ก่อนอื่นบอกก่อนว่าเราเป็นเด็กอ้วน ไม่ชอบการเดิน การวิ่ง การขยับตัวยกเว้น ขยับมือเอาของเข้าปาก แต่การที่ได้ไปเที่ยว Iceland ใน เดือนหนีร้อนอย่าง เมษายน 2016 นั่นคือจุดเปลี่ยนการเดินทางของชั้นไปอย่างสิ้นเชิง เราหลงรัก Road trip การออกไปดูธรรมชาติ เหมือนออกไปเจอโลกอีกใบ โลกที่ทำให้เราหลงไปกับมันมากกว่าสิ่งประดิษฐ์ สิ่งปลูกสร้างใหญ่โต ที่ที่ทำให้เรายืนจังงัง แล้วร้อง.... เชี่ยยยยยย มีแบบนี้ได้ไง มันมีได้ไง และนี่คือ ที่มาทั้งหมดของทริปนี้ ทริปสู่ขั้วโลกใต้ของเรา… New Zealand
ทริปนี้เราเดินทางช่วงวันหยุด คือ 12-24 ตุลาคม 2018 ไปกับเพื่อนอีก 2 คน 1 ในนั้นคือคนที่ร่วมเดินทางไป Iceland ด้วยกัน หลงรักธรรมชาติด้วยกัน และอีกคนไม่เคยเดินทางเส้นทางธรรมชาติ เน้นสายวัง มิวเซียม ซะมากกว่า ทริปนี้นางเลยอยากลองดูสักครั้ง
VISA : เราไปกัน 3 คน ก็ยื่นวีซ่าแบบกลุ่มประหยัดไปหลายบาทมาก เตรียมเอกสารให้พร้อม จริงๆ คนรีวิวไว้เยอะแล้วเนาะ ต้องบอกมะ เออ บอกได้ ใครรู้แล้วก็อ่านข้ามๆ
นอกจาก VISA Application ที่เป็นของตัวเองและของกลุ่มแล้ว ทุกคนก็ไปเตรียมตามนี้
1. รูปถ่ายสำหรับทำวีซ่านิวซีแลนด์ 2 รูปใช้ลวดเย็บกระดาษติดกับ Form No. 1017
2. Passport เล่มจริง
3. สำเนา passport หน้าแรกทุกเล่มที่มีอยู่ทั้งเล่มล่าสุดและเล่มเก่า
4. สำเนา passport ทุกหน้าที่ประทับตรา
5. สำเนาบัตรประชาชน
6. สำเนาทะเบียนบ้าน
7. สำเนาหน้าแรกของสมุดธนาคาร
8. Statement ย้อนหลัง 6 เดือน ออกโดยธนาคาร
9. Bank guarantee ออกโดยธนาคาร
10. หนังสือรับรองเงินเดือน
11. ตั๋วเครื่องบิน
12. ใบจองโรงแรม
13. แผนการเดินทาง
14. ประกันการเดินทาง
** เอกสารสำเนาต้องเซ็นต์สำเนาถูกต้องด้วย **
การเดินทาง
การเดินทางของเราอาจจะดูหลายต่อมาก แต่สะดวกสบายฮะ ราบรื่นทุก stop เลย
เริ่มจาก กรุงเทพ ต่อ กัวลาลัมเปอร์ ต่อ ไป Gold Coast แล้วก็ต่อ Auckland ด้วยสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุด 10 ปีซ้อน นั่นนนนน.... ตั๋วถูกจริงงงงง ขอให้จองล่วงหน้านานๆ เพิ่มความสะดวก สบายด้วยที่นั่ง Quiet Zone ช่วงที่เดินทางนาน คือ KUL-AKL จ่ายเพิ่มประมาณ ขาละ 1,000 บาท สบายที่สุด อ่อ อย่าลืมสั่งอาหารด้วยนะ ราคาแค่ 130 คือ ทำให้เราไม่ต้องนอนท้องร้อง
Tips สำหรับใครที่เดินทางหลาย sectors ด้วย AirAsia แบบเรา
1. น้ำหนักกระเป๋าทุกเที่ยวบิน อาจจะไม่เท่ากัน เราควรซื้อให้มันเท่ากัน เพราะไม่งั้นลำบาก นึกภาพออกมั๊ย บางขาได้ 20 kg บางขาได้ 25kg แล้วอีก 5 kg คุณจะเอาไปไวไหน ถ้าไม่ใช่ใส่บนตัว อย่าทรมานเลย ซื้อๆไป
