ด้วยสถานการณ์และสภาพที่เป็นอยู่ ว่ากันตามเนื้อผ้าทีมชาติไทยคงไม่มีทางไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอเชียนคัพหรอกครับ ได้แต่หวังว่าทำผลงานสองนัดที่เหลือให้มันดีกว่านี้ก็พอ
แต่รอบสองสามวันนี้มานี้เห็นแต่กระทู้เรื่องไล่ราเยวัค และไล่นายกสมาคม...ซึ่งเรื่องแรกได้เกิดไปแล้ว แต่เรื่องที่สองไม่มีทางเกิดแน่ๆ
ผมเลยลองไล่และลองรวบรวมผลงานของทีมชาติบางทีมในรายการใหญ่ๆ ที่เริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ แต่ไปจบที่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งก็มีหลายทีมเลย ตั้งแต่ทีมระดับโลก ไล่ไปถึงทีมระดับทวีป
ท่านคิดว่าเราจะกลับมาได้ไหมครับ อย่างน้อยก็เข้ารอบ 16 ทีมในสภาพเช่นนี้
เริ่มต้นที่สุดยอดทีมนักสู้เลือดด้อยช์ผู้ตายยากอย่าง
เยอรมนีตะวันตก ในฟุตบอลโลก 1982
รอบแบ่งกลุ่มรอบแรก
-แพ้แอลจีเรีย 1-2
-ชนะชิลี 4-1
-ชนะออสเตรีย 1-0 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม
รอบแบ่งกลุ่มรอบที่2
-เสมออังกฤษ 0-0
-ชนะสเปน 2-1 เข้ารอบเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม
รอบรองฯ ชนะจุดโทษฝรั่งเศส 4-3 หลังต่อเวลาพิเศษเสมอกัน 3-3
รอบชิงฯ แพ้อิตาลี 1-3
ขุนพลแดร์มานน์ชาฟท์ยาตราถึงประเทศสเปนด้วยศักดิ์ศรีแชมป์ยูโร 80 พร้อมผู้เล่นที่ดีที่สุดแห่งยุคหลายคน หนึ่งในนั้น คือ ไอ้หนูแก้มแดง คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ยอดดาวยิงของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค
ก่อนเริ่มเกมนัดแรกกับแอลจีเรีย จุปป์ แดร์วัลล์ โค้ชทีมชาติได้ลั่นวาจาไว้ว่า "ถ้าแพ้ทีมชาติแอลจีเรีย จะจับรถไฟเที่ยวแรกกลับบ้านเลย" และก็สมพรปาก...แอลจีเรียหักปากกาเซียนเด็ดปีกอินทรีเหล็ก 2-1 ทำให้ขุนพลจากด้อยช์ลันด์ต้องเร่งเดินหน้า รัวใส่ชิลี 4-1 จากการทำแฮตทริคของรุมเมนิกเก้ และเดินเล่นผ่อนคลายกล้ามเนื้อในเกมสุดท้ายกับที่ชนะทีมชาติออสเตรีย เพื่อนร่วมภาษา 1-0 ในเกมที่ถูกขนานนามว่า "ความอัปยศแห่งกิฆอน" เพราะหลังจากที่เยอรมนีออกนำ 1-0 แล้ว ก็เดินเล่น วิ่งส่งบอลกันไปมาให้มันครบ 90 นาที เพื่อจูงมือเข้ารอบไปด้วยกัน เกมนัดนั้นคนเยอรมันรับไม่ได้ถึงขั้นออกมาด่า แฟนบอลในสนามโบกธนบัตรให้นักบอลมีแรงกระตุ้นในการเล่น และนักพากษ์ในสถานีโทรทัศน์ของเยอรมันท่านนึง ถึงขั้นเงียบเสียงไปครู่หนึ่งเลย
เยอรมันฟื้นตัวกลับมาจากนัดแรกโดยไม่ได้เปลี่ยนตัวผู้เล่น 11 คนแรกแต่อย่างใด มีการปรับตำแหน่งของรุมเมนิกเก้จากหน้ามาหน้าต่ำ โดยในรอบที่ 2 พวกเขาสามารถยันเสมออังกฤษ และเอาชนะเจ้าภาพได้หวุดหวิด มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม เข้าไปโคจรพบกับทีมชาติฝรั่งเศสของมิเชล พลาตินี่ในเกมที่คนเยอรมันเรียกว่า "ค่ำคืนแห่งเซบีญ่า" ในเกมที่เต็มไปด้วยดราม่า คราบน้ำตา ผู้ร้าย และกองหลังตัวสำรองที่โดนเข้าปะทะอย่างหนักจนฟันร่วงและภาพตัด
