สวัสดีเพื่อนๆ ชาวบลูแพลนแนตค่ะ
ตอนที่แล้ว
Episode 1: MARRAKECH – ไข่มุกสีแดงแห่งโมร็อคโค เราพาเพื่อนๆ เที่ยวเมือง Marrakech เป็นเมืองแรก ตอนที่สองนี้เราจะพาเพื่อนๆ มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายกันค่ะ ...
Day 4 ของการเดินทาง เราออกจากเมือง Marrakech มุ่งหน้าสู่เทือกเขา Atlas ที่ที่เปรียบเสมือนบ้านของชาวแอฟริกาเหนือ ที่ที่น้ำและไฟยังเพิ่งเป็นที่รู้จักไม่เกิน 1 ทศวรรษ ที่ที่ถือว่าหรูหราที่สุดในบรรดาเทือกเขาอื่นๆในทวีปแอฟริกา และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า Berber – ชนเผ่าเก่าแก่ของทวีปแอฟริกาเหนือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…
“ตลอดเส้นทาง ถนนคดเคี้ยวไปมา ใครเมารถนี่กรุณาเตรียมยาแก้เมาไปด่วนเลย”
จากเมือง Marrakech ไปจนถึงปลายทางวันนี้คือเมือง Ouarzazate (อ่านว่า “วอซาเซท”) นับดูแล้วเป็นระยะทางร่วม 200 km สภาพถนนเมื่อออกจากเมือง Marrakech นี่ก็กลายเป็นสองเลนสวนกันทันที แถมยังมีด่านตำรวจตลอดทาง เพื่อนๆ ก็ขับรถระวังๆ กันหน่อย ที่เตือน ไม่ใช่เพราะคนโมร็อคโคขับรถไม่ดี แต่เพราะตำรวจเคี่ยวจัด แค่แซงเส้นทึบนี่ โดนคุณตำรวจเรียกทันที …
“On the road to Ouarzazate”
Officer: Hello Sir
คุณชาย: Hello, officer! any problem?
Officer: China? (Chinese มั้ยคะคูณ)
คุณชาย: Yes (สงสัยมีมาอยู่ประเทศเดียว -_-')
Officer: Your driver license and registration card please
…..
Officer: You just crossed the solid white line, you know, must not pass! must not pass!
คุณชาย: Oh in China, this means you gotta pass! (ไถไปแบบนี้เลยเร๊อะ!)
Officer: No, this is international standard! (ตำรวจงงเลยดิ)
Officer: Can you step outside of the car please?
…. ว่าแล้ว อีคุณชายก็ตามคุณตำรวจออกไป … แม่บ้านเห็นท่าไม่ดี เลยเดินตามออกไปด้วย กะใช้ความสวยเข้าแลก …
คุณชาย: We don’t have this rule in Thailand (หราาาาาา)
Officer: But this is Morocco. You have to follow the rules.
คุณชาย: I know. I’m sorry. We won’t do it again.
แม่บ้าน: This is our first time officer, pleaseeee. (พร้อมทำตาปริบๆ) I promise to keep him in line.
Officer: Is this your wife?
คุณชาย: Yeah, She is my Habibi (แปลว่า “ที่รัก” ในภาษาอารบิก)
Officer: Ohhhh you know Arabic?
คุณชาย: Oh Yeah … Habibi Yalla Yalla (แปลว่า “ที่รัก เร็วๆ” ในภาษาอารบิก ประโยคนี่ พูดเร็วๆ จะกลายเป็น ฮะปิปี เยดลาเยดลา อันนี้ไม่ได้หยาบนะ เค้าพูดงี้จริงๆ ค่ะ)
Officer: Oh Yeah you are good! (พร้อมกับหัวเราะร่า ดูท่าจะถูกในนาง)
…… หลังจากนั้นคุณชายก็งัดเอาภาษาอารบิกที่รู้แบบงูปลาๆ พ่นออกมา คุณตำรวจเห็นดังนั้นหัวเราะร่า สุดท้าย ….
