สืบเนื่องจากผมวางแผนไปเที่ยวกับครอบครัวที่ไต้หวันในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บังเอิญได้เห็นโฆษณาแนะนำจากน้องบล๊อคเกอร์ในเฟสบุ๊คคนหนึ่ง แนะนำบัตร TMB All Free ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หลังจากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น เนื่องจากผมไม่เคยเป็นลูกค้าธนาคารแห่งนี้มาก่อน ก็พบว่ามีความน่าสนใจและอัตราแลกเปลี่ยน (บางสกุลเงิน) จัดว่าดีกว่าการแลกเป็นเงินสดด้วยซ้ำ ในขณะที่บัตรคู่แข่งอีกธนาคารไม่มีสกุลเงินไต้หวัน ผมเลยตัดสินใจเป็นลูกค้าของธนาคารนี้ โดยถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ Call Center ของธนาคาร แล้วเรื่องราวต่างๆ พร้อมกันการรีวิวนี้ ก็เกิดขึ้นครับ.......

ก่อนเปิดบัตร
1. Call center ใช้เวลาพอสมควรในการจะหาข้อมูลให้ผมว่าไอ้ TMB Hot Rates มี reference มาจากไหน เพราะผมสังเกตว่า อัตราแลกเปลี่ยนพิเศษดังกล่าวธนาคารประกาศในวันถัดไป (เช่น อัตราฯของวันที่ 12 จะประกาศในเวบไซต์ในวันที่ 13 เป็นต้น) แล้วบางครั้งธนาคารก็ไม่ได้อัพเดทอัตราพิเศษดังกล่าว
a. พนักงานท่านแรก ตอบผมว่าธนาคารอัพเดททุกวัน แต่ดันให้ผมคลิกไปที่หน้าเรท Bank Notes ธรรมดาซึ่งราคาอย่างที่ทุกคนทราบคือโหดมาก จึงแจ้งทางธนาคารว่า ควรศึกษาให้ดีก่อน เพราะผลิตภัณฑ์นี้ก็ออกมาได้พักหนึ่งแล้ว ไม่ควรพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง
b. หายไปสักพักใหญ่ อีกท่านหนึ่งโทรกลับมา (อันนี้ถือว่าใช้ได้ มีการตามผล) บอกว่าบางครั้งไม่ได้อัพเดท แต่คุณลูกค้าสามารถดูอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรงได้จาก visa.com เลย เพราะธนาคารให้อัตราเดียวกัน โดยไม่คิด Bank’s Charge Rate
c. ผมตรวจสอบย้อนหลังวันสองวันแล้วเห็นว่าตรงกับที่พนักงานท่านที่สองแจ้ง แล้วอัตราของเงินไต้หวันจัดว่าค่อนข้างดี เลยไปที่สาขาเพื่อเปิดใช้บริการ
2. ที่สาขาธนาคารแห่งหนึ่ง ถือว่าให้บริการได้ดีระดับหนึ่ง แจ้งว่ามีค่าธรรมเนียมการเปิดบัตร ยกเว้นแต่ถ้าคุณลูกค้าโอนเงินมาฝากตามที่กำหนด สามารถเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้ โดยบัญชีที่เปิดก็ให้อัตราเงินฝากที่โอเค ผมเลยตัดสินใจทำตามข้อตกลงดังกล่าว เป็นอันได้บัตรสมใจ เตรียมพร้อมเดินทาง แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นมากนัก ก็แลกเงินสดที่อัตราแย่กว่าไปพอสมควรด้วย

หลังเปิดบัตร ใช้งานครั้งแรกที่ไต้หวัน
1. เดินทางไปถึง ร้านอาหารส่วนใหญ่ ยังคงต้องใช้เงินสดครับ แต่พอเห้นร้านสะดวกซื้อ พุ่งปรี่เข้าไปทันที เพราะอยากลองใช้ว่ามันติ๊ดได้จริงๆ ปรากฎว่าสำเร็จครับ รูดปรื๊ดๆ มั่นใจเรทเพราะดูที่ visa.com แล้วเรทอยู่ประมาณ 1.06xx ดีกว่าเงินที่แลกมาที่ 1.09xx แน่ๆ จัดไปเรื่อยๆ ตรงนี้ถือว่าทำได้ดี

