ก่อนอื่นขอฝากเพจไว้ในอ้อมอกอ้มใจของทุกคนด้วยน๊า ^^
ไปเที่ยวมาก็หลายทริป แต่ทริบนี้จะเป็นทริปแรกเลยที่จะไปเที่ยวกันแบบไม่มีรถ เพราะเกิดจากความอยากลองนั่งรถบัสวีไอพีล้วนๆ
เราเลือกเวลาออกจากกรุงเทพ 2 ทุ่ม เพื่อที่จะให้ไปถึงที่เชียงคานตอนเช้า
วันเดินทาง.... เราต้องเอาใบที่เราชำระเงินไปแลกเป็นตั๋วที่เค้าเจอร์ซันบัสชั้น 2 ซึ่งอยู่สุดทางเดินเลย พอได้ตั๋วแล้วเจ้าหน้าที่จะบอกให้เราเดินไปตรงที่รถจอด ซึ่งสามารถเดินทะลุทางออกแล้วลงบันไดเลื่อนมาได้เลย
เราเลือกซันบัสเพราะเป็นวีไอพี 24 ที่นั่ง เเล้วเท่าที่อ่านๆรีวิวมาก็มีแต่คนบอกว่าดีเลย
สำหรับการนั่งรถบัสวีไอพีครั้งแรก ถือว่าโอเคมากเลย ที่นั่งกว้าง หลับสบาย มีที่เสียบชาตจ์แบตUSB ด้วย ชอบตรงนี้สุด
ถ้าใครมาคนเดียวเค้าก็มีที่นั่งเดี่ยวไว้ด้วย ดีมากๆเลย
รถออกจากหมอชิตประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ถึงเชียงคานประมาณตี4ครึ่ง ถึงเร็วกว่าเวลากำหนดในตาราง เกือบ 2 ชั่วโมง
พอลงรถบัสมาก็จะเจอวินสกายแลปคอยมาถามไถ่เราว่า จะไปไหน เนื่องจากถึงกันเช้ามาก เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูหมอกและแสงแรกของวันที่ภูทอก ตกลงราคากับลุงเรียบร้อย ค่ารถคนละ 200 บาท ได้ไป 3 ที่คือ ภูทอก วัดพระบาทควายเงิน และแก่งคุดคู้ จากท่ารถใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่ภูทอก แต่ต้องต่อรถขึ้นไปบนภูอีกเสียค่าบริการคนละ 25 บาท
พอมาข้างบนก็เห็นว่ามีเริ่มคนจับจองพื้นที่รอดูแสงแรกของวัน เราก็ไม่รอช้า หาที่ยืนที่ติดระเบียงที่สุด
ยืนตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าเริ่มสว่างไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเลย
นี่คือหมอกที่เราได้เจอกัน อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานมีฝนตก ฟ้าเลยไม่เปิด จนสุดท้ายถอดใจยอมลงมาจากภู
พอลงมาก็จะเจอคุณลุงนั่งรออยู่แถวๆนั้น และบรรยากาศตอนนี้ช่างแตกต่างกับตอนเช้ามืดมาก ร้านค้าเยอะและคนก็เยอะขึ้นมาก
ขอเดินหาของกินรองท้องกันสักหน่อย ใส้กรอกอีสานนี่ที่อร่อยมาก
สำหรับคอกาแฟ มีให้เลือกมากมายหลายร้านเลย อันนี้ถ่ายมาให้คร่าวๆ
พอได้ชื่ชมบรรยากาศกันพอสมควรก็เดินกลับมาหาคุณลุง ให้พาไปที่ถัดไปเลยจ้า ที่ที่สองที่คุณลุงพามาก็คือ วัดพระบาทภูควายเงิน ขับมาจากภูทอกประมาณวัก 15-20 นาทีได้ ลุงจะจอดรอตรงทางขึ้นวัด แล้วโทรเรียกรถลงมารับเราไปข้างบน เพราะรถสกายแลปขึ้นไปข้างบนไม่รอดแน่ๆ แต่ถ้าใครมีรถส่วนตัวก็ขับขึ้นไปได้น๊ะจ๊ะ
มาแล้วต้องสักการะ รอยพระพุทธบาท
จุดชมวิว พลาดจากหมอกที่ภูทอก มาเจอที่นี่นิดหน่อยก็ยังโอเค
พอลงมาจากวัดคุณลุงก็พาไปต่อที่แก่งคุดคู้ ที่นี่มีทั้งของกินของขาย และร้านอาหาร ถ้าใครมีเวลาอยากจะลองร่องเรือชมแม่น้ำโขงก็ได้เลย แต่เราขอแค่เดินเล่นนิดๆหน่อยๆก็พอ เพราะเริ่มจะง่วงกันแล้ว ฮ่าๆ
