ยิ่งใครชอบเรื่อง Unbreakable ที่สุดจะยิ่งผิดหวัง เพราะ Arc ของ David Dunn และลูกถูกโฟกัสน้อยสุด
- ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ Unbreakable กับ Spilt แต่ทั้ง 2 เรื่องนี้มีการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะเหมือน Glass เพราะภาคนี้เป็นการรวมหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน องก์ 1-2 เป็นหนัง Psychological Thriller ส่วนองก์ 3 เปลี่ยนมาเป็นหนังฮีโร่เต็มตัว นอกจากนี้ยังแบ่งการโฟกัสตัวละครอีก (ช่วงแรก - David Dunn / ช่วงกลาง - The Beast / ช่วงท้าย - Mr.Glass) ซึ่งถ้าบาลานซ์ดีๆ มันก็คงจะดีกว่านี้
- แต่ถ้าวิจารณ์มันในฐานะ "หนัง Superhero สไตล์เอ็มไนท์" แล้วล่ะก็... ต้องยกให้ 4 ดาวเลย คิดดูสิ ท่ามกลางหนังฮีโร่มาร์เวลและดีซีที่เราดูกันมาจนเอียน เรื่องนี้คือหนังฮีโร่ที่แตกต่างที่สุดในรอบหลายปี ทั้งความเรียล, สกอร์แบบหนังสยอง, มุมกล้องแปลกๆ และความหักมุมแบบไนท์ๆ โดยเฉพาะองก์ 3 ที่เป็นการ Showdown ที่สนุกมาก ถึงจะไม่ได้จัดเต็ม CG อลังการแบบเรื่องอื่น แต่ถ้าใครชอบแนวเรียลๆ จะต้องโดนใจสุดๆ
- สำหรับเรา สิ่งที่ชอบที่สุดใน Glass ก็คือ "ความสัมพันธ์ของ The Beast และ Casey" ประเด็นนี้พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะจะ Spoil แต่มันเขียนมาดีมาก สาเหตุส่วนนึงที่มันดีขนาดนี้ เพราะมันถูกปูทางมาตั้งแต่ใน Split แล้วพอเอามาขยายมันเลยซึ้งกินใจมาก ทำเอาหลายคนอิน บางคนถึงขั้นเสียน้ำตาเลย เป็นการต่อยอดตัวละครทั้ง 2 ได้โคตรดี
- และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เวลาพูดถึงหนัง M.Night ก็คือ "จุดหักมุม" ก่อนจะดู เห็นว่าฝั่งเมืองนอกเกลียดกันมาก ถึงขั้นโมโห มีหลายคนที่บอกว่าดีมาทั้งเรื่อง แต่มาพังเพราะจุดหักมุม... ซึ่งพอดูแล้ว ไม่คิดอย่างนั้นเลยสักนิด ส่วนตัวชอบจุดหักมุมและบทสรุปเรื่องนี้ รู้สึกว่ามันน่าสนใจแถมปิดได้อลัง