ลัดดาจ๋า...
โดยธีร์ วรรรกร
ท่านผู้อ่านที่เคารพ... ว่ากันว่ารักแท้นั้นประดุจดั่งไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือคู่รักที่จะร่วมเคียงคู่กันไปจนถึงยามที่ชีวิตของตนได้สิ้นลง และฝากร่างให้กลายเป็นฝุ่นผงธุลีอยู่บนผืนแผ่นธรณีนี้นั่นเอง เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์หนึ่งที่ทางผู้เขียนได้ประสบพบเจอมากับตนเองครับ มันได้ถูกบันทึกไว้ภายในหัวสมองและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรสู่สายตาของทุกท่านในขณะนี้แล้ว และยังเป็นความทรงจำที่น่าขนลุกต่อกระผมเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่แพ้เหตุการณ์อื่นๆที่ได้พบมา โดยเรื่องที่ว่าก็มีเนื้อหาดังนี้ครับ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่ต่างหมู่บ้านโดยรถจักรยานยนต์ส่วนตัว เพื่อนของผมคนนี้มีชื่อว่า “ประสิทธิ์” ครับ หรือเรียกสั่นง่ายๆว่าไอ้สิทธิ์ มันเป็นมือเบสประจำวงดนตรีที่ผมได้สังกัดอยู่ฝีมือก็ถือว่าดีมากครับ เราทั้งสองคบหากันฉันมิตรตั้งแต่เข้าโรงเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา โตมากับเสียงดนตรีด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นพวกเราจึงรักอะไรๆในด้านนี้มาก และก็ไม่แปลกที่หากได้พบหน้ากันเมื่อใดก็ต้องมีการขนเครื่องดนตรีออกมาแจมกันอย่างสนุกสนานตามประสานักดนตรีวัยรุ่นอยู่ทุกเมื่อ
ผมกับไอ้สิทธิ์สนิทกันจนถึงขนาดสามารถนอนค้างที่บ้านของกันและกันได้ ซึ่งทางพ่อแม่ของเราๆก็มิได้ขัดข้องอะไรเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วขอเพียงแค่อย่ามีอะไรต้องให้เดือดร้อนก็เพียงเท่านั้น
ในวันที่เกิดเหตุการณ์อันน่าอกสั่นขวัญแขวน ผมกับไอ้ประสิทธิ์นั่งเล่นกีต้าร์กันอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้านในช่วงเย็นของวัน ด้านบนของโต๊ะมีอาหารกับข้าวกับน้ำเรียงรายชวนน้ำลายสอ ไอ้สิทธิ์กระดกเบียร์ไปกรึ๊บหนึ่งแล้วก็ชวนให้ผมเล่นต่อโดยมันเป็นคนร้องเพลง ผมเป็นคนลีดคอร์ดกีต้าร์ ด้านซ้ายมือถัดจากรั้วบ้านของไอ้สิทธิ์ไปเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ผลนานาชนิดเกือบจะรอบตัวบ้าน และดูร่มครึ้มน่าร่มรื่น สภาพของบ้านนั้นดูเก่าแก่ตามอายุของเจ้าของบ้าน เพราะเป็นชายชราผมสีดอกเลาขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ร่างกายผอมเกร็งเนื้อหนังเหี่ยวย่นตามสังขารและอายุที่มากขึ้นของตน บัดนี้ร่างของชายผู้ถูกกล่าวถึงนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ถุนเรือนอย่างเงียบขรึม ไม่มีกิริยาอาการใดๆที่บ่งบอกสื่ออารมณ์อยู่บนใบหน้า แต่...ผมกลับรู้สึกได้ว่าแววตาของชายแก่ผู้นั้น มีแววเศร้าเปล่าเปลี่ยวใจอยู่ลึกๆ เจือปนอยู่มิสามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้.....
“เฮ้ย!ไอ้สิทธิ์...ตาแก่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ถุนบ้านคนนั้น แกเป็นใครวะ..? ผมหยุดเล่นกีต้าร์แล้วเอ่ยถามเพื่อนขึ้นด้วยความอยากรู้ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างนั้นอย่างไม่คลาด ไอ้สิทธิ์หันตามทิศทางที่ผมมองแล้วตอบมาว่า
“ไหนวะ..? อ๋อ...คนนั้นน่ะเหรอ? แกชื่อตาคม...ทำไม? แกมีอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าหรอก..ฉันก็แค่ดูๆแกไปอย่างนั้นเองและ เห็นท่าทีแกนิ่งๆขรึมๆเหงาๆ ฉันก็เลยคิดว่าแกน่าจะมีความหลังอะไรเศร้าๆบางอย่างบางเรื่องให้คิดถึงอยู่จนทุกวันนี้ก็เท่านั้นเอง..”