มองผ่านๆ ก็แอบเหมือนฟูจิเหมือนกันนะเนี่ย
ได้แนวสวีท วี๊ดวิ๊ว
เราอยู่ที่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ให้คุณลุงไปส่งที่ที่พัก คืนแรกเราเลือกพักกันที่ หม่อลาว ราคา 1200 รวมอาหารเช้า สำหรับฤดูท่องเที่ยวราคานี้ถือว่าถูกมาก
ตั้งอยุ่ที่ซอย2 เป็นบ้านพักติดริมโขง และมีแค่ 6 ห้องเท่านั้น ที่สำคัญพี่เจ้าห้องกับคุณป้าแม่บ้านที่นี่น่ารักมาก
เราถึงที่พักกันประมาณ 11 โมงเช้ากว่าๆ นั่งรอไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เข้าที่พักเลย
โต๊ะสำหรับทานอาหารเช้า
วิวจากชั้น 2
ห้องเตียงเดี่ยว
ห้อง2เตียง เราชอบห้อง2 เตียงมากกว่า เพราะดูใหญ่และกว้าง นอนสบายเลย
พื้นที่ตรงระเบียงกว้างพอสมควร นั่งได้ 3-4 คนสบายๆ
รองท้องด้วยเสาวรสที่ซื้อมาจากแก่งคุดคู้ กิโลละ 40 บาท ถูกมว๊ากกกกกกก
หลังจากรองท้องแล้วก็ออกไปหาอาหารหลักกินกัน ที่นี่เค้ามีจักรยานและมอเตอร์ไซต์ไว้ให้ยืมด้วย
แต่บรรยากาศแบบนี้ต้องปั่นจักรยานถึงจะฟิน ช่วงถนนคนเดินยังไม่ค่อยมีร้านเปิดเท่าไหร่ เพราะยังบ่ายๆอยู่ เลยไปถามหาร้านอาหารจานเด็ดจากพี่ที่รู้จัก เค้าแนะนำให้ไปกินร้านส้มตำป้าสรวง พี่เค้าบอกถูกและอร่อย ที่สำคัญไม่แพง อยู่ถนนเส้นบน ซอย 10 ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ ปั่นจักรยานไปก็ได้เลย
ถึงแล้วร้านส้มตำป้าสรวง สังเกตุป้ายได้เลย อ้อร้านป้าอยู่ใกล้ตลาดด้วย
จานเด็ดขึ้นชื่อของร้านนี้คือส้มตำเส้นด๊องแด๊ง เพราะป้าเค้าต้มเส้นสดๆเลย
ตำซั่วป่ารวมเส้นด๊องแด๊ง ดีงามมากก ดีทุกอย่างตั้งแต่เส้นไปถึงปลาร้า
จานนี้คือ ส้มตำไทย รสชาติแซ่ยไม่แพ้กัน อ้ออถ้าใครไม่กินเผ็ดต้องบอกป้าว่าไม่เผ็ดนะคะ ขนาดเราบอกเผ็ดน้อยยังแสบปากเลย
ปีกไก่อบ ไปสั่งมาจากร้านข้างๆ ชา กาแฟเค้าก็อร่อยน๊า เหมาะสำหรับคนชอบหวานน้อย
ราคาทั้งหมด 100 บาทถ้วนๆ ถูกมากกกกก อร่อยมากๆด้วย (ราคานี้ไม่รวมไก่กับน้ำชาที่สั่งมาจากร้านข้างๆ นะจ๊ะ )
ระหว่างปั่นกลับ
พอปั่นจักรยานมาถึงกลางๆซอย ฝนดันปรอยลงมาซะงั้น เราเลยต้องหาที่หลบฝน ซึ่งไม่รู้หรือโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต
ฝนดันตกลงมาตอนที่จอดหน้า With A View พอดี เลยแวะกินขนมหวานที่นี่ซะเลย
แก้วนี่ถ้าจำไม่ผิดคือ with a view signature ให้ 3 ผ่านไปเลย รสกลมมากกก
กินคู่กับเค้กมะตูม อ่อนละมุนชุ่มลิ้นมากๆ
บรรยากาศแนบชิดริมโขง หลังจากฝนหยุดอากาศก็เริ่มเย็นลงมาบ้าง
อากาศเย็น ลมเย็น เหมาะกับการพักผ่อนสมอง ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานมากกๆ
ถ้าเครียดๆ ก็มานั่งจิบกาแฟริมโขงสักหน่อย
ได้เวลาปั่นกลับที่พักแล้วว
เอาจริงๆ เส้นริมโขงมีที่ถ่ายรูปเยอะมาก