2. จาก KUL-AKL จะมาการแวะที่ OOL หรือ Gold Coast ค่ะ แวะแค่ 90 นาที แต่ไม่ต้องกังวลเพราะ คุณจะได้นั่งที่นั่งเดิม และนั่งบนเครื่องลำเดิม แค่เปลี่ยนกัปตันและลูกเรือ แวะส่งเพื่อนๆ บางส่วนลงที่นี่ สนามบินเล็กๆ พอลงปุ้ป เดินตาม signs ที่บอกว่า Transit passenger เราก็จะตามๆกันไป ผ่าน security แค่ 1 อัน แล้วแวะเข้าหองน้ำ ทานกาแฟ อีกแพ้พก็ boarding ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องวิ่งนะคะ เดินเกาะกลุ่มไว้ สบายๆ
3. พอถึง Auckland (AKL) สนามบินตรวจเช็คละเอียด อาหารที่เอาไปขอให้สำแดง (declare) นะคะ คนไทยไม่โกหก เอาอะไรมาแสดงให้หมด อาหารเอาไปได้แต่ทุกสิ่งต้องมีภาษาอังกฤษกำกับ และไม่ใช่ของสด เช่น หมูสด ไก่สด ไม่ต้องเอาไปเนาะ ที่นู่นอาหารดีเว่อร์ ขอให้เอาแค่ บะหมี่ซอง โจ๊กซอง ผงทำอาหารพวกรสดี น้ำปลาขวดจิ๋วๆ ถ้าคุณทำอาหารนะ แค่นี้พอแล้ว ข้าวสารไรงี้อย่าเอาไป ผัก ผลไม้เอาเข้าไม่ได้นะคะ เค้ากลัวเราจะเอาแมลงไปปล่อยในบ้านเค้า ถ้าบินจากต่างประเทศ ตรวจเข้ม และขอให้เข้าช่อง something to declare บางคนต้องเปิดกระเป๋า บางคนอย่างเรา ก็ไม่ต้อง แค่บอกไปว่าเอาไรไปบ้าง นานนิด แต่ก็ทำใจไปแล้ว ราบรื่นดีค่ะ
SIM Card : เมือถึงที่ Auckland หลังผ่าน declare และกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราเดินมาตรง Duty Free ก่อนทางออก ก็ซื้อ SIM ได้เลย ขอแนะนำ ยี่ห้อที่เช็คจากหลายแหล่งให้ใช้อันนี้ คือ Spark ราคา 43NZD ลดจาก 49NZD แล้ว download app ของ Spark มาใช้ด้วยดูว่าใช้เนตไปเท่าไหร่แล้ว สามารถเติมเงินได้ง่ายดาย
การเข้าเมือง : ด้วย SkyBus จองล่วงหน้าทางเวบจะถูกกว่านิดหน่อย แต่เราเอาหน้างานฮะ round trip ไปกลับไปเลย ก็ 34NZD ลากกระเป๋าตามป้าย Bus ก็เจอเลย อากาศวันนี้ตอน 5 โมงเย็น คือ เย็นสบายยยยยย 12 องศา ฟ้าใสแจ๋ว ข้อดีของการมาที่นี่ช่วง Spring คือ มืดตอน 2 ทุ่ม แต่ก็เสี่ยงกะอากาศที่แปรปรวนเพราะกำลังเข้าฤดูร้อน แต่ไม่เป็นไรเราพกดวงดีมาแน่นอน นั่งรถไป สัก 40 นาที เราก็ถึง Stop 9 เพื่อเข้าโรงแรมที่เราจองไว้ คือ Best Western Presidence Auckland เราย้ำกับคนขับว่า บอกเราด้วยนะว่าถึงแล้ว เราจะได้ไม่เลย พอถึง ก็เปิด google map เดินอีก 3 นาทีก็ถึงแล้ว เราตกลงกันว่า ถึงห้อง วางกระเป๋า เอาเสื้อหนาวมาใส่ เข้าห้องน้ำนิดหน่อย ล้างหน้าตา แปรงฟันที่ไม่ได้แปรงมาหลายชั่วโมง แล้วก็ออกไปที่ Harbour เอาจริงๆ ตอนนั้นมันมืดไปละ แต่ก็ไปเพราะเราจะอยู่ที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็ต้องบินไป Christchurch แล้ว เราไปถึงเดินเล่นในท่าเรือ คิดว่าตอนกลางวันคงคึกคักน่าดู ที่นี่มีเรือท่องเที่ยวเยอะเลย เสียดายที่ไม่ได้อยู่นานกว่านี้