เมื่อประสิทธิ์ได้ฟังก็มีปฏิกิริยาถึงบางอ้อแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆผม พลางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นการกระซิบ คล้ายกับว่าเรื่องที่มันกำลังจะพูดนั้นไม่ต้องการให้ได้ยินไปถึงหูของผู้ที่กำลังถูกซักถามถึงอยู่ ณ ขณะนี้
“แหม...จะให้ฉันว่ายังไงดีล่ะ..ก็จะไม่ให้แกเศร้าได้ไงวะ เพราะว่าเมียแกน่ะเพิ่งเสียไปเมื่อสี่ห้าวันที่ผ่านมานี่เอง..ธีร์เอ้ย”
ผมตาโตถึงบางอ้อไปอีกคนเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนเป็นเช่นนั้น พลางก็โพล่งออกมาเบาๆ
“อ้าวจริงเหรอ..? มิน่าล่ะถึงได้ดูหงอยซะขนาดนั้น โห...น่าสงสารตาแกนะ คงทำใจยากน่าดู”
“ก็แหงล่ะสิ แกคงเคยเห็นใช่มั้ยวะว่าคนเสียใจจนร้องไห้ไม่ออกน่ะมันเป็นยังไง? ตาคมก็อย่างนั้นแหละซึมกะทือไร้ชีวิตชีวาไปเลย แต่ตาแกก็ดันชอบเปิดเพลงๆหนึ่งฟังนะ เป็นเพลงตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ถามพ่อฉันท่านก็ว่าชื่อเพลง “ลัดดาจ๋า” ว่าอย่างนั้น คือไอ้ที่ว่าลัดดาน่ะเป็นชื่อของเมียแกที่เสียไปนี่แหละ แกคงคิดถึงเลยเปิดเพลงนี้ฟังวนไปวนมาจนฉันจำได้และร้องได้ติดปากหมดทุกคำแล้วเนี่ย... แต่เนื้อเพลงมันก็เศร้านะมันกล่าวถึงหญิงสาวที่ชื่อลัดดา ที่จากไปมีรักใหม่ไม่บอกกล่าวชายคนรัก ทิ้งให้เขาต้องทนทุกข์ทนร่ำร้องเรียกหาอะไรประมาณนี้ แถมเขายังลือกันว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่แกใช้ร้องจีบยายลัดดาตอนสมัยที่แกยังเอ๊าะๆอยู่น่ะนะ ฉันฟังทีไรก็ เออ...รู้สึกสงสารตาคมอย่างที่แกว่าทุกทีนั่นแหละว่ะเพื่อน”
ผมได้ฟังก็พยักหน้ารับรู้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะเพลงที่ประสิทธิ์ได้เอ่ยชื่อและบอกเนื้อหามานั้น ผมรู้จักเป็นอย่างดี บทเพลงที่มีชื่อว่าลัดดาจ๋านี้ คือผลงานที่เริ่มสร้างชื่อให้กับวงดนตรีลูกทุ่งพูดอีสานที่โด่งดังไปทั่วประเทศในอดีต ซึ่งชาวอีสานจะรู้จักเป็นอย่างดีในนาม “วงเพชรพิณทอง” มีหัวหน้าคณะคือ นพดล ดวงพร บทเพลงของวงดังกล่าวนี้ผู้ขับร้องคือ นพรัตน์ ดวงพร เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่เศร้าหมองและท่วงทำนองของดนตรีที่ออกไปทางไมเนอร์ ตัวโน้ตติดแฟลชกับชาร์บเยอะพอสมควร ทำให้เมื่อฟังแล้วรู้สึกคลาสสิค เข้าถึงอารมณ์ได้ง่ายและดูลึกลับในบางช่วง และยิ่งถ้าหากเปิดในตอนกลางคืนด้วยแล้ว จะรู้สึกเย็นวาบดื่มด่ำกับสุนทรีของการบรรเลงขับร้องที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาได้ดีอย่างน่าประหลาด
“ลัดดาจ๋า.....พี่มาไม่พบลัดดา...
ป่านนี้น้องพี่อยู่ไหน...อยู่แห่งใดไหนเล่าเธอจ๋า
โอ้..ลัดา ลัดดา ลัดดา.....”
เสียงดนตรีบรรเลงช่วงอินโทรดังขึ้นพร้อมกับการขับร้องในท่อนแรกของบทเพลง พวกเราทั้งสองหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างอัตโนมัติราวกับนัดหมาย ผมสะเทือนปลาบเข้าไปภายในใจแวบหนึ่ง รู้สึกเวทนาคุณตาคมเป็นที่สุด ยิ่งดูแกตอนนี้ให้ชัดเจนแล้ว ผมก็กลับพบว่า บัดนี้มีหยดน้ำที่ไหลรินออกมาจากดวงตาที่ฝ้าฟางทั้งสองข้างได้ถูกปลดปล่อยให้หลั่งเป็นสายลงมาอาบแก้มอันเหี่ยวย่นของแก พร้อมกับอาการสะอื้นเล็กน้อย สีหน้าแกเศร้าหมองลงแววตาที่สลดเสียใจก็พลันเผยออกมาอย่างไม่ต้องเค้นหาความจริงใดๆอีกทั้งสิ้น
“นั่นไง...ตอนใกล้ๆพลบค่ำแบบนี้ แกมักจะเปิดล่ะ แหม..เสวนากันยังไม่ทันจะขาดคำแท้ๆ” ไอ้สิทธิ์พูดน้ำเสียงอยู่ในลำคอ
“อย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ?” ผมถาม
“ใช่...ทุกวันเลยแหละตั้งแต่เผาศพเมีย ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันฟังจนร้องได้”
“แล้ว...แกเปิดอยู่อย่างนี้นานแค่ไหน?”