กลับมาพักเอาแรงสักหน่อย พอฟ้าเริ่มมืด ท้องก็เริ่มหิวอีกแล้ววว ได้เวลาออกตามหาของกินที่ถนนคนเดินกันแล้วววว
*เดี๋ยวมาต่อพาทถนนคนเดินน๊ะจ๊าาา**
[CR] เลยย...มาเชียงคาน แบบฉบับไม่มีรถ
วันเดินทาง.... เราต้องเอาใบที่เราชำระเงินไปแลกเป็นตั๋วที่เค้าเจอร์ซันบัสชั้น 2 ซึ่งอยู่สุดทางเดินเลย พอได้ตั๋วแล้วเจ้าหน้าที่จะบอกให้เราเดินไปตรงที่รถจอด ซึ่งสามารถเดินทะลุทางออกแล้วลงบันไดเลื่อนมาได้เลย
เราเลือกซันบัสเพราะเป็นวีไอพี 24 ที่นั่ง เเล้วเท่าที่อ่านๆรีวิวมาก็มีแต่คนบอกว่าดีเลย
สำหรับการนั่งรถบัสวีไอพีครั้งแรก ถือว่าโอเคมากเลย ที่นั่งกว้าง หลับสบาย มีที่เสียบชาตจ์แบตUSB ด้วย ชอบตรงนี้สุด
ถ้าใครมาคนเดียวเค้าก็มีที่นั่งเดี่ยวไว้ด้วย ดีมากๆเลย
รถออกจากหมอชิตประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ถึงเชียงคานประมาณตี4ครึ่ง ถึงเร็วกว่าเวลากำหนดในตาราง เกือบ 2 ชั่วโมง
พอลงรถบัสมาก็จะเจอวินสกายแลปคอยมาถามไถ่เราว่า จะไปไหน เนื่องจากถึงกันเช้ามาก เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูหมอกและแสงแรกของวันที่ภูทอก ตกลงราคากับลุงเรียบร้อย ค่ารถคนละ 200 บาท ได้ไป 3 ที่คือ ภูทอก วัดพระบาทควายเงิน และแก่งคุดคู้ จากท่ารถใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่ภูทอก แต่ต้องต่อรถขึ้นไปบนภูอีกเสียค่าบริการคนละ 25 บาท
พอมาข้างบนก็เห็นว่ามีเริ่มคนจับจองพื้นที่รอดูแสงแรกของวัน เราก็ไม่รอช้า หาที่ยืนที่ติดระเบียงที่สุด
ยืนตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าเริ่มสว่างไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเลย
นี่คือหมอกที่เราได้เจอกัน อาจจะเป็นเพราะเมื่อวานมีฝนตก ฟ้าเลยไม่เปิด จนสุดท้ายถอดใจยอมลงมาจากภู
พอลงมาก็จะเจอคุณลุงนั่งรออยู่แถวๆนั้น และบรรยากาศตอนนี้ช่างแตกต่างกับตอนเช้ามืดมาก ร้านค้าเยอะและคนก็เยอะขึ้นมาก
ขอเดินหาของกินรองท้องกันสักหน่อย ใส้กรอกอีสานนี่ที่อร่อยมาก
สำหรับคอกาแฟ มีให้เลือกมากมายหลายร้านเลย อันนี้ถ่ายมาให้คร่าวๆ
พอได้ชื่ชมบรรยากาศกันพอสมควรก็เดินกลับมาหาคุณลุง ให้พาไปที่ถัดไปเลยจ้า ที่ที่สองที่คุณลุงพามาก็คือ วัดพระบาทภูควายเงิน ขับมาจากภูทอกประมาณวัก 15-20 นาทีได้ ลุงจะจอดรอตรงทางขึ้นวัด แล้วโทรเรียกรถลงมารับเราไปข้างบน เพราะรถสกายแลปขึ้นไปข้างบนไม่รอดแน่ๆ แต่ถ้าใครมีรถส่วนตัวก็ขับขึ้นไปได้น๊ะจ๊ะ
มาแล้วต้องสักการะ รอยพระพุทธบาท
จุดชมวิว พลาดจากหมอกที่ภูทอก มาเจอที่นี่นิดหน่อยก็ยังโอเค
พอลงมาจากวัดคุณลุงก็พาไปต่อที่แก่งคุดคู้ ที่นี่มีทั้งของกินของขาย และร้านอาหาร ถ้าใครมีเวลาอยากจะลองร่องเรือชมแม่น้ำโขงก็ได้เลย แต่เราขอแค่เดินเล่นนิดๆหน่อยๆก็พอ เพราะเริ่มจะง่วงกันแล้ว ฮ่าๆ
มองผ่านๆ ก็แอบเหมือนฟูจิเหมือนกันนะเนี่ย
ได้แนวสวีท วี๊ดวิ๊ว