ปัญหามาเกิดตอนกลับมาที่ไทยครับ
1. เนื่องจากเป็นครั้งแรก ถึงบ้านเปลี่ยนซิมโทรศัพท์เสร็จปุ๊บ ผมก็ต้องเช็คกันหน่อยว่าตัดเงินผมถูกต้องไหม
a. ทุกรายการที่ใช้ในเมือง ไม่มีปัญหาครับ ตัดเงินบาทด้วยอัตราแลกเปลี่ยนตามข้อตกลงทั้งหมด แต่
b. รายการที่ผมใช้ซื้อของที่สนามบินเถาหยวน อัตราแลกเปลี่ยนบวกไปอีก 3% ครับ!!! เหมือนกับโดนชาร์จด้วยบัตรเครดิตยังไงยังงั้นเลย คือประมาณ 1.11xx
2. ผมโทรหา Call Center ทันที เพื่อจะได้แจ้งแล้วหาทางแก้ไขให้กับลูกค้า
a. Call center (อีกแล้ว) ยังขาดความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์ของธนาคารเอง เพราะถามว่า คุณลูกค้าใช้คนละเวลาไหม หรือว่าร้านค้าที่รูดมีบวกเพิ่มไหม ซึ่งผมแปลกใจมาก เพราะแจ้งไปแล้วว่าใช้ในวันเดียวกัน ตรวจสอบที่ visa.com แล้วเรทไม่ได้เปลี่ยน ส่วนการบวกเพิ่มจากร้านค้า..... เอิ่มมมม บัตรเดบิตน่ะคุณ ไม่ใช่บัตรเครดิต เค้าตัดเงินเลย จะมาบวกเพิ่มแพ่มอะไรกัน วุ้ย.. ตอนนี้ลูกค้าเริ่มหงุดหงิด.. ปลายสายเลยถามรายละเอียดรายการที่ผิดพลาด แล้วบอกว่าขอเวลา 5 วันทำการ!!! ในการแจ้งกลับ
b. ผมอดใจรอ มีโทรตามบ้างระหว่าง 5 วันทำการดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบว่าอยู่ “ระหว่างการดำเนินการค่ะ”
c. ครบ 5 วัน ผมโทรไปคราวนี้ไม่ยอมให้พูดแบบเดิม ต้องจี้ว่าต้องมีคนที่รู้เรื่องกว่านี้ ภายในวันนี้ต้องมีคืบหน้า
d. โทรกลับครับ เป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียน แจ้งว่าจะ “ดูแลเคสคุณลูกค้าเป็นพิเศษ เร่งด่วน” แต่ให้คุณลูกค้าช่วยถ่ายรูป sales slips ที่ผิดพลาดให้กับธนาคารด้วย (เอิ่มมม แล้วมัยพึ่งมาบอก ถ้าลูกค้ายังหงุดหงิดไม่ถึงเลเวล คือยังไม่ทำอะไร?!? แล้วผิดนัดเวลาลูกค้านี่ไม่รู้สึกอะไรเหรอครับ)
e. ผมส่งรายละเอียดทั้งหมด คราวนี้ทางอีเมล์ พร้อมคำนวณส่วนต่างให้ด้วยว่าลูกค้าเสียหายเท่าไหร่ พร้อมบอกว่าควรต้องเคลียร์ก่อนปีใหม่ เพราะใครติดเงินผมข้ามปีคงจะต้องโชคไม่ดีมากๆ แน่นอน
f. วันก่อนวันทำงานสุดท้ายของปีครับ แจ้งมาแล้วว่าจะคืนส่วนต่างให้ โดยเหตุผลประกอบคือ เกิดปัญหาที่ไต้หวันที่เดียว แล้วก็กำลังแก้ไขระบบอยู่ เพราะทาง Merchant ที่ไต้หวันส่ง code มาแล้วเหมือนกับเป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่เจออัตราแลกเปลี่ยนที่สูงกว่า

สรุป และข้อคิดเห็นเพิ่มเติมที่ผมแจ้งธนาคารไป
1. ธนาคารควรต้องให้คนที่รับผิดชอบด้านนี้คุยกับลูกค้าโดยตรงแล้ว เพราะว่าคนกลางไม่ว่าจะเป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียน หรือ Call Center ยังขาดความรู้ในผลิตภัณฑ์ของธนาคารเอง
2. ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นเฉพาะที่ไต้หวัน เพราะธนาคารใช้เวลาในการตรวจสอบเกือบสิบวันทำการ ถึงพึ่งจะทราบและหาทางแก้ไขให้ลูกค้า ถ้าคนที่ไม่ได้ตรวจสอบทุกรายการเหมือนที่ผมทำ เสียหายแล้วจะปล่อยไปไหม ยิ่งช่วงนี้มีแต่ผู้คนเดินทางไปไต้หวัน
3. ถ้าผมไม่แน่ใจ แล้วจะให้ผมหรือลูกค้าท่านอื่นๆ แน่ใจในผลิตภัณฑ์ของธนาคารได้อย่างไรในการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ อย่าลืมน่ะคับว่า ส่วนใหญ่เราเปลี่ยน SIM โทรศัพท์ ซึ่งในระหว่างการเดินทางนั้น เราก็อาจจะไม่สามารถเข้า Application ของทางธนาคารเพื่อตรวจสอบรายการที่เกิดขึ้นระหว่างวันได้
4. ตอนนี้เรื่องราวถึงจุดนี้ครับ ก็คิดว่าจะรอดูว่ามีใครมาอธิบายให้ทราบไหม แต่เงินได้คืนแล้วครับ วันสุดท้ายของปีพอดี (ธนาคารคงกลัวจะติดเงินข้ามปีแล้วดวงไม่ดีจริงๆ กระมัง)
5. ก็เลยเป็นที่มาของกระทู้นี้ทั้งหมด อยากให้ท่านสมาชิกอื่นๆ ที่ใช้ ถ้ามีเวลากลับมาจากท่องเที่ยว ตรวจดูสักนิดก็ดีนะครับ ผลประโยชน์ของท่านเอง เงินของท่านเองครับ

ขอบคุณครับ