“อืม....ก็...ประมาณถึงสาม-สี่ทุ่มแกก็ปิดนอนหลับพักผ่อนแล้ว เป็นอย่างนี้แหละ”
“โห...นี่คงรักเมียมากล่ะสิท่า.... หวังให้บทเพลงพาให้อยู่ใกล้ชิดผู้ที่ตายไปแล้วได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้นึกถึงได้อย่างลึกซึ้งตามที่ใจต้องการ...เฮ้อ...ความรักความผูกพันหนอ...ช่างน่าอนาถแท้”
เวลาย่างเข้ามาถึงตอนหนึ่งทุ่มเศษๆ หลังจากที่ผมทานอาหารและอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วก็ได้มานั่งเขียนเพลงเล่นๆกับไอ้สิทธิ์ที่ชั้นล่างของบ้าน พ่อกับแม่ของมันออกไปทำธุระอะไรบางอย่างในตัวอำเภอ ดังนั้นแล้วภายในบ้านจึงเหลือแค่ผมกับเพื่อนสองคน แน่นอนครับในคืนนี้ผมนอนค้างที่บ้านเพื่อนสนิทประสิทธิ์เบสหน้าตายนั่นเอง
เสียงเพลงลัดดาจ๋าจากวิทยุของตาคมข้างบ้านยังดังมาให้ได้ยินพอคลอๆไปกับบรรยากาศยามราตรีเช่นนี้ มันทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไรบอกไม่ถูก ภายในบ้านที่เราอาศัยกันอยู่นั้นเปิดไฟไว้เกือบทุกห้อง แต่เหมือนกับว่ามันดูครึ้มๆอึมครึมผิดแปลกไปอย่างไรชอบกล
“ลัดดาเอ๋ย...เฉลยคำผิดเถิดหนา..
ไหนเล่ารักเราว่าหวานโอ้น้ำตาลกลับเป็นน้ำตา
โถลัดดาพี่มาเจ้าเมิน....”
บทเพลงที่เปรียบเสมือนเครื่องหมายแทนภรรยาสุดที่รักผู้จากไปของชายชราข้างบ้านดังแทรกอากาศผ่านความเงียบของยามวิกาลขึ้นมาให้ได้ยินถนัด ตอนนี้สมองของผมสับสนเป็นที่สุดเพราะถูกรบกวนจากเสียงอื่นภายนอก ทำให้ไม่สามารถคิดท่อนเนื้อเพลงที่กำลังจะเขียนได้ ถ้าหากจะเดินไปที่บ้านของแกแล้วบอกว่าขอให้หรี่เสียงหรือปิดเพลงลงหน่อยก็ไม่ได้เพราะสงสารและเข้าใจเห็นใจแกเหมือนกัน กับอารมณ์และความรู้สึกที่แสนจะทรมานซึ่งแกได้แบกรับเอาไว้ ณ ปัจจุบันนี้ ส่วนอีกประการหนึ่งหากบอกให้แกเงียบเสียงลงไม่ให้รบกวนแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นพวกเราสองคนนี่แหละที่จะส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านชาวช่องคนอื่นๆแทน ปล่อยให้แกเปิดเพลงไว้อย่างนี้ก็แล้วกันถึงเวลาแกก็คงจะปิดเองแหละ เราก็ทนๆเอาหน่อยก็สิ้นเรื่อง
“ตาขอโทษนะพ่อหนุ่ม... เดี๋ยวจะหรี่เสียงลงให้ก็แล้วกันนะ..”
มีถ้อยคำหนึ่งดังก้องขึ้นภายในบ้านของไอ้สิทธิ์ ผมได้ยินอย่างชัดเจน มันกังวานลึกลับจนทำเอาขนลุก มีอาการแหบเครือห้าวต่ำเล็กน้อยดั่งเสียงของผู้ชายที่มีอายุมาก ผมกับไอ้สิทธิ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็มีสีหน้าตื่นๆอยู่ในทีทั้งคู่ ไม่ต้องพูดอะไรกันให้ยากแค่มองตาก็รู้ใจ เราทั้งสองก็โพล่งออกมาเกือบจะเป็นตะโกน แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตาคมเหรอ?!!!”
“ไม่ผิดแน่ว่ะไอ้ธีร์ ฉันจำเสียงแกได้ ฉันเคยคุยกับตาแกอยู่เกือบทุกวัน...นั่นเป็นเสียงของตาคมแน่ๆ” ไอ้สิทธิ์ยืนยันเหมือนคนจะสำลัก
“แล้ว...ทำไมเสียงของแกมันดังอยู่ในบ้านเราวะไอ้สิทธิ์?” ผมถามขึ้นด้วยอาการที่ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
“ก็นั่นน่ะสิ...ฉันก็ยังสงสัยอยู่เนี่ย..”