Officer: Ok You should thank to your wife. Go go 🙂
Tips: การพูดภาษาท้องถิ่นได้ (แม้ว่าจะไม่ได้เยอะ) ก็มีแต่จะได้ประโชยน์ บางครั้งเราก็ร้องเพลงใส่ เน้นสายฮา รอดตัวมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจ้า
“ระหว่างทาง คุณจะเห็นโอเอซิสอยู่เป็นพักๆ ดูแล้วก็แปลกตาดี ชอบๆ”
ระหว่างทาง นอกจากถนนที่เป็นสองเลนสวนกันแล้ว บางช่วงซึ่งค่อนข้างยาวหลายสิบกิโล ยังมีการก่อสร้างทางซึ่งเป็นการขยายเลน ทำให้ทำความเร็วไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะช่วงที่ขึ้นและลงเทือกเขา จะเป็นทางโค้งไปโค้งมา ทำให้ขับลำบากพอสมควร ตลอดเส้นทางบนเทือกเขา Atlas จะมีจุดชมวิวตลอดทาง และแน่นอนว่า ต้องมีคนเอาของมาวางขายตามปกติ ขุ่นแม่ของเราก็ไม่พลาดที่จะได้ผ้าพันคอของชนเผ่า Berber มาเป็นพร็อบถ่ายรูปอีกตามเคย
“ผ้าพันคอหลากสี สินค้า Handmade ของชาว Berber หาได้ตามระหว่างทาง”
พอผ่านเทือกเขา Atlas มาปุ๊บ ถนนก็เริ่มเป็นทางราบ เราหวังจะเร่งเครื่องทำเวลา กลัวมีเวลาเที่ยวน้อย แต่ก็ดันนนน โดนตำรวจเรียกอีก… ครั้งนี้ เห็นจะรอดยาก คุณตำรวจบอกเราขับเร็วเกินอัตราที่กำหนด คือขับ 85 ในเขต 60 … ป๊าดดด อะไรมันจะ strict ขนาดน้าน นางกาง chart ให้ดูว่า เกินมา 1-10 km/hr ปรับ 150 DH เกินมา 10-20 km/hr ปรับ 300 DH เราพยายามใช้ทุกมุขที่เรียนรู้มาจากการโดนจับมาหลายประเทศ ทั้งขอหน้าด้านๆ ต่อรองลดราคา เล่นตลก ทำตัวตีซี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้เจ้าหน้าที่ผ่อนผันครั้งนี้ได้เลย นางบอกว่ามันมี Record ในปืนจับความเร็วของนางแล้ว ยังไงก็ไม่ได้ … สุดท้าย โดนไป 300 DH ถ้วน บอกได้คำเดียว “เซง”…
หลังจากจ่าย 300 DH ไปก็สบายตัว มุ่งหน้า (ด้วยความเร็วตามป้ายกำกับความเร็วเป๊ะๆ ตลอดทาง) สู่จุดแวะเที่ยวสำคัญอีกที่หนึ่ง นั่นคือเมือง Ait-Ben-Haddou ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งด้วย
=============================================
KSAR OF AIT-BEN-HADDOU – UNESCO WORLD HERITAGE CENTRE
=============================================
“Ksar of Ait-Ben-Haddou”
Rating: 5/5 ดาว
คำว่า คซาร์ (Ksar) คือกลุ่มอาคารสร้างด้วยดินที่มีกำแพงล้อมรอบ เป็นลักษณะที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิม บ้านเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ในกำแพงที่เหมือนป้อมปราการ และมีหอคอยที่มุมช่วยเสริมความมั่นคงแข็งแรง ซึ่งคซาร์ที่เราไปวันนี้เป็นคซาร์แห่งเมืองเอทเบนฮัดดู (Ksar -Ait Ben Haddou) เป็นที่อยู่อาศัยตามวัฒนธรรมซาฮารันยุคแรก ปัจจุบันเป็น Location ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดัง เช่น Lawrence of Arabia, Price of Persia, Gladiator, The Game of Thrones และอื่นๆ อีกมากมาย และยังเป็นเมืองที่ได้รับยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งด้วย
“Me on top of Ait Ben Haddou”