Where to eat : ร้านอาหาร ที่เช็คจาก Trip Advisor และ Yelp แล้ว ไม่ควรพลาด คือ Depot Eatery & Oyster Bar พบว่า อยู่ห่างจากโรงแรมเราแค่ 3 นาที คือมื้อนี้ดีมากกกก ดีมากกกก เราเปิดดูรูปใน IG ร้าน ดูว่าอะไร ใครสั่งไร แนะนำมั๊ย 555 มันดูต๊อง แต่มันได้ผลนะ ใช้มานานละวิธีนี้ สิ่งที่เราสั่ง ได้แก่ Oyster อร่อยสุดในทริปนี้ หวานเย็นชื่นใจจจจจจ , Braised Lamp Neck, Potato skin จริงๆ ต้องสั่ง Lamp Ribs แต่ว่าหมดดดด เสียใจ ดื่มไวน์แดง ดี๊ดี 2 คน ขวดนึง พออุ่นๆ
เช้าวันที่ 14 Oct เราขึ้น Skybus ไปสนามบิน กินกาแฟ แล้วก็ขึ้นเครื่อง Air New Zealand ไปลงที่ Christchurch ถ้าเลือกได้ ขอแนะนำให้เลือกทีนั่งฝั่ง A ติดกระจกนะคะ วิวเลอค่า เราถึง CHC ทุกอย่างง่ายมาก เพราะเป็นการบินในประเทศ แล้วเราก็ไปรับรถที่เราจองไว้กับบริษัทที่ชื่อ Aero Drive วิธีการต่างจากชาวบ้านเนื่องจากไม่มีออฟฟิศในสนามบิน สามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลย เค้าก็บอกให้กดโทรจากโทรศัพท์ที่เค้ามีให้ แล้วก็บอกเลขที่จอง พร้อมชื่อ เค้าก็ส่งรถมารับขนกระเป๋าให้เราเสร็จ รับรถ เช็ครถให้ดีนะคะ เรื่องประกันเป็นเรื่องสำคัญ เราจ่ายแพงสุดเสมอ ไม่เอา GPRS เพราะเราเอามาเอง ใช้คู่กะ google map ใบขับขี่ใช้ของไทยได้เลยแต่ต้องเป็นแบบที่มีภาอังกฤษค่ะ เรารับรถที่นี่แต่ส่งคืนที่ Queenstown ต้องจ่ายเพิ่มอีก 115NZD แต่เรายินดี เพราะเราอยากชิล ไม่อยากขับรถเยอะหรือนั่งในรถนานๆ ตะบี้ตะบันเที่ยว สบายๆ เราแก่แล้ว ออกจากที่นี่เราก็แวะที่แรกคือ ซุปเปอร์มาร์เกต ซื้อของเตรียมไว้ทำอาหารทานเย็นนี้และเผื่อมื้ออื่นๆ ด้วย ซุปเปอร์ห่างไป 3 นาที ชื่อ Countdown ตรงนี้มีร้านอาหารหลายร้าน แนะนำ ร้านเบอร์เกอร์ที่ชื่อ Fuel Burger
เห็นตรงกันว่าอร่อยกว่า Ferg Burger ที่ Queenstown อร่อยมาก มีแค่ที่ Christchurch ด้วย
ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ซื้อของแล้วไปโล้ดดดดด เริ่ม Road trip กันเลย ปักหมุด ที่แรก Lake Tekapo เพื่อนเราชาวมาเล ที่เพิ่งมาก่อนหน้าสักเดือน ได้แนะนำว่าให้ใช้เส้นทาง Inland72 จะไม่ใช่ highway เป็นเส้นทางที่เห็นแกะ วิวสวยๆ อันนี้จากการ research ของนางเวลาก็ใช้ไม่ต่างกันมาก แต่การจะไป คือ ออกจาก supermarket ให้ปักหมุดไปที่ Windwhistle เป็นหมู่บ้านนึง แล้วค่อยปักต่อ เป็น Lake Tekapo ก็สวยจริงๆนะ ถึงก็หกโมงครึ่ง เข้ามาถึงตื่นตาก็วิว ต้องวิ่งไปถ่ายรูปเลค ถ่ายไป ถ่ายมา นั่นนี่ เข้า รร ตอน 2 ทุ่ม.... lobby ปิดจ้า แต่ดีที่เค้าทิ้งกุญแจไว้ พร้อมโน๊ตว่าพรุ่งนี้มาจ่ายเงิน พร้อมเช็คเอาท์ตอนก่อน 10 โมงเช้านะจ๊ะ เราพักที่ Lake Tekapo Motel & Holiday Park ราคา 5,600 บาท มี 2 ห้องนอน เลควิว มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น โต๊ะทานข้าว เครื่องครัวครบขนาดที่มีหม้อหุงข้าวจ้า ห้องน้ำดีงามมาก