“หรือว่าแกจะมายืนอยู่หน้าบ้านวะ แต่เป็นเวลากลางคืนไงพอเงียบมากๆ พูดอะไรหน่อยเดียวมันก็ดังขึ้นได้...”
“เออว่ะท่าจะจริง แต่...มันจะใช่อย่างที่แกพูดเสียทีเดียวมั้ยล่ะธีร์.?”
“พิสูจน์สิ..”
“ยังไงวะ?”
“ก็ถ้าคิดว่าแกอยู่ที่หน้าบ้านจริง เราก็เปิดประตูออกไปดูให้มันแน่ใจไปเลยไงเล่า...”
“หา..!!! แกจะเอาอย่างนี้แน่เหรอวะ...ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นะโว้ย” ไอ้สิทธิ์เริ่มเสียงสั่น
“ปัดโธ่...ไอ้สิทธิ์ ถ้าเป็นตาคมจริงๆก็ดีสิ แกจะกลัวไปทำไมวะ คนก็ยังไม่ได้ตายสักหน่อย ไม่ใช่ผีสางที่ไหนนะโว้ย!!”
ผมให้เหตุผลอย่างเหนื่อยหน่ายกับกิริยาอาการของเพื่อน ที่ปอดลอยไม่เข้าเรื่อง
“งั้น...ก็ได้วะ..” มันตอบสั้นๆ
ลำดับถัดมาเราสองคนตัดสินใจบิดลูกบิดประตูเปิดออกไปข้างนอก พร้อมกับชะโงกหน้าเหลียวแลซ้ายขวา มองหาร่างของตาคมไปทั่ว แต่...เปล่าเลยครับ แกไม่ได้อยู่หน้าบ้านหรือบริเวณที่เราคาดว่าแกจะปรากฏตัวอยู่ทั้งสิ้น ถนนหินคลุกเบื้องหน้าว่างเปล่าโล่งไปสุดทาง มีเพียงแสงไฟจากเสาไม้ริมขอบถนนเท่านั้นที่ส่องให้เห็นอะไรได้ค่อนข้างจะชัดเจนแต่ก็ไม่มาก ผมกับเพื่อนมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง เสียงเพลงก็ถูกหรี่ผ่อนโวลุ่มลงจริงๆตามที่เจ้าของเสียงลึกลับกังวานยะเยือกนั้นได้บอกเอาไว้เมื่อครู่ ในหัวสมองตอนนี้มีแต่ความฉงนถูกบรรจุเอาไว้ ไอ้สิทธิ์เจ้าของบ้านและเป็นเพื่อนบ้านที่เรือนเคียงกันกับตาแกมากที่สุดถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก....
“แกคงจะไปแล้วแหละว่ะ...” ผมพยายามเอ่ยเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ปลอบใจมันไปพลางๆ ซึ่งผิดกับความรู้สึกภายในอยู่ไม่น้อย ใจเต้นระทึกไม่แพ้กัน เพื่อนสนิทของผมพยักหน้ารับคล้ายจะเห็นด้วย ก่อนที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเอื้อกหนึ่ง แต่แล้ว...ในขณะที่ผมกำลังจะเอี้ยวตัวเปลี่ยนอิริยาบถเดินเข้าไปภายในบ้าน และเป็นจังหวะเดียวกันที่ไอ้สิทธิ์กำลังจะปิดประตูเข้ามานั้นเอง ทันใดก็เกิดมีลมพัดขึ้นมาอย่างแรงโดยไร้สิ่งเหนี่ยวนำที่จะให้เป็นไปได้ ส่งผลให้ต้นไม้ริมทางและหน้าบ้านหลายๆหลังเอนไหวไปตามแรงกะแสและทิศทางของมัน พร้อมกันนั้นสายตาของเราก็ได้ไปพบเข้ากับภาพๆหนึ่ง จนผมเองถึงกับเบิกตาโพลง ไอ้สิทธิ์อ้าปากค้างจะร้องก็ร้องไม่ออก ภาพนั้นคือกลุ่มพลังงานหรือเงาอะไรบางอย่างที่ดำทะมึน เคลื่อนที่ผ่านหน้าเราไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟจากริมถนนส่องให้เห็นสิ่งนั้นได้อย่างถนัดตาเป็นที่สุด จนกระทั่งเงาดังกล่าวนั้นไปหยุดรวมกลุ่มกันเป็นรูปร่างอยู่ใต้ต้นมะม่วงด้านขวามือชิดรั้วบ้านหลังหนึ่งของชาวบ้านละแวกนั้นห่างจากบ้านของเพื่อนผมไปประมาณ20เมตร แต่ก็พอมองเห็นได้จากแสงของหลอดไฟที่ส่องไปถึงอย่างรางๆ
บทเพลงแห่งความรัก บทเพลงแห่งความตาย บทเพลงของจิตวิญญาณที่ก่อเกิดขึ้นจากความรักที่แท้จริง "ลัดดาจ๋า" โดย:ธีร์ วรรณกร
โดยธีร์ วรรรกร