Ait Ben Haddou เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเขา คุณไม่สามารถขับรถเข้าไปได้ จะต้องจอดรถอีกฝั่งของลำธารเล็กๆ และเดินข้ามไป สำหรับเรา เราเอารถไปจอดที่ร้านอาหารจีนแห่งนึง (จริงๆ มีอยู่ร้านเดียว) ชื่อ 中国红餐厅 – Chinese Restaurant หาง่ายมาก ขับไปเจอป้ายสีแดงใหญ่เบ้อเริ่อกระแทกตา ไม่มีพลาดแน่ ซึ่งเราก็จัดการทานอาหารกลางวันที่นั่น เถ้าแก่เนี๊ยะบอกว่าให้จอดรถที่หน้าร้านเค้าได้เลย เพราะจากซอยข้างๆ ร้าน สามารถเดินเชื่อมไปถึงสะพานหรือทางลงไปที่ลำธารเพื่อข้ามไป Ksar ได้เลย
“สะพานข้ามลำธารไปยัง Ait Ben Haddou”
การจะข้ามไป Ksar คุณมี 2 options คือ ข้ามสะพานหรือจะข้ามกระสอบทรายที่วางบนลำธาร เราก็ข้ามมันทั้ง 2 แบบเลย คือขาไปข้ามสะพาน ขากลับข้ามกระสอบ จุดถ่ายรูป สวยๆ มีหลายจุด ซึ่งเราก็ตามรอยของ
Locationscout นั่นเอง เค้าปัก coordinates ไว้ด้วย ดีจุง
“บรรยากาศภายในเมดิน่าของ Ait Ben Haddou”
พอข้ามลำธารไป ก็จะเป็นส่วนของตัวเมือง Ait Ben Haddou ลักษณะก็เหมือนเมดิน่าเล็กๆ อันนึง มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ตลอดทาง ปะปนอยู่กับบ้านเรือนที่ยังมีชาวท้องถิ่นอยู่กันจริงๆ เราเดินลัดเลาะไปตามทางที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินสวนมา จุดเด่นของที่นี่ที่ไม่เหมือน medina อื่นๆ คือมันเป็นชุมชนที่ตั้งบนเขา จะมีทางเดินลัดเลาะขึ้นเขา ผ่านบ้านคนไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย พาคุณไปอยู่ที่ยอดเขาได้ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่เราสามารถเห็นวิวของเมืองได้ 360 องศา มองไปไกลๆ นี่จะเห็นว่ามีโอเอซิสอยู่เป็นหย่อมๆ และที่ไหนมีโอเอซิส ก็จะมีเมืองเกิดขึ้นมาข้างๆ โดยปริยาย
“360 Degrees over Ait Ben Haddou”
เราเที่ยวอยู่ที่ Ait Ben Haddou อยู่ 2-3 ชั่วโมงได้ จึงออกเดินทางต่อไปยังเมือง Ouarzazate ระหว่างทางจริงๆ แล้วมีพวกโรงถ่ายหนังที่ทำขึ้นมาปลอมอยู่ 2-3 แห่ง แต่เราแอบเข้าไปดูรีวิวแล้ว มีแต่คนบอกว่ามัน Fake มาก แถมจะ Fake ทั้งทียังไม่มีการดูแลรักษาอีกต่างหาก เห็นดังนั้นเราจึงทำการ Skip ไปตามระเบียบ ขับต่อไปจนถึงโรงแรมก็ค่ำพอดี วันนี้เรานอนกันที่ Ibis Ouarzazate โรงแรมที่สร้างมาหน้าตาเหมือนเมือง Ait Ben Haddou ยังไงอย่างงั้นเลย
เช้าวันต่อมา เรายังคงอยู่บนเส้นทางสู่ความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่ที่ทุกคนเรียกมันว่าทะเลทรายซาฮาร่า เราออกจากเมือง Ouarzazate ไปยังเมือง Merzouga รวมทั้งหมดเป็นระยะทางเกือบ 370 กิโล ระหว่างทาง ก็มีจุดแวะดูวิวตลอดทาง เราจอดรถถ่ายรูปเป็นพักๆ จนกระทั่งถึงจุดไฮไลท์อีกที่นึงของทริปที่เมือง Tinghir
“จอดรถถ่ายรูปตามยอดเขาระหว่างทางไป Tinghir”
“อูฐสาน ของที่ระลึกที่ได้จากเด็กน้อยชาว Berber ตรงจุดที่เราแวะถ่ายรูป”
[CR] ขับรถเที่ยว MOROCCO 2000+ กิโลจากผืนทรายจรดผืนน้ำ Episode 2: THE ROAD TO MERZOUGA AND SAHARA ที่รัก
สวัสดีเพื่อนๆ ชาวบลูแพลนแนตค่ะ
ตอนที่แล้ว Episode 1: MARRAKECH – ไข่มุกสีแดงแห่งโมร็อคโค เราพาเพื่อนๆ เที่ยวเมือง Marrakech เป็นเมืองแรก ตอนที่สองนี้เราจะพาเพื่อนๆ มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายกันค่ะ ...