เยอรมันตะวันตกสู้กับฝรั่งเศสอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน การต่อบอลที่สวยงามของสามเหลี่ยมมหัศจรรย์แห่งฝรั่งเศส (พลาตินี่-ติกาน่า-ชีแรส) ถูกทำลายด้วยการเข้าหนักของบรรดาแผงหลังเยอรมัน แต่จนแล้วจนรอดในช่วงต่อเวลาพิเศษ เยอรมันตะวันตกโกงความตายไล่ตามจาก 3-1 มาตีเสมอได้ 3-3 จากการเปลี่ยนเกมของรุมเมนิกเก้ และลูกจักรยานอากาศในตำนานของเคล้าส์ ฟิชเชอร์ ก่อนจะเบียดเอาชนะไปได้จากลูกโทษ ซึ่งผู้เล่นตั้งแต่นัดแรกถึงรอบรองเป็นผู้เล่นเดิมๆที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย เพียงแต่มีการปรับตำแหน่งการยืนและมีตัวสำรองที่ทดแทนกันได้เท่านั้นเอง
แต่พอถึงรอบชิง เยอรมันตะวันตกที่ใช้ตัวช่วยไปทุกอย่างก็หมดมุก พวกเขาลงสนามพบกับอิตาลีในสภาพที่ล้าเต็มที ต้องเข็นรุมเมนิกเก้ลงสนามทั้งที่ไม่สมบูรณ์ และก็ตามคาด อิตาลีที่มีแนวรับเขี้ยวรากดินปิดเกมรุกของเยอรมัน โดยเฉพาะทาง ปิแอร์ ลิตต์บาร์สกี้ เสียอยู่หมัด ไล่ทุบอินทรีหมดสภาพ 3-1 เยอรมันตะวันตกต้องพบกับความชอกช้ำอีกครั้งในศึกเม็กซิโก 1986 จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในศึกอิตาเลีย 1990
“แพ้นัดแรกแล้วไง ? อย่างน้อยก็ได้เข้าชิงเฟ้ย !” รวมทีมชาติที่อกหักในนัดแรก แต่สุดท้ายไปได้ไกลถึงนัดชิงชนะเลิศ !
แต่รอบสองสามวันนี้มานี้เห็นแต่กระทู้เรื่องไล่ราเยวัค และไล่นายกสมาคม...ซึ่งเรื่องแรกได้เกิดไปแล้ว แต่เรื่องที่สองไม่มีทางเกิดแน่ๆ
ผมเลยลองไล่และลองรวบรวมผลงานของทีมชาติบางทีมในรายการใหญ่ๆ ที่เริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ แต่ไปจบที่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งก็มีหลายทีมเลย ตั้งแต่ทีมระดับโลก ไล่ไปถึงทีมระดับทวีป
ท่านคิดว่าเราจะกลับมาได้ไหมครับ อย่างน้อยก็เข้ารอบ 16 ทีมในสภาพเช่นนี้
เริ่มต้นที่สุดยอดทีมนักสู้เลือดด้อยช์ผู้ตายยากอย่าง เยอรมนีตะวันตก ในฟุตบอลโลก 1982
รอบแบ่งกลุ่มรอบแรก
-แพ้แอลจีเรีย 1-2
-ชนะชิลี 4-1
-ชนะออสเตรีย 1-0 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม
รอบแบ่งกลุ่มรอบที่2
-เสมออังกฤษ 0-0
-ชนะสเปน 2-1 เข้ารอบเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม
รอบรองฯ ชนะจุดโทษฝรั่งเศส 4-3 หลังต่อเวลาพิเศษเสมอกัน 3-3
รอบชิงฯ แพ้อิตาลี 1-3
ขุนพลแดร์มานน์ชาฟท์ยาตราถึงประเทศสเปนด้วยศักดิ์ศรีแชมป์ยูโร 80 พร้อมผู้เล่นที่ดีที่สุดแห่งยุคหลายคน หนึ่งในนั้น คือ ไอ้หนูแก้มแดง คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ยอดดาวยิงของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค
ก่อนเริ่มเกมนัดแรกกับแอลจีเรีย จุปป์ แดร์วัลล์ โค้ชทีมชาติได้ลั่นวาจาไว้ว่า "ถ้าแพ้ทีมชาติแอลจีเรีย จะจับรถไฟเที่ยวแรกกลับบ้านเลย" และก็สมพรปาก...แอลจีเรียหักปากกาเซียนเด็ดปีกอินทรีเหล็ก 2-1 ทำให้ขุนพลจากด้อยช์ลันด์ต้องเร่งเดินหน้า รัวใส่ชิลี 4-1 จากการทำแฮตทริคของรุมเมนิกเก้ และเดินเล่นผ่อนคลายกล้ามเนื้อในเกมสุดท้ายกับที่ชนะทีมชาติออสเตรีย เพื่อนร่วมภาษา 1-0 ในเกมที่ถูกขนานนามว่า "ความอัปยศแห่งกิฆอน" เพราะหลังจากที่เยอรมนีออกนำ 1-0 แล้ว ก็เดินเล่น วิ่งส่งบอลกันไปมาให้มันครบ 90 นาที เพื่อจูงมือเข้ารอบไปด้วยกัน เกมนัดนั้นคนเยอรมันรับไม่ได้ถึงขั้นออกมาด่า แฟนบอลในสนามโบกธนบัตรให้นักบอลมีแรงกระตุ้นในการเล่น และนักพากษ์ในสถานีโทรทัศน์ของเยอรมันท่านนึง ถึงขั้นเงียบเสียงไปครู่หนึ่งเลย
เยอรมันฟื้นตัวกลับมาจากนัดแรกโดยไม่ได้เปลี่ยนตัวผู้เล่น 11 คนแรกแต่อย่างใด มีการปรับตำแหน่งของรุมเมนิกเก้จากหน้ามาหน้าต่ำ โดยในรอบที่ 2 พวกเขาสามารถยันเสมออังกฤษ และเอาชนะเจ้าภาพได้หวุดหวิด มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม เข้าไปโคจรพบกับทีมชาติฝรั่งเศสของมิเชล พลาตินี่ในเกมที่คนเยอรมันเรียกว่า "ค่ำคืนแห่งเซบีญ่า" ในเกมที่เต็มไปด้วยดราม่า คราบน้ำตา ผู้ร้าย และกองหลังตัวสำรองที่โดนเข้าปะทะอย่างหนักจนฟันร่วงและภาพตัด
เยอรมันตะวันตกสู้กับฝรั่งเศสอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน การต่อบอลที่สวยงามของสามเหลี่ยมมหัศจรรย์แห่งฝรั่งเศส (พลาตินี่-ติกาน่า-ชีแรส) ถูกทำลายด้วยการเข้าหนักของบรรดาแผงหลังเยอรมัน แต่จนแล้วจนรอดในช่วงต่อเวลาพิเศษ เยอรมันตะวันตกโกงความตายไล่ตามจาก 3-1 มาตีเสมอได้ 3-3 จากการเปลี่ยนเกมของรุมเมนิกเก้ และลูกจักรยานอากาศในตำนานของเคล้าส์ ฟิชเชอร์ ก่อนจะเบียดเอาชนะไปได้จากลูกโทษ ซึ่งผู้เล่นตั้งแต่นัดแรกถึงรอบรองเป็นผู้เล่นเดิมๆที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย เพียงแต่มีการปรับตำแหน่งการยืนและมีตัวสำรองที่ทดแทนกันได้เท่านั้นเอง
แต่พอถึงรอบชิง เยอรมันตะวันตกที่ใช้ตัวช่วยไปทุกอย่างก็หมดมุก พวกเขาลงสนามพบกับอิตาลีในสภาพที่ล้าเต็มที ต้องเข็นรุมเมนิกเก้ลงสนามทั้งที่ไม่สมบูรณ์ และก็ตามคาด อิตาลีที่มีแนวรับเขี้ยวรากดินปิดเกมรุกของเยอรมัน โดยเฉพาะทาง ปิแอร์ ลิตต์บาร์สกี้ เสียอยู่หมัด ไล่ทุบอินทรีหมดสภาพ 3-1 เยอรมันตะวันตกต้องพบกับความชอกช้ำอีกครั้งในศึกเม็กซิโก 1986 จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในศึกอิตาเลีย 1990