ท่านผู้อ่านที่เคารพ... ว่ากันว่ารักแท้นั้นประดุจดั่งไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือคู่รักที่จะร่วมเคียงคู่กันไปจนถึงยามที่ชีวิตของตนได้สิ้นลง และฝากร่างให้กลายเป็นฝุ่นผงธุลีอยู่บนผืนแผ่นธรณีนี้นั่นเอง เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์หนึ่งที่ทางผู้เขียนได้ประสบพบเจอมากับตนเองครับ มันได้ถูกบันทึกไว้ภายในหัวสมองและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรสู่สายตาของทุกท่านในขณะนี้แล้ว และยังเป็นความทรงจำที่น่าขนลุกต่อกระผมเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่แพ้เหตุการณ์อื่นๆที่ได้พบมา โดยเรื่องที่ว่าก็มีเนื้อหาดังนี้ครับ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่ต่างหมู่บ้านโดยรถจักรยานยนต์ส่วนตัว เพื่อนของผมคนนี้มีชื่อว่า “ประสิทธิ์” ครับ หรือเรียกสั่นง่ายๆว่าไอ้สิทธิ์ มันเป็นมือเบสประจำวงดนตรีที่ผมได้สังกัดอยู่ฝีมือก็ถือว่าดีมากครับ เราทั้งสองคบหากันฉันมิตรตั้งแต่เข้าโรงเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา โตมากับเสียงดนตรีด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นพวกเราจึงรักอะไรๆในด้านนี้มาก และก็ไม่แปลกที่หากได้พบหน้ากันเมื่อใดก็ต้องมีการขนเครื่องดนตรีออกมาแจมกันอย่างสนุกสนานตามประสานักดนตรีวัยรุ่นอยู่ทุกเมื่อ
ผมกับไอ้สิทธิ์สนิทกันจนถึงขนาดสามารถนอนค้างที่บ้านของกันและกันได้ ซึ่งทางพ่อแม่ของเราๆก็มิได้ขัดข้องอะไรเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วขอเพียงแค่อย่ามีอะไรต้องให้เดือดร้อนก็เพียงเท่านั้น
ในวันที่เกิดเหตุการณ์อันน่าอกสั่นขวัญแขวน ผมกับไอ้ประสิทธิ์นั่งเล่นกีต้าร์กันอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้านในช่วงเย็นของวัน ด้านบนของโต๊ะมีอาหารกับข้าวกับน้ำเรียงรายชวนน้ำลายสอ ไอ้สิทธิ์กระดกเบียร์ไปกรึ๊บหนึ่งแล้วก็ชวนให้ผมเล่นต่อโดยมันเป็นคนร้องเพลง ผมเป็นคนลีดคอร์ดกีต้าร์ ด้านซ้ายมือถัดจากรั้วบ้านของไอ้สิทธิ์ไปเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ผลนานาชนิดเกือบจะรอบตัวบ้าน และดูร่มครึ้มน่าร่มรื่น สภาพของบ้านนั้นดูเก่าแก่ตามอายุของเจ้าของบ้าน เพราะเป็นชายชราผมสีดอกเลาขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ร่างกายผอมเกร็งเนื้อหนังเหี่ยวย่นตามสังขารและอายุที่มากขึ้นของตน บัดนี้ร่างของชายผู้ถูกกล่าวถึงนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ถุนเรือนอย่างเงียบขรึม ไม่มีกิริยาอาการใดๆที่บ่งบอกสื่ออารมณ์อยู่บนใบหน้า แต่...ผมกลับรู้สึกได้ว่าแววตาของชายแก่ผู้นั้น มีแววเศร้าเปล่าเปลี่ยวใจอยู่ลึกๆ เจือปนอยู่มิสามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้.....
“เฮ้ย!ไอ้สิทธิ์...ตาแก่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ถุนบ้านคนนั้น แกเป็นใครวะ..? ผมหยุดเล่นกีต้าร์แล้วเอ่ยถามเพื่อนขึ้นด้วยความอยากรู้ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างนั้นอย่างไม่คลาด ไอ้สิทธิ์หันตามทิศทางที่ผมมองแล้วตอบมาว่า
“ไหนวะ..? อ๋อ...คนนั้นน่ะเหรอ? แกชื่อตาคม...ทำไม? แกมีอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าหรอก..ฉันก็แค่ดูๆแกไปอย่างนั้นเองและ เห็นท่าทีแกนิ่งๆขรึมๆเหงาๆ ฉันก็เลยคิดว่าแกน่าจะมีความหลังอะไรเศร้าๆบางอย่างบางเรื่องให้คิดถึงอยู่จนทุกวันนี้ก็เท่านั้นเอง..”
