คำเตือน : บทความโดยเด็กหงส์ 🕊️
ถ้ามองจาก Topic คงมีแฟนบอลหลายๆ คนเดาออกว่าบทความนี้จะกล่าวถึงเรื่องใด
ใช่ฮะ เรามาจะล้วงลึกกันที่สองนักเตะของลิเวอร์พูลอย่างซาลาห์ ผู้มีฟอร์มร้อนแรงและมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานของทีมร้อนแรงอยู่ในเวลานี้
ชากิรี่และซาลาห์ที่ตอนอยู่บาเซิ่ล ไม่ได้มีโอกาสลงเล่นด้วยกันเลย 😮
ส่วนอีกคนก็คือชากิรี่ ที่ผลงานยามลงสนามก็เด็ดดวงเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้เป็น 11 คนแรก แต่เค้าก็ยิงประตูสำคัญๆ จนมีส่วนให้หงส์แดงผงาดได้อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะการยิง (เฉี่ยว) จนเป็นที่มาของ 2 ประตูในเกมดับผีแดง
แล้วอะไรล่ะ ที่เหมือนกัน
ความเหมือนอย่างแรก บาเซิ่ล สโมสรที่เริ่มโด่งดัง ทั้งสองคนนั้นเป็นที่รู้จักจากฟอร์มการเล่นให้กับยอดทีมแห่งสวิตเซอร์แลนด์สโมสรนี้ โดยชากิรี่คือสตาร์ประจำทีม ที่โดนบาเยิร์นคว้าตัวไปในปี 2012 และในช่วงที่ชากิรี่กำลังจะย้ายทีมมันคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ทางบาเซิ่ลก็ได้เรียกซาลาห์เข้ามาทดสอบฝีเท้า ซึ่งในช่วง session การซ้อมนั้นเองที่ทำให้ทั้ง 2 คนได้พบเจอกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีโอกาสร่วมเล่นด้วยกันเลย จากนั้นเมื่อชากิรี่ไปยังบาเยิร์น ก็เป็นซาลาห์ที่เข้ามาแทนที่เค้าที่บาเซิล ก่อนจะเริ่มโชว์ความโดดเด่นและเป็นที่สนใจของหลายๆ สโมสรในยุโรป
ความเหมือนอย่างที่สอง เกือบได้มาใส่ชุดแดงเพลิงในฤดูกาล 2013/14 ในช่วงเวลาที่ชากิรี่อยู่กับเสือใต้ระหว่างปี 2014 โอกาสในการเล่นของเค้าค่อนข้างจำกัดในยุคของกวาดิโอล่า ทำให้เค้าต้องการย้ายทีม ซึงกุนซือของหงส์แดงในเวลานั้นอย่าง BR ก็มีความสนใจในตัวเค้าเช่นกัน แต่ว่าตอนนั้นบาเยิร์นยังไม่ต้องการให้ชากิรี่ย้ายทีม สุดท้ายการเจรจาจึงไม่เกิดขึ้น จนในที่สุดในปี 2015 ชากิรี่ ก็ได้ย้ายออกจากทีมไปสำเร็จ โดยได้ไปอยู่กับอินเตอร์มิลาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับสโต๊กซิตี้ในที่สุด
ส่วนซาลาห์นั้นพอโด่งดังกับบาเซิ่ล ก็เป็นที่สนใจของหลายสโมสรอังกฤษ โดยในปี 2014 หงส์แดงเป็นทีมที่เปิดฉากเจรจากับซาลาห์ ซึ่งการเจรจานั้นกินเวลายาวนานมาก จนแฟนบอลเข้าใจว่าดีลนี้ไม่น่าพลาดแน่ๆ (ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ยังงุนงงว่า พี่ซาลาห์นั้นคือใคร และทำไมเราถึงอยากได้ แต่ด้วยข่าวที่โดนเล่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่ก็เคลิ้ม และก็คิดว่าตานี่ต้องมีดี และการมีนักเตะมาเสริมทีม มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรมาเสริมเลย) แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ด้วยความที่เจรจาค่าตัวไม่ลงตัว ก็เป็นเชลซีที่ปาดหน้าคว้าตัวไปด้วยราคา 11 ล้านปอนด์ ซึ่งสร้างความช็อคให้กับแฟนบอลพอสมควร (อารมณ์คล้ายๆกับดีลเฟรคีย์ที่ล่มไป แต่เอฟเฟกต์เบากว่า เนื่องจากซาลาห์ในตอนนั้นไม่ดังเท่าเฟรคีย์ในตอนนี้)