หลังทำอาหาร ทานอาหารเสร็จเราออกไปถ่ายทางช้างเผือกกัน ที่ Church Of The Good Sheperds โบสถ์จิ๋วที่แสนโด่งดัง ออกไปตอน 5 ทุ่ม คนเยอะมาก จอดรถและถ่ายตรงลานจอดรถเลย แสงไฟจากรถกวนเป็นระยะๆ แต่รวมๆก็โอเค วันนี้เสียดายที่ฟ้าไม่มืดสนิท มีพระจันทร์เสี้ยว แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถ่ายทางช้างเผือกได้ สวยมาก ในสายตาเรา 555 เขินจุงที่ต้องชมตัวเองแบบนี้ เราถ่ายจนตี 2 ก็กลับไปนอน ฝันดีมากกกก ปล. ตอนนั้นอุณหภูมิ 1 องศาถ้วน
15 Oct : เช้าวันนี้เราตื่นเช้ามากินมาม่า เตรียมอาหารกลางวันง่ายๆ เพราะว่าระหว่างทางไม่มีร้านอาหาร เราจะได้ปิกนิคกันไปเลย ออกจาก โรงแรม 10.00 โมง ตามประสาสายชิล แล้วไป University of Canterbury Mt John Observatory 10KM (08.30-17.00PM open) เพื่อดู Lake Tekapo จาก Top view ต้องจ่ายค่าเข้า โดยที่คิดเป็นคันค่ะ คันละ 8 NZD ที่นั่งมีจุดให้ชมวิวและร้านกาแฟ Astro จากการหาข้อมูลที่น่าสนใจของที่นี่ คือ หนึ่งในที่ที่ฟ้ามืดที่สุดในโลก เป็นจุดที่เค้าค้นหาดาวดวงใหม่ๆชองโลก ขึ้นทะเบียนดาว ที่ Tekapo จะมีทัวร์ถ่ายรูปดาวขายด้วยนะคะTekapo Star Gazing ขึ้นมาดูที่นี่แหล่ะ ที่นี่เป็น private land ดังนั้นเรานักท่องเที่ยวเข้ามาเองไม่ได้นะคะ ยกเว้นว่ามากับทัวร์ ที่สนนราคาประมาณ 99NZD เราแนะนำว่าถ้าเป็นพวกนักถ่ายภาพแบบขั้นสูงก็น่าจะมาคุ้ม ถ้ามือสมัครเล่น แนะนำว่า ถ่ายที่โบสถ์ก็โอเคค่ะ เช็คด้วยว่าวันนั้นฟ้ามืดมั้ย ข้างแรมจะดีเพราะจะเห็นทางช้างเผือกแบบไม่มีพระจันทร์มากวน ถ้าใครคิดว่าหนาวๆ ออกไปดูทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าเหมือนเพื่อนเรา ก็จะบอกว่ามันไม่เห็น และถ่ายด้วย iphone ก็ไม่ได้ มีความเอ็นดูเพื่อน
ออกจากที่นี่ เราก็ปักหมุดไปที่ Mount Cook ห่างออกไป 110km (2 hr drive) ระหว่างทางวันนี้เราอยู่กับ Lake Pukaki ทะเลสาบที่เราตกหลุมรักอย่างจริงจัง มองแบบไม่มีเบื่อ ระหว่างทางเราจะปิกนิกกันที่ Lake Pukaki viewing point ที่นี่มีร้านแซลมอน จากความสงสัยว่าทำไมแซลมอนไม่อยู่นอร์เวย์ ทำไมมาอยู่นิวซีแลนด์ ก็เลยเปิดอ่านเจอว่าที่นี่เค้าก็เลี้ยง Salmon ได้ดีแต่จะมีความต่างคือของที่ NZ จะมีความมันมากกว่า เราก็จัดมาคนละ 1 กล่องเล็ก เพราะโปร ซื้อ 2 แถม 1 แหม่ อะไรจะพอดีขนาดนี้ กินอาหารพร้อมวิว มีความสุขมาก ถ่ายรูปแวะเข้าห้องน้ำแล้วออกเดินทางต่อ เราต้องไปถึงที่ Mount Cook สักบ่าย 2 เพื่อเดิน trek ของ Hooker Valley เข้าไปหา Mt.Cook ตัวเป็นๆ ซึ่งเป็น Trail ที่ใช้เวลาไปกลับ 3 ชั่วโมง
เดี๋ยวไปเจอกัน ep.2 ที่ Mt.Cook Aoraki เนอะ
https://ppantip.com/topic/38400711
[CR] เกาะใต้ New Zealand – โลกอีกใบของฉัน ep.1 Lake Tekapo
