จากที่เราดูจบมาอย่างสดๆร้อนๆ
มันเป็นหนังที่มีความหมายแฝงทั้งเรื่อง
อย่างแรกคือความหมายของชื่อเรื่อง "Bird Box" ก็ตรงตัวเลย คือนกที่อยู่ในกล่องก็จะมองเห็นได้แค่สิ่งที่อยู่ในกล่อง อยู่ในกรอบที่ถูกตีไว้ เหมือนกับคนที่อยู่ในสังคมสังคมหนึ่ง ที่มีกฏ ข้อห้าม ระเบียบ และ มารยาทมากมายมากำหนดชีวิต ทำให้เราลืมไปว่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตนั้นมันสดใสเพียงใด
การที่เราถูกตีกรอบอยู่ในสังคม หรือ การที่นกถูกเก็บไว้แค่ในกล่อง เราไม่สามรถเป็นผู้เลือกเดินชีวิตได้อย่างอิสระ แต่ต้องเล่นตามเกมหรือกรอบที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งจะโยงไปยังฉากสุดท้ายที่มาโลรี่ปล่อยนกออกจากกล่อง เป็นสัญญลักษณ์ของการเป็นอิสระ และได้อยู่ในที่ๆเรามีความสุขที่จะอยู่ เป็นตัวของเราเองได้ นั่นแหละคือความหมายที่แท้จริงของชีวิต

“บ้าน” หรือ safe zone ของเรา
บ้านในเรื่อง ที่หลายๆคนสงสัยว่าทำไมพวกปีศาจเข้าบ้านไม่ได้ทั้งที่มันมาเป็นเสียง ในความคิดเห็นของเราก็คือบ้านในเรื่อง แทนถึงsafe zoneของเรา กรอบที่ตีไว้ให้ตัวเอง กรอบที่อยู่แล้วสบายใจ รู้สึกปลอดภัย ไม่มีใครสามารถมาทำร้ายเราได้ หากเราไม่เปิดประตู(เปิดใจ)ของเราให้ใครหรืออะไรเข้ามาทำร้ายเรา

คนสองแบบในเรื่อง

“คนที่เปิดตาแล้วตาย”
-คนเปิดตาได้ เปรียบเหมือนคนที่หนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง เลือกที่จะจบปัญหาที่ตัวเอง

“คนที่สามารถเปิดตาได้แล้วอยากให้คนอื่นเปิดด้วย”
- คนที่สามารถเปิดตาได้แล้วอยากให้คนอื่นเปิดด้วย เปรียบเหมือนคนที่สูบบุหรี่เสพยา แล้วอยากให้คนอื่นเสพติดด้วย ซึ่งหมายความอีกอย่างคือ บางคนเมื่อเครียดหรือเศร้าเสียใจ อาจเลือกจะเสพยา สูบบุหรี่เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เหมือนกับคนที่เลือกจะเปิดตามองปีศาจแต่ไม่ฆ่าตัวตาย และยังกลับโน้มน้าวให้คนอื่นมองเห็นสิ่งสวยงามที่ผิดๆ สิ่งที่คนพวกนี้มองเห็นว่าสวยงามก็เปรียบเหมือน บุหรี่หรือยาเสพติดที่ให้ความรู้สึกดีกับความรู้สึกแต่เป็นโทษกับร่างกายและผู้อื่น ซ้ำยังชักชวนให้ผู้อื่นเข้ามาเสพสิ่งชั่วร้ายไปกับตัวเอง

“คนตาบอด”
- เปรียบคือบางทีถ้าเราเลือกที่จะมองแค่มุมเดียวหรือเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นอะไรสักอย่าง ก็ดีกว่าเลือกที่จะรับรู้ทั้งหมด เพราะการรับรู้หรือมองเห็นอะไรทั้งหมดนั้น บางทีมันอาจทำร้ายชีวิตของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการเครียด หรือวิตก ซึ่งอาจนำเราไปสู่การจบชีวิตที่ผิดๆ การเลือกที่จะไม่มองหรือไม่รับรู้ในบางครั้ง มันอาจทำให้เรามีความสุขขึ้น และรอดชีวิตจากภัยอันตรายหลายๆอย่างที่เข้ามาทำร้ายเราก็ได้

