ถึงแม้ Facebook จะมีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ ข่าวด้านลบออกมาตลอดทั้งปี บางเดือนก็มีมาติดๆ กัน แต่พี่มาร์คก็พยายามจะปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้บริการของเฟสบุ๊คนั้นผ่านไปได้ด้วยดี โดยล่าสุดนี้พี่มาร์คได้แสดงผลงานอันภาคภูมิใจของเขาที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นก่อนที่จะเริ่มต้นปีใหม่
โดย “มาร์ค” ได้บอกว่าในตอนนี้บริษัทของเขาได้แตกต่างไปอย่างมากจากปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการโฟกัสมากขึ้นในการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวกับบริการของ Facebook ทุกอย่าง โดยลงทุนในการจ้างคนมากกว่า 30,000 มาดูแลด้านความปลอดภัย แต่เรื่องนี้คงต้องใช้ระยะเวลาซักหน่อยในการปรับปรุงเพื่อระบบป้องกันที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งพี่มาร์คก็ได้สรุปผลงานเอาไว้ดังนี้
1. ในกรณี Cambridge Analytica บริษัทที่ทำแคมเปญหาเสียงที่ช่วยให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิปดีที่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้นก็เพราะมีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก ทาง Facebook ก็ได้มีการอุดชองโหว่โดยเพิ่มการตรวจสอบ ลบบัญชีปลอมก่อนมีการโพส และร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อมูลปลอมในการป้องกันการแทรกแซงการเลือกตั้งครั้งต่อไป
2. ป้องกันเนื้อหาที่สร้างความแตกแยก ความเกลียดชัง โดยการนำ AI ที่คอยดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย คำพูดที่นำมาเพื่อความเกลียดชังและอื่นๆ ซึ่งมันจะลบโพสเนื้อหาได้เลยแบบอัตโนมัติ โดยตอนนี้มีการลบเนื้อหาดังกล่าวไปถึง 99% ก่อนที่จะมีใครจะรายงานเข้ามา
3. ให้ผู้ใช้จัดการข้อมูลของตัวเองได้ดีกว่าเดิม ป้องกันไม่ให้ข้อมูลแอพฯ จากภายนอกเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้โดยง่าย อย่างในกรณี Cambridge Analytica และในกรณีอื่นๆ ที่ฉาวตามมา ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข
4. กระตุ้นให้ผู้คนได้มีการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นกว่าที่จะใช้ในการเสพสื่อเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังลดการแสดงผลคลิปวิดีโอที่มีคนดู 50 ล้านชั่วโมงต่อวันลงไปอีก ซึ่งมาร์คบอกว่าโดยรวมแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้เราสร้างชุมชนและธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้มาร์คเคยได้บอกไว้ตอนต้นปีแล้วว่าในการปรับ News Feed ครั้งใหญ่ จากเดิม 5% ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วลดลงเหลือเพียง 4% ก็ด้วยเหตุผลที่พี่แกต้องการให้ Facebook เป็นสังคมที่ดี อยากให้เราเห็นข้อมูลของเพื่อนๆ และครอบครัวในเฟซบุ๊คส่วนตัวมากขึ้น และอยากแก้ปัญหาเรื่องข่าวปลอม ข่าวไม่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือ Facebook จึงเริ่มแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการลด Reach ของฟีดในเพจต่างๆ ลงอีก
ปล. เหลือซัก 2% เลยดีมั๊ยจะได้กลายเป็นทุ่งลาเวนเดอร์
http://www.atimedesign.com/webdesign/zuckerberg-proud-2018/
"มาร์ค" ชู ผลงาน 1 ปี ดีขึ้นน่าพอใจ ฟุ้งสร้างสังคมดี-ชูโปร่งใส
โดย “มาร์ค” ได้บอกว่าในตอนนี้บริษัทของเขาได้แตกต่างไปอย่างมากจากปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการโฟกัสมากขึ้นในการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวกับบริการของ Facebook ทุกอย่าง โดยลงทุนในการจ้างคนมากกว่า 30,000 มาดูแลด้านความปลอดภัย แต่เรื่องนี้คงต้องใช้ระยะเวลาซักหน่อยในการปรับปรุงเพื่อระบบป้องกันที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งพี่มาร์คก็ได้สรุปผลงานเอาไว้ดังนี้
1. ในกรณี Cambridge Analytica บริษัทที่ทำแคมเปญหาเสียงที่ช่วยให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิปดีที่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้นก็เพราะมีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก ทาง Facebook ก็ได้มีการอุดชองโหว่โดยเพิ่มการตรวจสอบ ลบบัญชีปลอมก่อนมีการโพส และร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อมูลปลอมในการป้องกันการแทรกแซงการเลือกตั้งครั้งต่อไป
2. ป้องกันเนื้อหาที่สร้างความแตกแยก ความเกลียดชัง โดยการนำ AI ที่คอยดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย คำพูดที่นำมาเพื่อความเกลียดชังและอื่นๆ ซึ่งมันจะลบโพสเนื้อหาได้เลยแบบอัตโนมัติ โดยตอนนี้มีการลบเนื้อหาดังกล่าวไปถึง 99% ก่อนที่จะมีใครจะรายงานเข้ามา
3. ให้ผู้ใช้จัดการข้อมูลของตัวเองได้ดีกว่าเดิม ป้องกันไม่ให้ข้อมูลแอพฯ จากภายนอกเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้โดยง่าย อย่างในกรณี Cambridge Analytica และในกรณีอื่นๆ ที่ฉาวตามมา ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข
4. กระตุ้นให้ผู้คนได้มีการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นกว่าที่จะใช้ในการเสพสื่อเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังลดการแสดงผลคลิปวิดีโอที่มีคนดู 50 ล้านชั่วโมงต่อวันลงไปอีก ซึ่งมาร์คบอกว่าโดยรวมแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้เราสร้างชุมชนและธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้มาร์คเคยได้บอกไว้ตอนต้นปีแล้วว่าในการปรับ News Feed ครั้งใหญ่ จากเดิม 5% ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วลดลงเหลือเพียง 4% ก็ด้วยเหตุผลที่พี่แกต้องการให้ Facebook เป็นสังคมที่ดี อยากให้เราเห็นข้อมูลของเพื่อนๆ และครอบครัวในเฟซบุ๊คส่วนตัวมากขึ้น และอยากแก้ปัญหาเรื่องข่าวปลอม ข่าวไม่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือ Facebook จึงเริ่มแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการลด Reach ของฟีดในเพจต่างๆ ลงอีก
ปล. เหลือซัก 2% เลยดีมั๊ยจะได้กลายเป็นทุ่งลาเวนเดอร์
http://www.atimedesign.com/webdesign/zuckerberg-proud-2018/