ก่อนอื่นบอกก่อนว่าเราเป็นเด็กอ้วน ไม่ชอบการเดิน การวิ่ง การขยับตัวยกเว้น ขยับมือเอาของเข้าปาก แต่การที่ได้ไปเที่ยว Iceland ใน เดือนหนีร้อนอย่าง เมษายน 2016 นั่นคือจุดเปลี่ยนการเดินทางของชั้นไปอย่างสิ้นเชิง เราหลงรัก Road trip การออกไปดูธรรมชาติ เหมือนออกไปเจอโลกอีกใบ โลกที่ทำให้เราหลงไปกับมันมากกว่าสิ่งประดิษฐ์ สิ่งปลูกสร้างใหญ่โต ที่ที่ทำให้เรายืนจังงัง แล้วร้อง.... เชี่ยยยยยย มีแบบนี้ได้ไง มันมีได้ไง และนี่คือ ที่มาทั้งหมดของทริปนี้ ทริปสู่ขั้วโลกใต้ของเรา… New Zealand
ทริปนี้เราเดินทางช่วงวันหยุด คือ 12-24 ตุลาคม 2018 ไปกับเพื่อนอีก 2 คน 1 ในนั้นคือคนที่ร่วมเดินทางไป Iceland ด้วยกัน หลงรักธรรมชาติด้วยกัน และอีกคนไม่เคยเดินทางเส้นทางธรรมชาติ เน้นสายวัง มิวเซียม ซะมากกว่า ทริปนี้นางเลยอยากลองดูสักครั้ง
VISA : เราไปกัน 3 คน ก็ยื่นวีซ่าแบบกลุ่มประหยัดไปหลายบาทมาก เตรียมเอกสารให้พร้อม จริงๆ คนรีวิวไว้เยอะแล้วเนาะ ต้องบอกมะ เออ บอกได้ ใครรู้แล้วก็อ่านข้ามๆ
นอกจาก VISA Application ที่เป็นของตัวเองและของกลุ่มแล้ว ทุกคนก็ไปเตรียมตามนี้
1. รูปถ่ายสำหรับทำวีซ่านิวซีแลนด์ 2 รูปใช้ลวดเย็บกระดาษติดกับ Form No. 1017
2. Passport เล่มจริง
3. สำเนา passport หน้าแรกทุกเล่มที่มีอยู่ทั้งเล่มล่าสุดและเล่มเก่า
4. สำเนา passport ทุกหน้าที่ประทับตรา
5. สำเนาบัตรประชาชน
6. สำเนาทะเบียนบ้าน
7. สำเนาหน้าแรกของสมุดธนาคาร
8. Statement ย้อนหลัง 6 เดือน ออกโดยธนาคาร
9. Bank guarantee ออกโดยธนาคาร
10. หนังสือรับรองเงินเดือน
11. ตั๋วเครื่องบิน
12. ใบจองโรงแรม
13. แผนการเดินทาง
14. ประกันการเดินทาง
** เอกสารสำเนาต้องเซ็นต์สำเนาถูกต้องด้วย **
การเดินทาง
การเดินทางของเราอาจจะดูหลายต่อมาก แต่สะดวกสบายฮะ ราบรื่นทุก stop เลย
เริ่มจาก กรุงเทพ ต่อ กัวลาลัมเปอร์ ต่อ ไป Gold Coast แล้วก็ต่อ Auckland ด้วยสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุด 10 ปีซ้อน นั่นนนนน.... ตั๋วถูกจริงงงงง ขอให้จองล่วงหน้านานๆ เพิ่มความสะดวก สบายด้วยที่นั่ง Quiet Zone ช่วงที่เดินทางนาน คือ KUL-AKL จ่ายเพิ่มประมาณ ขาละ 1,000 บาท สบายที่สุด อ่อ อย่าลืมสั่งอาหารด้วยนะ ราคาแค่ 130 คือ ทำให้เราไม่ต้องนอนท้องร้อง
Tips สำหรับใครที่เดินทางหลาย sectors ด้วย AirAsia แบบเรา
1. น้ำหนักกระเป๋าทุกเที่ยวบิน อาจจะไม่เท่ากัน เราควรซื้อให้มันเท่ากัน เพราะไม่งั้นลำบาก นึกภาพออกมั๊ย บางขาได้ 20 kg บางขาได้ 25kg แล้วอีก 5 kg คุณจะเอาไปไวไหน ถ้าไม่ใช่ใส่บนตัว อย่าทรมานเลย ซื้อๆไป