สรุปก็คือ หงส์แห้วนักเตะทั้ง 2 คนนี้ในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมาก แต่ก็ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ความเหมือนอย่างที่สาม การมาที่แอนฟิลด์ สำหรับการมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันรอบนี้ ซาลาห์กลายเป็นรุ่นพี่ ที่มีโอกาสเข้าร่วมทีมก่อนชากิรี่ 1 ปี และเพียงแค่ฤดูกาลเดียว ซาลาห์ก็สถาปนาตัวเองขึ้นไปเป็น Superstar เบอร์ 1 ของหงส์แดงไปเรียบร้อยแล้ว จากผลงานยิงระเบิดไป 44 ประตูจากแค่ 52 เกมในฤดูกาลที่แล้ว ส่วนชากิรี่นั้นหลังจากยิง 8 ประตู จาก 36 เกมในลีคให้กับสโต๊ก แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยทีมให้รอดจากการตกชั้นได้ ก็ทำให้คลอปที่เพิ่งพลาดหวังกับดีลเฟร์คีย์หันมาหาชากิรี่ด้วยการจ่ายเพียง 13.5 ล้านปอนด์ในยุคเงินเฟ้อให้กับสโต๊กตามเงื่อนไขในกรณีทีมต้องตกชั้น
ความเหมือนอย่างสุดท้าย แต่คงไม่ท้ายสุดก็คือ การที่ทั้งสองคนได้มีโอกาสมาร่วมกับทีมลิเวอร์พูลในช่วงที่เค้าสั่งสมประสบการณ์มาพอสมควร และก็พร้อมจะเดินหน้าเพื่อไล่ล่าความสำเร็จกับทีม
ตัวของซาลาห์นั้นตอนแรกมีคำถามกับค่าตัว 37 ล้านปอนด์ที่ประเคนให้กับโรม่า เนื่องจากว่าหลายๆคนคงติดตากับภาพความล้มเหลวของเค้าในช่วง 2 ฤดูกาลอันย่ำแย่ที่เชลซี แต่ก็อย่างว่าสายตาของกุนซือระดับโลกอย่างคลอป กับสายตาแมวๆอย่างเรา มันย่อมต้องเห็นอะไรหลายๆอย่างที่คิดว่าคงมาปรับใช้ให้ได้ผลดีกับลิเวอร์พูล และก็อย่างที่เห็นกันค่าตัว 37 ล้าน แทบกลายเป็นเศษเงินทันทีในเพียงแค่ฤดูกาลแรกกับลิเวอร์พูล
ดีปีเดียว 🤔 อย่ามาพูดคำนี้ให้พี่ได้ยินนะฮะ 😂
ส่วนชากิรี่ถึงจะคว้ามาในราคาแสนถูก แต่หลายๆคนก็กังวลใจกับทัศนคติในการเล่น เพราะพี่แกก็มีปัญหากับเกือบทุกทีมที่ลงเล่นเช่นกัน แต่จากการออกสื่อสัมภาษณ์ การแสดงออกของเค้ากับคลอปที่เราเห็นตอนถ่ายทอดสด มันก็อุ่นใจได้อย่างหนึ่งว่า เค้าคงเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น และก็พร้อมที่จะเข้าใจในวิถีของนักฟุตบอลมากขึ้น ซึ่งจากช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล ชากิรี่ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งที่มีโอกาสลงสนาม โดยตอนนี้ยิงไป 5 ประตู จากการลงสนามแค่ 13 นัดในลีค