“คนที่อยู่ในบ้าน” หลังนั้นเปรียบเหมือนคนที่เราพบเจอในสังคม
ดักลาส- คนเห็นแก่ตัว คนที่ดีแต่จะเอาตัวรอดฝ่ายเดียว
โอลิมเปีย- คนดีที่ถูกคนเลวหลอกใช้
เกร็ก- คนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม
ทอม- คนที่ดีมากคนหนึ่ง คนที่เป็นผ็นำ คนที่มีหวัง คนที่มองโลกในแง่ดี
มาโลรี่- คนที่อยู๋กับความจริง ดิ้นรนกับความเจ็บปวด ฝันฝ่าอุปสรรคด้วยตัวเอง
คู่รัก- พวกหนีปัญหาโดยไม่คิดถึงคนอื่น คนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง

ถ้าเปรียบกับการทำงานกลุ่ม
ทอม คือหัวหน้ากลุ่ม ค่อยประคองคนในกลุ่มและงานให้สำเร็จไปด้วยดี
เกร็ก คือรองหัวหน้า ที่ยอมเสียสละและช่วยเหลือพวกพ้อง
โอลิมเปีย คือคนที่อาจจะไม่ฉลาดนัก แต่ก็พร้อมช่วยเหลืองานทุกคน และไม่ยอมเป็นตัวถ่วง แม้ตัวเองจะขาดสักภาพก็ตามที
คู่รัก คือคนที่เฉยๆในกลุ่ม คนที่ทำงานส่งๆ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ดี
ดักลาส คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย รอส่งชื่อลงสไลด์งานอย่างเดียว บ่นทุกอย่าง แต่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

มาพูดถึง “เด็ก” กันบ้าง
เด็ก สองคนในเรื่องก็คือ ผ้าขาว ที่ผู้ใหญ่ป้อนข้อมูลอะไรให้ เด็กก็รับโดยไม่ตริกตรอง เพราะเด็กสองคนนั้นยังไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย ในเรื่องที่ทอม(ผู้ใหญ่)ไปให้ความหวังกับเด็ก เล่าเรื่องต่างๆให้เด็กฟัง แต่มาโลรี่กลับตำหนิทอมที่ไปเล่าเรื่องและให้ความหวังเด็กแบบนั้น ก็จริงที่คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่บางครั้งความหวังก็อาจทำให้เราเจ็บปวดได้ หากเราหวังมากเกินไป แล้วมันไม่เป็นดั่งที่เราหวัง ในบางเรื่องเราก็ไม่อาจคาดหวังหรือตั้งความหวังอะไรได้มาก เพราะมันจะทำให้เราเจ็บได้ บางทีเราก็ต้องเลือกที่จะอยู่กับความเป็นจริงอย่างบ้างแม้ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม

สุดท้ายสัญลักษณ์ “เรือกับแม่น้ำ”
แทนถึงอุปสรรค์ในชีวิตเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำที่นิ่งสงบ เปรียบเหมือนชีวิตเราตอนที่เรามีชีวิตที่ราบรื่น เงียบสงบ หรือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เปรียบเหมือนอุปสรรคในชีวิตเราที่ไม่รู้ว่าจะพบเจอเมื่อไหร่ หากเราข้ามผ่านมันไปได้ ก็จะทำให้เราพบเจอกับชีวิตที่สดในอีกครั้งได้

“สะเบียง” แทนความรู้ ประสบการณ์ ที่เราต้องมีติดตัวใช้ฝ่าอุปสรรคไป

“คนที่เข้ามาจู่โจมเรือ” แทนสิ่งที่เข้ามาในชีวิต หากเราเปิดตาเชื่อคนผิด อาจทำให้ชีวิตตัวเองและคนรักพบปัญหาได้

“เด็กสองคนบนเรือ” แทนคนรักที่เราต้องปกป้อง



อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของเรา
ถ้าใครมีความคิดเห็นอื่นก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้น้าา