Day 4 ของการเดินทาง เราออกจากเมือง Marrakech มุ่งหน้าสู่เทือกเขา Atlas ที่ที่เปรียบเสมือนบ้านของชาวแอฟริกาเหนือ ที่ที่น้ำและไฟยังเพิ่งเป็นที่รู้จักไม่เกิน 1 ทศวรรษ ที่ที่ถือว่าหรูหราที่สุดในบรรดาเทือกเขาอื่นๆในทวีปแอฟริกา และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า Berber – ชนเผ่าเก่าแก่ของทวีปแอฟริกาเหนือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…
จากเมือง Marrakech ไปจนถึงปลายทางวันนี้คือเมือง Ouarzazate (อ่านว่า “วอซาเซท”) นับดูแล้วเป็นระยะทางร่วม 200 km สภาพถนนเมื่อออกจากเมือง Marrakech นี่ก็กลายเป็นสองเลนสวนกันทันที แถมยังมีด่านตำรวจตลอดทาง เพื่อนๆ ก็ขับรถระวังๆ กันหน่อย ที่เตือน ไม่ใช่เพราะคนโมร็อคโคขับรถไม่ดี แต่เพราะตำรวจเคี่ยวจัด แค่แซงเส้นทึบนี่ โดนคุณตำรวจเรียกทันที …
Officer: Hello Sir
คุณชาย: Hello, officer! any problem?
Officer: China? (Chinese มั้ยคะคูณ)
คุณชาย: Yes (สงสัยมีมาอยู่ประเทศเดียว -_-')
Officer: Your driver license and registration card please
…..
Officer: You just crossed the solid white line, you know, must not pass! must not pass!
คุณชาย: Oh in China, this means you gotta pass! (ไถไปแบบนี้เลยเร๊อะ!)
Officer: No, this is international standard! (ตำรวจงงเลยดิ)
Officer: Can you step outside of the car please?
…. ว่าแล้ว อีคุณชายก็ตามคุณตำรวจออกไป … แม่บ้านเห็นท่าไม่ดี เลยเดินตามออกไปด้วย กะใช้ความสวยเข้าแลก …
คุณชาย: We don’t have this rule in Thailand (หราาาาาา)
Officer: But this is Morocco. You have to follow the rules.
คุณชาย: I know. I’m sorry. We won’t do it again.
แม่บ้าน: This is our first time officer, pleaseeee. (พร้อมทำตาปริบๆ) I promise to keep him in line.
Officer: Is this your wife?
คุณชาย: Yeah, She is my Habibi (แปลว่า “ที่รัก” ในภาษาอารบิก)
Officer: Ohhhh you know Arabic?
คุณชาย: Oh Yeah … Habibi Yalla Yalla (แปลว่า “ที่รัก เร็วๆ” ในภาษาอารบิก ประโยคนี่ พูดเร็วๆ จะกลายเป็น ฮะปิปี เยดลาเยดลา อันนี้ไม่ได้หยาบนะ เค้าพูดงี้จริงๆ ค่ะ)
Officer: Oh Yeah you are good! (พร้อมกับหัวเราะร่า ดูท่าจะถูกในนาง)
…… หลังจากนั้นคุณชายก็งัดเอาภาษาอารบิกที่รู้แบบงูปลาๆ พ่นออกมา คุณตำรวจเห็นดังนั้นหัวเราะร่า สุดท้าย ….