เมื่อประสิทธิ์ได้ฟังก็มีปฏิกิริยาถึงบางอ้อแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆผม พลางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นการกระซิบ คล้ายกับว่าเรื่องที่มันกำลังจะพูดนั้นไม่ต้องการให้ได้ยินไปถึงหูของผู้ที่กำลังถูกซักถามถึงอยู่ ณ ขณะนี้
“แหม...จะให้ฉันว่ายังไงดีล่ะ..ก็จะไม่ให้แกเศร้าได้ไงวะ เพราะว่าเมียแกน่ะเพิ่งเสียไปเมื่อสี่ห้าวันที่ผ่านมานี่เอง..ธีร์เอ้ย”
ผมตาโตถึงบางอ้อไปอีกคนเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนเป็นเช่นนั้น พลางก็โพล่งออกมาเบาๆ
“อ้าวจริงเหรอ..? มิน่าล่ะถึงได้ดูหงอยซะขนาดนั้น โห...น่าสงสารตาแกนะ คงทำใจยากน่าดู”
“ก็แหงล่ะสิ แกคงเคยเห็นใช่มั้ยวะว่าคนเสียใจจนร้องไห้ไม่ออกน่ะมันเป็นยังไง? ตาคมก็อย่างนั้นแหละซึมกะทือไร้ชีวิตชีวาไปเลย แต่ตาแกก็ดันชอบเปิดเพลงๆหนึ่งฟังนะ เป็นเพลงตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ ถามพ่อฉันท่านก็ว่าชื่อเพลง “ลัดดาจ๋า” ว่าอย่างนั้น คือไอ้ที่ว่าลัดดาน่ะเป็นชื่อของเมียแกที่เสียไปนี่แหละ แกคงคิดถึงเลยเปิดเพลงนี้ฟังวนไปวนมาจนฉันจำได้และร้องได้ติดปากหมดทุกคำแล้วเนี่ย... แต่เนื้อเพลงมันก็เศร้านะมันกล่าวถึงหญิงสาวที่ชื่อลัดดา ที่จากไปมีรักใหม่ไม่บอกกล่าวชายคนรัก ทิ้งให้เขาต้องทนทุกข์ทนร่ำร้องเรียกหาอะไรประมาณนี้ แถมเขายังลือกันว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่แกใช้ร้องจีบยายลัดดาตอนสมัยที่แกยังเอ๊าะๆอยู่น่ะนะ ฉันฟังทีไรก็ เออ...รู้สึกสงสารตาคมอย่างที่แกว่าทุกทีนั่นแหละว่ะเพื่อน”
ผมได้ฟังก็พยักหน้ารับรู้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะเพลงที่ประสิทธิ์ได้เอ่ยชื่อและบอกเนื้อหามานั้น ผมรู้จักเป็นอย่างดี บทเพลงที่มีชื่อว่าลัดดาจ๋านี้ คือผลงานที่เริ่มสร้างชื่อให้กับวงดนตรีลูกทุ่งพูดอีสานที่โด่งดังไปทั่วประเทศในอดีต ซึ่งชาวอีสานจะรู้จักเป็นอย่างดีในนาม “วงเพชรพิณทอง” มีหัวหน้าคณะคือ นพดล ดวงพร บทเพลงของวงดังกล่าวนี้ผู้ขับร้องคือ นพรัตน์ ดวงพร เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่เศร้าหมองและท่วงทำนองของดนตรีที่ออกไปทางไมเนอร์ ตัวโน้ตติดแฟลชกับชาร์บเยอะพอสมควร ทำให้เมื่อฟังแล้วรู้สึกคลาสสิค เข้าถึงอารมณ์ได้ง่ายและดูลึกลับในบางช่วง และยิ่งถ้าหากเปิดในตอนกลางคืนด้วยแล้ว จะรู้สึกเย็นวาบดื่มด่ำกับสุนทรีของการบรรเลงขับร้องที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาได้ดีอย่างน่าประหลาด
“ลัดดาจ๋า.....พี่มาไม่พบลัดดา...
ป่านนี้น้องพี่อยู่ไหน...อยู่แห่งใดไหนเล่าเธอจ๋า
โอ้..ลัดา ลัดดา ลัดดา.....”
เสียงดนตรีบรรเลงช่วงอินโทรดังขึ้นพร้อมกับการขับร้องในท่อนแรกของบทเพลง พวกเราทั้งสองหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างอัตโนมัติราวกับนัดหมาย ผมสะเทือนปลาบเข้าไปภายในใจแวบหนึ่ง รู้สึกเวทนาคุณตาคมเป็นที่สุด ยิ่งดูแกตอนนี้ให้ชัดเจนแล้ว ผมก็กลับพบว่า บัดนี้มีหยดน้ำที่ไหลรินออกมาจากดวงตาที่ฝ้าฟางทั้งสองข้างได้ถูกปลดปล่อยให้หลั่งเป็นสายลงมาอาบแก้มอันเหี่ยวย่นของแก พร้อมกับอาการสะอื้นเล็กน้อย สีหน้าแกเศร้าหมองลงแววตาที่สลดเสียใจก็พลันเผยออกมาอย่างไม่ต้องเค้นหาความจริงใดๆอีกทั้งสิ้น
“นั่นไง...ตอนใกล้ๆพลบค่ำแบบนี้ แกมักจะเปิดล่ะ แหม..เสวนากันยังไม่ทันจะขาดคำแท้ๆ” ไอ้สิทธิ์พูดน้ำเสียงอยู่ในลำคอ
“อย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ?” ผมถาม
“ใช่...ทุกวันเลยแหละตั้งแต่เผาศพเมีย ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันฟังจนร้องได้”
“แล้ว...แกเปิดอยู่อย่างนี้นานแค่ไหน?”