จะเห็นว่ากราฟชีวิตของนักเตะทั้งสองคนในช่วงที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูลนั้น มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่ง ณ จุดนี้ เค้าทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นกำลังที่สำคัญมากของทีม และถึงแม้ว่าความแตกต่างอย่างเดียวในเวลานี้ก็คือ ซาลาห์ คือตัวหลักที่ต้องลงตัวจริงโดยขาดไม่ได้ ส่วนชากิรี่ก็เป็นกำลังสำรองที่สำคัญมากกับทีมเช่นกัน แต่ความเหมือนกันในด้านฟอร์มการเล่น ทัศนคติ ทักษะที่มี และที่สำคัญคือการมีบทบาทในการตัดสินเกมสำคัญๆ ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นักเตะ สตาฟ และแฟนบอลทั้งโลกเฝ้ารอ นั่นก็คือแชมป์ลีคสูงสุด มันก็อาจจะหวนคืนสู่แอนฟิลด์อีกครั้งในเร็ววัน
และถึงแม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านมาแค่ครึ่งฤดูกาล แต่ด้วยโมเมนตัม โชค ดวง หรืออะไรก็ตามที่ดูจะเข้าทางลิเวอร์พูลไปหมด มันก็ไม่ใช่ว่าจะพาให้ทีมก้าวสู่เส้นชัยไปได้ง่ายๆ เพราะอย่าลืมไปว่า โชค ดวง อะไรต่างๆเหล่านั้น เราอาจจะใช้มันจนไปหมดแล้วก็ได้ ดังนั้นการก้าวเดินไปด้วยตัวเองอย่างแข็งแกร่ง จะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะพาทีมไปสู่จุดหมาย ไม่ใช่เพียงแค่นักเตะสองคนนี้เท่านั้นที่จะมีบทบาทให้เล่น แต่หงส์แดงทั้งทีมยังมีกำลังสำคัญในเกมรุกหน้าเดิมๆ รวมถึงหน้าใหม่ที่กำลังปรับตัว และออฟชั่นพิเศษอย่างนักเตะเกมรับระดับโลกอีก 2 คน ที่ทีมโหยหามานาน
หงส์แดงชุดนี้ถ้าอยู่ด้วยกันได้อีก 2-3 ปี ก็น่าจะกลายเป็นหงส์แดงชุดที่มีองค์ประกอบของทีมยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีคเป็นต้นมามั้งนะ 🤔🤔
เพราะในเวลานั้น นักเตะหลายๆคนคงมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นนักเตะระดับโลกได้อีกมากพอสมควรถ้ามองจสกพัฒนาการในเวลานี้ (รบส, มาเน่ , เกอิต้า, ฟาบินโญ่, ฟีร์มิโน่) ซึ่งการที่จะรวมทีมให้เป็นอย่างนั้นได้ สิ่งสำคัญก็คือตู้โชว์ของสโมสรต้องเริ่มมีถ้วยมาประดับบ้างแล้ว (ถ้วยโตๆ ไม่ใช่บอลถ้วยในบ้าน หรือแชมป์ออดี้คัพนะฮะ 😂🤣) เพราะการที่ทีมเล่นสวย สื่อชม คนรัก แต่ไร้ถ้วย 😫 มันก็ไม่ใช่คำตอบที่นักเตะส่วนใหญ่ต้องการอยู่แล้ว ถ้าลิเวอร์พูลในยุคของคลอปยังทำเช่นนี้ไม่ได้ มันก็คงไม่ต่างจากยุคเบนิเตซ หรือ BR ที่เคยมีทีมที่ดี เล่นสนุก แต่ผลสุดท้ายบทสรุปก็เหมือนๆ กันคือ "ไร้แชมป์ลีค" 😥
3 กุนซือที่ทำทีมได้ลุ้นแชมป์ลีคทุกคน แต่ในเวลานี้คลอปมีโอกาสสร้างปลายทาง ที่แตกต่าง 🥰
ยังไงก็ตาม 18 เกมที่เพิ่งผ่านไป ถ้าเรามองมึนๆ ก็จะพบว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว ดังนั้นแค่ชนะรวดก็แชมป์แน่นอนฮะ 😂🤣 มันก็จะเหมือนดังที่คลอปบอกกับสื่อไว้ว่า ถ้าจะพาดหัวข่าวว่า "คลอปบอก 105 แต้มถึงเป็นแชมป์" มันก็คงเป็นจริงได้ แต่ขอพูดจริงๆจากใจว่าถ้าจบตอนนี้เแล้วได้แชมป์กับการมีแค่ 48 แต้ม ผมก็แทบจะวิ่งแก้ผ้าดีใจรอบที่ทำงานแล้วล่ะ 😁😁
ซาลาห์ ซากิรี่ และความเหมือนที่แตกต่าง!!