Officer: Ok You should thank to your wife. Go go 🙂
Tips: การพูดภาษาท้องถิ่นได้ (แม้ว่าจะไม่ได้เยอะ) ก็มีแต่จะได้ประโชยน์ บางครั้งเราก็ร้องเพลงใส่ เน้นสายฮา รอดตัวมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจ้า
ระหว่างทาง นอกจากถนนที่เป็นสองเลนสวนกันแล้ว บางช่วงซึ่งค่อนข้างยาวหลายสิบกิโล ยังมีการก่อสร้างทางซึ่งเป็นการขยายเลน ทำให้ทำความเร็วไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะช่วงที่ขึ้นและลงเทือกเขา จะเป็นทางโค้งไปโค้งมา ทำให้ขับลำบากพอสมควร ตลอดเส้นทางบนเทือกเขา Atlas จะมีจุดชมวิวตลอดทาง และแน่นอนว่า ต้องมีคนเอาของมาวางขายตามปกติ ขุ่นแม่ของเราก็ไม่พลาดที่จะได้ผ้าพันคอของชนเผ่า Berber มาเป็นพร็อบถ่ายรูปอีกตามเคย
พอผ่านเทือกเขา Atlas มาปุ๊บ ถนนก็เริ่มเป็นทางราบ เราหวังจะเร่งเครื่องทำเวลา กลัวมีเวลาเที่ยวน้อย แต่ก็ดันนนน โดนตำรวจเรียกอีก… ครั้งนี้ เห็นจะรอดยาก คุณตำรวจบอกเราขับเร็วเกินอัตราที่กำหนด คือขับ 85 ในเขต 60 … ป๊าดดด อะไรมันจะ strict ขนาดน้าน นางกาง chart ให้ดูว่า เกินมา 1-10 km/hr ปรับ 150 DH เกินมา 10-20 km/hr ปรับ 300 DH เราพยายามใช้ทุกมุขที่เรียนรู้มาจากการโดนจับมาหลายประเทศ ทั้งขอหน้าด้านๆ ต่อรองลดราคา เล่นตลก ทำตัวตีซี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้เจ้าหน้าที่ผ่อนผันครั้งนี้ได้เลย นางบอกว่ามันมี Record ในปืนจับความเร็วของนางแล้ว ยังไงก็ไม่ได้ … สุดท้าย โดนไป 300 DH ถ้วน บอกได้คำเดียว “เซง”…
หลังจากจ่าย 300 DH ไปก็สบายตัว มุ่งหน้า (ด้วยความเร็วตามป้ายกำกับความเร็วเป๊ะๆ ตลอดทาง) สู่จุดแวะเที่ยวสำคัญอีกที่หนึ่ง นั่นคือเมือง Ait-Ben-Haddou ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งด้วย
KSAR OF AIT-BEN-HADDOU – UNESCO WORLD HERITAGE CENTRE
=============================================
Rating: 5/5 ดาว
คำว่า คซาร์ (Ksar) คือกลุ่มอาคารสร้างด้วยดินที่มีกำแพงล้อมรอบ เป็นลักษณะที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิม บ้านเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ในกำแพงที่เหมือนป้อมปราการ และมีหอคอยที่มุมช่วยเสริมความมั่นคงแข็งแรง ซึ่งคซาร์ที่เราไปวันนี้เป็นคซาร์แห่งเมืองเอทเบนฮัดดู (Ksar -Ait Ben Haddou) เป็นที่อยู่อาศัยตามวัฒนธรรมซาฮารันยุคแรก ปัจจุบันเป็น Location ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดัง เช่น Lawrence of Arabia, Price of Persia, Gladiator, The Game of Thrones และอื่นๆ อีกมากมาย และยังเป็นเมืองที่ได้รับยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งด้วย