“อืม....ก็...ประมาณถึงสาม-สี่ทุ่มแกก็ปิดนอนหลับพักผ่อนแล้ว เป็นอย่างนี้แหละ”
“โห...นี่คงรักเมียมากล่ะสิท่า.... หวังให้บทเพลงพาให้อยู่ใกล้ชิดผู้ที่ตายไปแล้วได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้นึกถึงได้อย่างลึกซึ้งตามที่ใจต้องการ...เฮ้อ...ความรักความผูกพันหนอ...ช่างน่าอนาถแท้”
เวลาย่างเข้ามาถึงตอนหนึ่งทุ่มเศษๆ หลังจากที่ผมทานอาหารและอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วก็ได้มานั่งเขียนเพลงเล่นๆกับไอ้สิทธิ์ที่ชั้นล่างของบ้าน พ่อกับแม่ของมันออกไปทำธุระอะไรบางอย่างในตัวอำเภอ ดังนั้นแล้วภายในบ้านจึงเหลือแค่ผมกับเพื่อนสองคน แน่นอนครับในคืนนี้ผมนอนค้างที่บ้านเพื่อนสนิทประสิทธิ์เบสหน้าตายนั่นเอง
เสียงเพลงลัดดาจ๋าจากวิทยุของตาคมข้างบ้านยังดังมาให้ได้ยินพอคลอๆไปกับบรรยากาศยามราตรีเช่นนี้ มันทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไรบอกไม่ถูก ภายในบ้านที่เราอาศัยกันอยู่นั้นเปิดไฟไว้เกือบทุกห้อง แต่เหมือนกับว่ามันดูครึ้มๆอึมครึมผิดแปลกไปอย่างไรชอบกล
“ลัดดาเอ๋ย...เฉลยคำผิดเถิดหนา..
ไหนเล่ารักเราว่าหวานโอ้น้ำตาลกลับเป็นน้ำตา
โถลัดดาพี่มาเจ้าเมิน....”
บทเพลงที่เปรียบเสมือนเครื่องหมายแทนภรรยาสุดที่รักผู้จากไปของชายชราข้างบ้านดังแทรกอากาศผ่านความเงียบของยามวิกาลขึ้นมาให้ได้ยินถนัด ตอนนี้สมองของผมสับสนเป็นที่สุดเพราะถูกรบกวนจากเสียงอื่นภายนอก ทำให้ไม่สามารถคิดท่อนเนื้อเพลงที่กำลังจะเขียนได้ ถ้าหากจะเดินไปที่บ้านของแกแล้วบอกว่าขอให้หรี่เสียงหรือปิดเพลงลงหน่อยก็ไม่ได้เพราะสงสารและเข้าใจเห็นใจแกเหมือนกัน กับอารมณ์และความรู้สึกที่แสนจะทรมานซึ่งแกได้แบกรับเอาไว้ ณ ปัจจุบันนี้ ส่วนอีกประการหนึ่งหากบอกให้แกเงียบเสียงลงไม่ให้รบกวนแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นพวกเราสองคนนี่แหละที่จะส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านชาวช่องคนอื่นๆแทน ปล่อยให้แกเปิดเพลงไว้อย่างนี้ก็แล้วกันถึงเวลาแกก็คงจะปิดเองแหละ เราก็ทนๆเอาหน่อยก็สิ้นเรื่อง
“ตาขอโทษนะพ่อหนุ่ม... เดี๋ยวจะหรี่เสียงลงให้ก็แล้วกันนะ..”
มีถ้อยคำหนึ่งดังก้องขึ้นภายในบ้านของไอ้สิทธิ์ ผมได้ยินอย่างชัดเจน มันกังวานลึกลับจนทำเอาขนลุก มีอาการแหบเครือห้าวต่ำเล็กน้อยดั่งเสียงของผู้ชายที่มีอายุมาก ผมกับไอ้สิทธิ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็มีสีหน้าตื่นๆอยู่ในทีทั้งคู่ ไม่ต้องพูดอะไรกันให้ยากแค่มองตาก็รู้ใจ เราทั้งสองก็โพล่งออกมาเกือบจะเป็นตะโกน แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ตาคมเหรอ?!!!”