ถ้ามองจาก Topic คงมีแฟนบอลหลายๆ คนเดาออกว่าบทความนี้จะกล่าวถึงเรื่องใด
ใช่ฮะ เรามาจะล้วงลึกกันที่สองนักเตะของลิเวอร์พูลอย่างซาลาห์ ผู้มีฟอร์มร้อนแรงและมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานของทีมร้อนแรงอยู่ในเวลานี้
ชากิรี่และซาลาห์ที่ตอนอยู่บาเซิ่ล ไม่ได้มีโอกาสลงเล่นด้วยกันเลย 😮
ส่วนอีกคนก็คือชากิรี่ ที่ผลงานยามลงสนามก็เด็ดดวงเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้เป็น 11 คนแรก แต่เค้าก็ยิงประตูสำคัญๆ จนมีส่วนให้หงส์แดงผงาดได้อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะการยิง (เฉี่ยว) จนเป็นที่มาของ 2 ประตูในเกมดับผีแดง
แล้วอะไรล่ะ ที่เหมือนกัน
ความเหมือนอย่างแรก บาเซิ่ล สโมสรที่เริ่มโด่งดัง ทั้งสองคนนั้นเป็นที่รู้จักจากฟอร์มการเล่นให้กับยอดทีมแห่งสวิตเซอร์แลนด์สโมสรนี้ โดยชากิรี่คือสตาร์ประจำทีม ที่โดนบาเยิร์นคว้าตัวไปในปี 2012 และในช่วงที่ชากิรี่กำลังจะย้ายทีมมันคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ทางบาเซิ่ลก็ได้เรียกซาลาห์เข้ามาทดสอบฝีเท้า ซึ่งในช่วง session การซ้อมนั้นเองที่ทำให้ทั้ง 2 คนได้พบเจอกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีโอกาสร่วมเล่นด้วยกันเลย จากนั้นเมื่อชากิรี่ไปยังบาเยิร์น ก็เป็นซาลาห์ที่เข้ามาแทนที่เค้าที่บาเซิล ก่อนจะเริ่มโชว์ความโดดเด่นและเป็นที่สนใจของหลายๆ สโมสรในยุโรป
ความเหมือนอย่างที่สอง เกือบได้มาใส่ชุดแดงเพลิงในฤดูกาล 2013/14 ในช่วงเวลาที่ชากิรี่อยู่กับเสือใต้ระหว่างปี 2014 โอกาสในการเล่นของเค้าค่อนข้างจำกัดในยุคของกวาดิโอล่า ทำให้เค้าต้องการย้ายทีม ซึงกุนซือของหงส์แดงในเวลานั้นอย่าง BR ก็มีความสนใจในตัวเค้าเช่นกัน แต่ว่าตอนนั้นบาเยิร์นยังไม่ต้องการให้ชากิรี่ย้ายทีม สุดท้ายการเจรจาจึงไม่เกิดขึ้น จนในที่สุดในปี 2015 ชากิรี่ ก็ได้ย้ายออกจากทีมไปสำเร็จ โดยได้ไปอยู่กับอินเตอร์มิลาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับสโต๊กซิตี้ในที่สุด
ส่วนซาลาห์นั้นพอโด่งดังกับบาเซิ่ล ก็เป็นที่สนใจของหลายสโมสรอังกฤษ โดยในปี 2014 หงส์แดงเป็นทีมที่เปิดฉากเจรจากับซาลาห์ ซึ่งการเจรจานั้นกินเวลายาวนานมาก จนแฟนบอลเข้าใจว่าดีลนี้ไม่น่าพลาดแน่ๆ (ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ยังงุนงงว่า พี่ซาลาห์นั้นคือใคร และทำไมเราถึงอยากได้ แต่ด้วยข่าวที่โดนเล่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่ก็เคลิ้ม และก็คิดว่าตานี่ต้องมีดี และการมีนักเตะมาเสริมทีม มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรมาเสริมเลย) แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ด้วยความที่เจรจาค่าตัวไม่ลงตัว ก็เป็นเชลซีที่ปาดหน้าคว้าตัวไปด้วยราคา 11 ล้านปอนด์ ซึ่งสร้างความช็อคให้กับแฟนบอลพอสมควร (อารมณ์คล้ายๆกับดีลเฟรคีย์ที่ล่มไป แต่เอฟเฟกต์เบากว่า เนื่องจากซาลาห์ในตอนนั้นไม่ดังเท่าเฟรคีย์ในตอนนี้)