2. จาก KUL-AKL จะมาการแวะที่ OOL หรือ Gold Coast ค่ะ แวะแค่ 90 นาที แต่ไม่ต้องกังวลเพราะ คุณจะได้นั่งที่นั่งเดิม และนั่งบนเครื่องลำเดิม แค่เปลี่ยนกัปตันและลูกเรือ แวะส่งเพื่อนๆ บางส่วนลงที่นี่ สนามบินเล็กๆ พอลงปุ้ป เดินตาม signs ที่บอกว่า Transit passenger เราก็จะตามๆกันไป ผ่าน security แค่ 1 อัน แล้วแวะเข้าหองน้ำ ทานกาแฟ อีกแพ้พก็ boarding ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องวิ่งนะคะ เดินเกาะกลุ่มไว้ สบายๆ
3. พอถึง Auckland (AKL) สนามบินตรวจเช็คละเอียด อาหารที่เอาไปขอให้สำแดง (declare) นะคะ คนไทยไม่โกหก เอาอะไรมาแสดงให้หมด อาหารเอาไปได้แต่ทุกสิ่งต้องมีภาษาอังกฤษกำกับ และไม่ใช่ของสด เช่น หมูสด ไก่สด ไม่ต้องเอาไปเนาะ ที่นู่นอาหารดีเว่อร์ ขอให้เอาแค่ บะหมี่ซอง โจ๊กซอง ผงทำอาหารพวกรสดี น้ำปลาขวดจิ๋วๆ ถ้าคุณทำอาหารนะ แค่นี้พอแล้ว ข้าวสารไรงี้อย่าเอาไป ผัก ผลไม้เอาเข้าไม่ได้นะคะ เค้ากลัวเราจะเอาแมลงไปปล่อยในบ้านเค้า ถ้าบินจากต่างประเทศ ตรวจเข้ม และขอให้เข้าช่อง something to declare บางคนต้องเปิดกระเป๋า บางคนอย่างเรา ก็ไม่ต้อง แค่บอกไปว่าเอาไรไปบ้าง นานนิด แต่ก็ทำใจไปแล้ว ราบรื่นดีค่ะ
SIM Card : เมือถึงที่ Auckland หลังผ่าน declare และกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราเดินมาตรง Duty Free ก่อนทางออก ก็ซื้อ SIM ได้เลย ขอแนะนำ ยี่ห้อที่เช็คจากหลายแหล่งให้ใช้อันนี้ คือ Spark ราคา 43NZD ลดจาก 49NZD แล้ว download app ของ Spark มาใช้ด้วยดูว่าใช้เนตไปเท่าไหร่แล้ว สามารถเติมเงินได้ง่ายดาย
การเข้าเมือง : ด้วย SkyBus จองล่วงหน้าทางเวบจะถูกกว่านิดหน่อย แต่เราเอาหน้างานฮะ round trip ไปกลับไปเลย ก็ 34NZD ลากกระเป๋าตามป้าย Bus ก็เจอเลย อากาศวันนี้ตอน 5 โมงเย็น คือ เย็นสบายยยยยย 12 องศา ฟ้าใสแจ๋ว ข้อดีของการมาที่นี่ช่วง Spring คือ มืดตอน 2 ทุ่ม แต่ก็เสี่ยงกะอากาศที่แปรปรวนเพราะกำลังเข้าฤดูร้อน แต่ไม่เป็นไรเราพกดวงดีมาแน่นอน นั่งรถไป สัก 40 นาที เราก็ถึง Stop 9 เพื่อเข้าโรงแรมที่เราจองไว้ คือ Best Western Presidence Auckland เราย้ำกับคนขับว่า บอกเราด้วยนะว่าถึงแล้ว เราจะได้ไม่เลย พอถึง ก็เปิด google map เดินอีก 3 นาทีก็ถึงแล้ว เราตกลงกันว่า ถึงห้อง วางกระเป๋า เอาเสื้อหนาวมาใส่ เข้าห้องน้ำนิดหน่อย ล้างหน้าตา แปรงฟันที่ไม่ได้แปรงมาหลายชั่วโมง แล้วก็ออกไปที่ Harbour เอาจริงๆ ตอนนั้นมันมืดไปละ แต่ก็ไปเพราะเราจะอยู่ที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็ต้องบินไป Christchurch แล้ว เราไปถึงเดินเล่นในท่าเรือ คิดว่าตอนกลางวันคงคึกคักน่าดู ที่นี่มีเรือท่องเที่ยวเยอะเลย เสียดายที่ไม่ได้อยู่นานกว่านี้