“ไม่ผิดแน่ว่ะไอ้ธีร์ ฉันจำเสียงแกได้ ฉันเคยคุยกับตาแกอยู่เกือบทุกวัน...นั่นเป็นเสียงของตาคมแน่ๆ” ไอ้สิทธิ์ยืนยันเหมือนคนจะสำลัก
“แล้ว...ทำไมเสียงของแกมันดังอยู่ในบ้านเราวะไอ้สิทธิ์?” ผมถามขึ้นด้วยอาการที่ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
“ก็นั่นน่ะสิ...ฉันก็ยังสงสัยอยู่เนี่ย..”
“หรือว่าแกจะมายืนอยู่หน้าบ้านวะ แต่เป็นเวลากลางคืนไงพอเงียบมากๆ พูดอะไรหน่อยเดียวมันก็ดังขึ้นได้...”
“เออว่ะท่าจะจริง แต่...มันจะใช่อย่างที่แกพูดเสียทีเดียวมั้ยล่ะธีร์.?”
“พิสูจน์สิ..”
“ยังไงวะ?”
“ก็ถ้าคิดว่าแกอยู่ที่หน้าบ้านจริง เราก็เปิดประตูออกไปดูให้มันแน่ใจไปเลยไงเล่า...”
“หา..!!! แกจะเอาอย่างนี้แน่เหรอวะ...ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นะโว้ย” ไอ้สิทธิ์เริ่มเสียงสั่น
“ปัดโธ่...ไอ้สิทธิ์ ถ้าเป็นตาคมจริงๆก็ดีสิ แกจะกลัวไปทำไมวะ คนก็ยังไม่ได้ตายสักหน่อย ไม่ใช่ผีสางที่ไหนนะโว้ย!!”
ผมให้เหตุผลอย่างเหนื่อยหน่ายกับกิริยาอาการของเพื่อน ที่ปอดลอยไม่เข้าเรื่อง
“งั้น...ก็ได้วะ..” มันตอบสั้นๆ
ลำดับถัดมาเราสองคนตัดสินใจบิดลูกบิดประตูเปิดออกไปข้างนอก พร้อมกับชะโงกหน้าเหลียวแลซ้ายขวา มองหาร่างของตาคมไปทั่ว แต่...เปล่าเลยครับ แกไม่ได้อยู่หน้าบ้านหรือบริเวณที่เราคาดว่าแกจะปรากฏตัวอยู่ทั้งสิ้น ถนนหินคลุกเบื้องหน้าว่างเปล่าโล่งไปสุดทาง มีเพียงแสงไฟจากเสาไม้ริมขอบถนนเท่านั้นที่ส่องให้เห็นอะไรได้ค่อนข้างจะชัดเจนแต่ก็ไม่มาก ผมกับเพื่อนมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง เสียงเพลงก็ถูกหรี่ผ่อนโวลุ่มลงจริงๆตามที่เจ้าของเสียงลึกลับกังวานยะเยือกนั้นได้บอกเอาไว้เมื่อครู่ ในหัวสมองตอนนี้มีแต่ความฉงนถูกบรรจุเอาไว้ ไอ้สิทธิ์เจ้าของบ้านและเป็นเพื่อนบ้านที่เรือนเคียงกันกับตาแกมากที่สุดถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก....
“แกคงจะไปแล้วแหละว่ะ...” ผมพยายามเอ่ยเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ปลอบใจมันไปพลางๆ ซึ่งผิดกับความรู้สึกภายในอยู่ไม่น้อย ใจเต้นระทึกไม่แพ้กัน เพื่อนสนิทของผมพยักหน้ารับคล้ายจะเห็นด้วย ก่อนที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเอื้อกหนึ่ง แต่แล้ว...ในขณะที่ผมกำลังจะเอี้ยวตัวเปลี่ยนอิริยาบถเดินเข้าไปภายในบ้าน และเป็นจังหวะเดียวกันที่ไอ้สิทธิ์กำลังจะปิดประตูเข้ามานั้นเอง ทันใดก็เกิดมีลมพัดขึ้นมาอย่างแรงโดยไร้สิ่งเหนี่ยวนำที่จะให้เป็นไปได้ ส่งผลให้ต้นไม้ริมทางและหน้าบ้านหลายๆหลังเอนไหวไปตามแรงกะแสและทิศทางของมัน พร้อมกันนั้นสายตาของเราก็ได้ไปพบเข้ากับภาพๆหนึ่ง จนผมเองถึงกับเบิกตาโพลง ไอ้สิทธิ์อ้าปากค้างจะร้องก็ร้องไม่ออก ภาพนั้นคือกลุ่มพลังงานหรือเงาอะไรบางอย่างที่ดำทะมึน เคลื่อนที่ผ่านหน้าเราไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟจากริมถนนส่องให้เห็นสิ่งนั้นได้อย่างถนัดตาเป็นที่สุด จนกระทั่งเงาดังกล่าวนั้นไปหยุดรวมกลุ่มกันเป็นรูปร่างอยู่ใต้ต้นมะม่วงด้านขวามือชิดรั้วบ้านหลังหนึ่งของชาวบ้านละแวกนั้นห่างจากบ้านของเพื่อนผมไปประมาณ20เมตร แต่ก็พอมองเห็นได้จากแสงของหลอดไฟที่ส่องไปถึงอย่างรางๆ