สรุปก็คือ หงส์แห้วนักเตะทั้ง 2 คนนี้ในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมาก แต่ก็ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ความเหมือนอย่างที่สาม การมาที่แอนฟิลด์ สำหรับการมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันรอบนี้ ซาลาห์กลายเป็นรุ่นพี่ ที่มีโอกาสเข้าร่วมทีมก่อนชากิรี่ 1 ปี และเพียงแค่ฤดูกาลเดียว ซาลาห์ก็สถาปนาตัวเองขึ้นไปเป็น Superstar เบอร์ 1 ของหงส์แดงไปเรียบร้อยแล้ว จากผลงานยิงระเบิดไป 44 ประตูจากแค่ 52 เกมในฤดูกาลที่แล้ว ส่วนชากิรี่นั้นหลังจากยิง 8 ประตู จาก 36 เกมในลีคให้กับสโต๊ก แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยทีมให้รอดจากการตกชั้นได้ ก็ทำให้คลอปที่เพิ่งพลาดหวังกับดีลเฟร์คีย์หันมาหาชากิรี่ด้วยการจ่ายเพียง 13.5 ล้านปอนด์ในยุคเงินเฟ้อให้กับสโต๊กตามเงื่อนไขในกรณีทีมต้องตกชั้น
ความเหมือนอย่างสุดท้าย แต่คงไม่ท้ายสุดก็คือ การที่ทั้งสองคนได้มีโอกาสมาร่วมกับทีมลิเวอร์พูลในช่วงที่เค้าสั่งสมประสบการณ์มาพอสมควร และก็พร้อมจะเดินหน้าเพื่อไล่ล่าความสำเร็จกับทีม
ตัวของซาลาห์นั้นตอนแรกมีคำถามกับค่าตัว 37 ล้านปอนด์ที่ประเคนให้กับโรม่า เนื่องจากว่าหลายๆคนคงติดตากับภาพความล้มเหลวของเค้าในช่วง 2 ฤดูกาลอันย่ำแย่ที่เชลซี แต่ก็อย่างว่าสายตาของกุนซือระดับโลกอย่างคลอป กับสายตาแมวๆอย่างเรา มันย่อมต้องเห็นอะไรหลายๆอย่างที่คิดว่าคงมาปรับใช้ให้ได้ผลดีกับลิเวอร์พูล และก็อย่างที่เห็นกันค่าตัว 37 ล้าน แทบกลายเป็นเศษเงินทันทีในเพียงแค่ฤดูกาลแรกกับลิเวอร์พูล
ดีปีเดียว 🤔 อย่ามาพูดคำนี้ให้พี่ได้ยินนะฮะ 😂
ส่วนชากิรี่ถึงจะคว้ามาในราคาแสนถูก แต่หลายๆคนก็กังวลใจกับทัศนคติในการเล่น เพราะพี่แกก็มีปัญหากับเกือบทุกทีมที่ลงเล่นเช่นกัน แต่จากการออกสื่อสัมภาษณ์ การแสดงออกของเค้ากับคลอปที่เราเห็นตอนถ่ายทอดสด มันก็อุ่นใจได้อย่างหนึ่งว่า เค้าคงเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น และก็พร้อมที่จะเข้าใจในวิถีของนักฟุตบอลมากขึ้น ซึ่งจากช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล ชากิรี่ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งที่มีโอกาสลงสนาม โดยตอนนี้ยิงไป 5 ประตู จากการลงสนามแค่ 13 นัดในลีค