Where to eat : ร้านอาหาร ที่เช็คจาก Trip Advisor และ Yelp แล้ว ไม่ควรพลาด คือ Depot Eatery & Oyster Bar พบว่า อยู่ห่างจากโรงแรมเราแค่ 3 นาที คือมื้อนี้ดีมากกกก ดีมากกกก เราเปิดดูรูปใน IG ร้าน ดูว่าอะไร ใครสั่งไร แนะนำมั๊ย 555 มันดูต๊อง แต่มันได้ผลนะ ใช้มานานละวิธีนี้ สิ่งที่เราสั่ง ได้แก่ Oyster อร่อยสุดในทริปนี้ หวานเย็นชื่นใจจจจจจ , Braised Lamp Neck, Potato skin จริงๆ ต้องสั่ง Lamp Ribs แต่ว่าหมดดดด เสียใจ ดื่มไวน์แดง ดี๊ดี 2 คน ขวดนึง พออุ่นๆ
เช้าวันที่ 14 Oct เราขึ้น Skybus ไปสนามบิน กินกาแฟ แล้วก็ขึ้นเครื่อง Air New Zealand ไปลงที่ Christchurch ถ้าเลือกได้ ขอแนะนำให้เลือกทีนั่งฝั่ง A ติดกระจกนะคะ วิวเลอค่า เราถึง CHC ทุกอย่างง่ายมาก เพราะเป็นการบินในประเทศ แล้วเราก็ไปรับรถที่เราจองไว้กับบริษัทที่ชื่อ Aero Drive วิธีการต่างจากชาวบ้านเนื่องจากไม่มีออฟฟิศในสนามบิน สามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลย เค้าก็บอกให้กดโทรจากโทรศัพท์ที่เค้ามีให้ แล้วก็บอกเลขที่จอง พร้อมชื่อ เค้าก็ส่งรถมารับขนกระเป๋าให้เราเสร็จ รับรถ เช็ครถให้ดีนะคะ เรื่องประกันเป็นเรื่องสำคัญ เราจ่ายแพงสุดเสมอ ไม่เอา GPRS เพราะเราเอามาเอง ใช้คู่กะ google map ใบขับขี่ใช้ของไทยได้เลยแต่ต้องเป็นแบบที่มีภาอังกฤษค่ะ เรารับรถที่นี่แต่ส่งคืนที่ Queenstown ต้องจ่ายเพิ่มอีก 115NZD แต่เรายินดี เพราะเราอยากชิล ไม่อยากขับรถเยอะหรือนั่งในรถนานๆ ตะบี้ตะบันเที่ยว สบายๆ เราแก่แล้ว ออกจากที่นี่เราก็แวะที่แรกคือ ซุปเปอร์มาร์เกต ซื้อของเตรียมไว้ทำอาหารทานเย็นนี้และเผื่อมื้ออื่นๆ ด้วย ซุปเปอร์ห่างไป 3 นาที ชื่อ Countdown ตรงนี้มีร้านอาหารหลายร้าน แนะนำ ร้านเบอร์เกอร์ที่ชื่อ Fuel Burger เห็นตรงกันว่าอร่อยกว่า Ferg Burger ที่ Queenstown อร่อยมาก มีแค่ที่ Christchurch ด้วย
ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ซื้อของแล้วไปโล้ดดดดด เริ่ม Road trip กันเลย ปักหมุด ที่แรก Lake Tekapo เพื่อนเราชาวมาเล ที่เพิ่งมาก่อนหน้าสักเดือน ได้แนะนำว่าให้ใช้เส้นทาง Inland72 จะไม่ใช่ highway เป็นเส้นทางที่เห็นแกะ วิวสวยๆ อันนี้จากการ research ของนางเวลาก็ใช้ไม่ต่างกันมาก แต่การจะไป คือ ออกจาก supermarket ให้ปักหมุดไปที่ Windwhistle เป็นหมู่บ้านนึง แล้วค่อยปักต่อ เป็น Lake Tekapo ก็สวยจริงๆนะ ถึงก็หกโมงครึ่ง เข้ามาถึงตื่นตาก็วิว ต้องวิ่งไปถ่ายรูปเลค ถ่ายไป ถ่ายมา นั่นนี่ เข้า รร ตอน 2 ทุ่ม.... lobby ปิดจ้า แต่ดีที่เค้าทิ้งกุญแจไว้ พร้อมโน๊ตว่าพรุ่งนี้มาจ่ายเงิน พร้อมเช็คเอาท์ตอนก่อน 10 โมงเช้านะจ๊ะ เราพักที่ Lake Tekapo Motel & Holiday Park ราคา 5,600 บาท มี 2 ห้องนอน เลควิว มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น โต๊ะทานข้าว เครื่องครัวครบขนาดที่มีหม้อหุงข้าวจ้า ห้องน้ำดีงามมาก