Ait Ben Haddou เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเขา คุณไม่สามารถขับรถเข้าไปได้ จะต้องจอดรถอีกฝั่งของลำธารเล็กๆ และเดินข้ามไป สำหรับเรา เราเอารถไปจอดที่ร้านอาหารจีนแห่งนึง (จริงๆ มีอยู่ร้านเดียว) ชื่อ 中国红餐厅 – Chinese Restaurant หาง่ายมาก ขับไปเจอป้ายสีแดงใหญ่เบ้อเริ่อกระแทกตา ไม่มีพลาดแน่ ซึ่งเราก็จัดการทานอาหารกลางวันที่นั่น เถ้าแก่เนี๊ยะบอกว่าให้จอดรถที่หน้าร้านเค้าได้เลย เพราะจากซอยข้างๆ ร้าน สามารถเดินเชื่อมไปถึงสะพานหรือทางลงไปที่ลำธารเพื่อข้ามไป Ksar ได้เลย
การจะข้ามไป Ksar คุณมี 2 options คือ ข้ามสะพานหรือจะข้ามกระสอบทรายที่วางบนลำธาร เราก็ข้ามมันทั้ง 2 แบบเลย คือขาไปข้ามสะพาน ขากลับข้ามกระสอบ จุดถ่ายรูป สวยๆ มีหลายจุด ซึ่งเราก็ตามรอยของ Locationscout นั่นเอง เค้าปัก coordinates ไว้ด้วย ดีจุง
พอข้ามลำธารไป ก็จะเป็นส่วนของตัวเมือง Ait Ben Haddou ลักษณะก็เหมือนเมดิน่าเล็กๆ อันนึง มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ตลอดทาง ปะปนอยู่กับบ้านเรือนที่ยังมีชาวท้องถิ่นอยู่กันจริงๆ เราเดินลัดเลาะไปตามทางที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินสวนมา จุดเด่นของที่นี่ที่ไม่เหมือน medina อื่นๆ คือมันเป็นชุมชนที่ตั้งบนเขา จะมีทางเดินลัดเลาะขึ้นเขา ผ่านบ้านคนไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย พาคุณไปอยู่ที่ยอดเขาได้ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่เราสามารถเห็นวิวของเมืองได้ 360 องศา มองไปไกลๆ นี่จะเห็นว่ามีโอเอซิสอยู่เป็นหย่อมๆ และที่ไหนมีโอเอซิส ก็จะมีเมืองเกิดขึ้นมาข้างๆ โดยปริยาย
เราเที่ยวอยู่ที่ Ait Ben Haddou อยู่ 2-3 ชั่วโมงได้ จึงออกเดินทางต่อไปยังเมือง Ouarzazate ระหว่างทางจริงๆ แล้วมีพวกโรงถ่ายหนังที่ทำขึ้นมาปลอมอยู่ 2-3 แห่ง แต่เราแอบเข้าไปดูรีวิวแล้ว มีแต่คนบอกว่ามัน Fake มาก แถมจะ Fake ทั้งทียังไม่มีการดูแลรักษาอีกต่างหาก เห็นดังนั้นเราจึงทำการ Skip ไปตามระเบียบ ขับต่อไปจนถึงโรงแรมก็ค่ำพอดี วันนี้เรานอนกันที่ Ibis Ouarzazate โรงแรมที่สร้างมาหน้าตาเหมือนเมือง Ait Ben Haddou ยังไงอย่างงั้นเลย
เช้าวันต่อมา เรายังคงอยู่บนเส้นทางสู่ความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่ที่ทุกคนเรียกมันว่าทะเลทรายซาฮาร่า เราออกจากเมือง Ouarzazate ไปยังเมือง Merzouga รวมทั้งหมดเป็นระยะทางเกือบ 370 กิโล ระหว่างทาง ก็มีจุดแวะดูวิวตลอดทาง เราจอดรถถ่ายรูปเป็นพักๆ จนกระทั่งถึงจุดไฮไลท์อีกที่นึงของทริปที่เมือง Tinghir
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น