จะเห็นว่ากราฟชีวิตของนักเตะทั้งสองคนในช่วงที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูลนั้น มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่ง ณ จุดนี้ เค้าทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นกำลังที่สำคัญมากของทีม และถึงแม้ว่าความแตกต่างอย่างเดียวในเวลานี้ก็คือ ซาลาห์ คือตัวหลักที่ต้องลงตัวจริงโดยขาดไม่ได้ ส่วนชากิรี่ก็เป็นกำลังสำรองที่สำคัญมากกับทีมเช่นกัน แต่ความเหมือนกันในด้านฟอร์มการเล่น ทัศนคติ ทักษะที่มี และที่สำคัญคือการมีบทบาทในการตัดสินเกมสำคัญๆ ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นักเตะ สตาฟ และแฟนบอลทั้งโลกเฝ้ารอ นั่นก็คือแชมป์ลีคสูงสุด มันก็อาจจะหวนคืนสู่แอนฟิลด์อีกครั้งในเร็ววัน
และถึงแม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านมาแค่ครึ่งฤดูกาล แต่ด้วยโมเมนตัม โชค ดวง หรืออะไรก็ตามที่ดูจะเข้าทางลิเวอร์พูลไปหมด มันก็ไม่ใช่ว่าจะพาให้ทีมก้าวสู่เส้นชัยไปได้ง่ายๆ เพราะอย่าลืมไปว่า โชค ดวง อะไรต่างๆเหล่านั้น เราอาจจะใช้มันจนไปหมดแล้วก็ได้ ดังนั้นการก้าวเดินไปด้วยตัวเองอย่างแข็งแกร่ง จะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะพาทีมไปสู่จุดหมาย ไม่ใช่เพียงแค่นักเตะสองคนนี้เท่านั้นที่จะมีบทบาทให้เล่น แต่หงส์แดงทั้งทีมยังมีกำลังสำคัญในเกมรุกหน้าเดิมๆ รวมถึงหน้าใหม่ที่กำลังปรับตัว และออฟชั่นพิเศษอย่างนักเตะเกมรับระดับโลกอีก 2 คน ที่ทีมโหยหามานาน
หงส์แดงชุดนี้ถ้าอยู่ด้วยกันได้อีก 2-3 ปี ก็น่าจะกลายเป็นหงส์แดงชุดที่มีองค์ประกอบของทีมยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีคเป็นต้นมามั้งนะ 🤔🤔
เพราะในเวลานั้น นักเตะหลายๆคนคงมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นนักเตะระดับโลกได้อีกมากพอสมควรถ้ามองจสกพัฒนาการในเวลานี้ (รบส, มาเน่ , เกอิต้า, ฟาบินโญ่, ฟีร์มิโน่) ซึ่งการที่จะรวมทีมให้เป็นอย่างนั้นได้ สิ่งสำคัญก็คือตู้โชว์ของสโมสรต้องเริ่มมีถ้วยมาประดับบ้างแล้ว (ถ้วยโตๆ ไม่ใช่บอลถ้วยในบ้าน หรือแชมป์ออดี้คัพนะฮะ 😂🤣) เพราะการที่ทีมเล่นสวย สื่อชม คนรัก แต่ไร้ถ้วย 😫 มันก็ไม่ใช่คำตอบที่นักเตะส่วนใหญ่ต้องการอยู่แล้ว ถ้าลิเวอร์พูลในยุคของคลอปยังทำเช่นนี้ไม่ได้ มันก็คงไม่ต่างจากยุคเบนิเตซ หรือ BR ที่เคยมีทีมที่ดี เล่นสนุก แต่ผลสุดท้ายบทสรุปก็เหมือนๆ กันคือ "ไร้แชมป์ลีค" 😥
3 กุนซือที่ทำทีมได้ลุ้นแชมป์ลีคทุกคน แต่ในเวลานี้คลอปมีโอกาสสร้างปลายทาง ที่แตกต่าง 🥰
ยังไงก็ตาม 18 เกมที่เพิ่งผ่านไป ถ้าเรามองมึนๆ ก็จะพบว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว ดังนั้นแค่ชนะรวดก็แชมป์แน่นอนฮะ 😂🤣 มันก็จะเหมือนดังที่คลอปบอกกับสื่อไว้ว่า ถ้าจะพาดหัวข่าวว่า "คลอปบอก 105 แต้มถึงเป็นแชมป์" มันก็คงเป็นจริงได้ แต่ขอพูดจริงๆจากใจว่าถ้าจบตอนนี้เแล้วได้แชมป์กับการมีแค่ 48 แต้ม ผมก็แทบจะวิ่งแก้ผ้าดีใจรอบที่ทำงานแล้วล่ะ 😁😁