เราอยู่ที่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ให้คุณลุงไปส่งที่ที่พัก คืนแรกเราเลือกพักกันที่ หม่อลาว ราคา 1200 รวมอาหารเช้า สำหรับฤดูท่องเที่ยวราคานี้ถือว่าถูกมาก
ตั้งอยุ่ที่ซอย2 เป็นบ้านพักติดริมโขง และมีแค่ 6 ห้องเท่านั้น ที่สำคัญพี่เจ้าห้องกับคุณป้าแม่บ้านที่นี่น่ารักมาก
เราถึงที่พักกันประมาณ 11 โมงเช้ากว่าๆ นั่งรอไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เข้าที่พักเลย
โต๊ะสำหรับทานอาหารเช้า
วิวจากชั้น 2
ห้องเตียงเดี่ยว
ห้อง2เตียง เราชอบห้อง2 เตียงมากกว่า เพราะดูใหญ่และกว้าง นอนสบายเลย
พื้นที่ตรงระเบียงกว้างพอสมควร นั่งได้ 3-4 คนสบายๆ
รองท้องด้วยเสาวรสที่ซื้อมาจากแก่งคุดคู้ กิโลละ 40 บาท ถูกมว๊ากกกกกกก
หลังจากรองท้องแล้วก็ออกไปหาอาหารหลักกินกัน ที่นี่เค้ามีจักรยานและมอเตอร์ไซต์ไว้ให้ยืมด้วย
แต่บรรยากาศแบบนี้ต้องปั่นจักรยานถึงจะฟิน ช่วงถนนคนเดินยังไม่ค่อยมีร้านเปิดเท่าไหร่ เพราะยังบ่ายๆอยู่ เลยไปถามหาร้านอาหารจานเด็ดจากพี่ที่รู้จัก เค้าแนะนำให้ไปกินร้านส้มตำป้าสรวง พี่เค้าบอกถูกและอร่อย ที่สำคัญไม่แพง อยู่ถนนเส้นบน ซอย 10 ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ ปั่นจักรยานไปก็ได้เลย
ถึงแล้วร้านส้มตำป้าสรวง สังเกตุป้ายได้เลย อ้อร้านป้าอยู่ใกล้ตลาดด้วย
จานเด็ดขึ้นชื่อของร้านนี้คือส้มตำเส้นด๊องแด๊ง เพราะป้าเค้าต้มเส้นสดๆเลย
ตำซั่วป่ารวมเส้นด๊องแด๊ง ดีงามมากก ดีทุกอย่างตั้งแต่เส้นไปถึงปลาร้า
จานนี้คือ ส้มตำไทย รสชาติแซ่ยไม่แพ้กัน อ้ออถ้าใครไม่กินเผ็ดต้องบอกป้าว่าไม่เผ็ดนะคะ ขนาดเราบอกเผ็ดน้อยยังแสบปากเลย
ปีกไก่อบ ไปสั่งมาจากร้านข้างๆ ชา กาแฟเค้าก็อร่อยน๊า เหมาะสำหรับคนชอบหวานน้อย
ราคาทั้งหมด 100 บาทถ้วนๆ ถูกมากกกกก อร่อยมากๆด้วย (ราคานี้ไม่รวมไก่กับน้ำชาที่สั่งมาจากร้านข้างๆ นะจ๊ะ )
ระหว่างปั่นกลับ
พอปั่นจักรยานมาถึงกลางๆซอย ฝนดันปรอยลงมาซะงั้น เราเลยต้องหาที่หลบฝน ซึ่งไม่รู้หรือโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต
ฝนดันตกลงมาตอนที่จอดหน้า With A View พอดี เลยแวะกินขนมหวานที่นี่ซะเลย
แก้วนี่ถ้าจำไม่ผิดคือ with a view signature ให้ 3 ผ่านไปเลย รสกลมมากกก
กินคู่กับเค้กมะตูม อ่อนละมุนชุ่มลิ้นมากๆ
บรรยากาศแนบชิดริมโขง หลังจากฝนหยุดอากาศก็เริ่มเย็นลงมาบ้าง
อากาศเย็น ลมเย็น เหมาะกับการพักผ่อนสมอง ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานมากกๆ
ถ้าเครียดๆ ก็มานั่งจิบกาแฟริมโขงสักหน่อย
ได้เวลาปั่นกลับที่พักแล้วว
เอาจริงๆ เส้นริมโขงมีที่ถ่ายรูปเยอะมาก
กลับมาพักเอาแรงสักหน่อย พอฟ้าเริ่มมืด ท้องก็เริ่มหิวอีกแล้ววว ได้เวลาออกตามหาของกินที่ถนนคนเดินกันแล้วววว
*เดี๋ยวมาต่อพาทถนนคนเดินน๊ะจ๊าาา**
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้