หลังทำอาหาร ทานอาหารเสร็จเราออกไปถ่ายทางช้างเผือกกัน ที่ Church Of The Good Sheperds โบสถ์จิ๋วที่แสนโด่งดัง ออกไปตอน 5 ทุ่ม คนเยอะมาก จอดรถและถ่ายตรงลานจอดรถเลย แสงไฟจากรถกวนเป็นระยะๆ แต่รวมๆก็โอเค วันนี้เสียดายที่ฟ้าไม่มืดสนิท มีพระจันทร์เสี้ยว แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถ่ายทางช้างเผือกได้ สวยมาก ในสายตาเรา 555 เขินจุงที่ต้องชมตัวเองแบบนี้ เราถ่ายจนตี 2 ก็กลับไปนอน ฝันดีมากกกก ปล. ตอนนั้นอุณหภูมิ 1 องศาถ้วน
15 Oct : เช้าวันนี้เราตื่นเช้ามากินมาม่า เตรียมอาหารกลางวันง่ายๆ เพราะว่าระหว่างทางไม่มีร้านอาหาร เราจะได้ปิกนิคกันไปเลย ออกจาก โรงแรม 10.00 โมง ตามประสาสายชิล แล้วไป University of Canterbury Mt John Observatory 10KM (08.30-17.00PM open) เพื่อดู Lake Tekapo จาก Top view ต้องจ่ายค่าเข้า โดยที่คิดเป็นคันค่ะ คันละ 8 NZD ที่นั่งมีจุดให้ชมวิวและร้านกาแฟ Astro จากการหาข้อมูลที่น่าสนใจของที่นี่ คือ หนึ่งในที่ที่ฟ้ามืดที่สุดในโลก เป็นจุดที่เค้าค้นหาดาวดวงใหม่ๆชองโลก ขึ้นทะเบียนดาว ที่ Tekapo จะมีทัวร์ถ่ายรูปดาวขายด้วยนะคะTekapo Star Gazing ขึ้นมาดูที่นี่แหล่ะ ที่นี่เป็น private land ดังนั้นเรานักท่องเที่ยวเข้ามาเองไม่ได้นะคะ ยกเว้นว่ามากับทัวร์ ที่สนนราคาประมาณ 99NZD เราแนะนำว่าถ้าเป็นพวกนักถ่ายภาพแบบขั้นสูงก็น่าจะมาคุ้ม ถ้ามือสมัครเล่น แนะนำว่า ถ่ายที่โบสถ์ก็โอเคค่ะ เช็คด้วยว่าวันนั้นฟ้ามืดมั้ย ข้างแรมจะดีเพราะจะเห็นทางช้างเผือกแบบไม่มีพระจันทร์มากวน ถ้าใครคิดว่าหนาวๆ ออกไปดูทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าเหมือนเพื่อนเรา ก็จะบอกว่ามันไม่เห็น และถ่ายด้วย iphone ก็ไม่ได้ มีความเอ็นดูเพื่อน
ออกจากที่นี่ เราก็ปักหมุดไปที่ Mount Cook ห่างออกไป 110km (2 hr drive) ระหว่างทางวันนี้เราอยู่กับ Lake Pukaki ทะเลสาบที่เราตกหลุมรักอย่างจริงจัง มองแบบไม่มีเบื่อ ระหว่างทางเราจะปิกนิกกันที่ Lake Pukaki viewing point ที่นี่มีร้านแซลมอน จากความสงสัยว่าทำไมแซลมอนไม่อยู่นอร์เวย์ ทำไมมาอยู่นิวซีแลนด์ ก็เลยเปิดอ่านเจอว่าที่นี่เค้าก็เลี้ยง Salmon ได้ดีแต่จะมีความต่างคือของที่ NZ จะมีความมันมากกว่า เราก็จัดมาคนละ 1 กล่องเล็ก เพราะโปร ซื้อ 2 แถม 1 แหม่ อะไรจะพอดีขนาดนี้ กินอาหารพร้อมวิว มีความสุขมาก ถ่ายรูปแวะเข้าห้องน้ำแล้วออกเดินทางต่อ เราต้องไปถึงที่ Mount Cook สักบ่าย 2 เพื่อเดิน trek ของ Hooker Valley เข้าไปหา Mt.Cook ตัวเป็นๆ ซึ่งเป็น Trail ที่ใช้เวลาไปกลับ 3 ชั่วโมง
เดี๋ยวไปเจอกัน ep.2 ที่ Mt.Cook Aoraki เนอะ https://ppantip.com/topic/38400711
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น