เรื่องมีอยู่ว่า เราแต่งงานกับสามีชาวอิตาลี
ย้ายมาอยู่ต่างประเทศกับสามีได้หกเจ็ดปีแล้ว
ก่อนมาอยู่พ่อปู่ดาวน์บ้านให้เป็นของขวัญ
แต่แบ่งกับพี่ชายคนละครึ่ง
ตัวบ้านจะเป็นสองชั้น ชั้นบนกับชั้นล่าง
แต่แยกสัดส่วนชัดเจนบันไดขึ้นชั้นบนไม่ผ่านชั้นล่าง
แต่แปลนบ้านห้องทุกห้องจะตรงกัน เพราะเป็นบ้านสมัยก่อน เรามาอยู่ก่อนเลยเลือกชั้นบน เพราตอนนั้นชั้นล่างยังปูพื้นไม่เสร็จ ก็อยู่มาเรื่อยตามอัตภาพ
หลังจากนั้นสามปี พี่ชายสามีได้แต่งงานกับผญบราซิล
และพาย้ายมาอยู่ชั้นล่าง
เราก็ไม่อะไร เพราะนิสัยเราจะไม่ชอบยุ่งกับใครอยู่แล้ว
ก็ต่างคนต่างอยู่ไป
ปีแรกผ่านไปก็ราบรื่นดีจนนางมีลูกพอหลังคลอด
นางก็เริ่มออกลาย
เริ่มเปิดเพลงเสียงดัง ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้
กินเบียร์กันเสียงดัง
วันธรรมดาก็เปิดเพลงลั่นบ้าน (ลูกนางก็ยังเด็กก็อยู่แบบนั้น) บางทีเรารำคาญก็บอกสามีนางบ้างให้นางเบาๆหน่อย ก็ฟังบางครั้ง บางครั้งก็ไม่สนใจ
เรามีเหตุให้กลับไทยสองปี แต่ลูกคนโตเรายังอยู่บ้านหลังนี้เพราะติดเรียน ลูกคนเล็กเราเอาไปด้วย
ระหว่างสองปีที่เราไม่อยู่ ลูกเราจะโทรมาบอกตลอด
ว่านางชอบมาเอาของในบ้านเราไปใช้โดยไม่ขออนุญาติ พอสามีเรารู้ก็ทำได้แค่ตำหนินาง แต่นางก็ไม่สนใจ ก่อนเราจะกลับมาประมาณหกเดือนสามีนางได้งานทำที่ต่างประเทศ จะกลับบ้านทุกๆสองอาทิตย์
พอเรากลับมาอยู่อิตาลี
วินาทีที่เจอนาง นางไม่คุยกับเราเลย
คือก็งงๆนะว่าเพราะอะไร
ก่อนเราไปก็ยังคุยยังทักทายถึงไม่บ่อยแต่ก็ยังคุยอ่ะ แต่พอมาครั้งนี้ เรารู้สึกเลยว่านางไม่ชอบเรา รังสีเกลียดแผ่ออกมาเลยอ่ะ ลูกเรายังบอกนางเป็นไรแม่
แม่ย่าทำกับข้าวเลี้ยงต้อนรับที่เรากลับมา
นางก็ไม่มาร่วมทานอาหาร
มาแค่ผัวกับลูกและลูกติดนาง
เราก็ชักจะใช่ที่นางไม่ชอบเรา
ในระยะสามสี่เดือนที่เรากลับมาก็จะมีเรื่องมีราวเกี่ยวกับนางมาให้ได้ยินตลอด ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
เราก็ได้แค่รับฟังเพราะเราไม่สนใจอยู่แล้ว
แต่เรื่องที่เปิดเพลงเสียงดังก็ยังมีมาเรื่อยๆ
จนอาทิตย์ที่แล้ว นางมีเรื่องทะเลาะกับแม่ย่า
เพราะเอาลูกไปฝากแม่ย่าเลี้ยงบ่อยจนแม่ย่าบ่นเหนื่อยและบอกให้นางหัดรับผิดชอบเองบ้าง แม่ย่าอยากพักผ่อนเพราะแกแก่มากแล้ว แกช่วยได้แต่ไม่ทุกวัน
นางไม่พอใจที่แม่ย่าตำหนินางเรื่องที่ไปเที่ยวกลางคืนบ่อยแล้วเอาลูกมาทิ้งให้เลี้ยง
แม่ย่าด่านางว่าถ้าไม่มีปัญญาเลี้ยงก็อย่าทำมันออกมา
คือแรงมากคำนี้ เราได้ยินยังสะอึก
หลังจากนั้น
นางก็มาใส่อารมณ์ที่บ้านด้วยการแหกปากเปิดเพลงหนวกหูเรา และ เปิดทุกวัน
เปิดสุดเสียง จนพื้นบ้านสั่นตือๆ
ลูกเราจะอ่านหนังสือก็ไม่ได้อ่าน
คือดังมากนะดังจริงๆ
เราก็บอกสามีว่าไปบอกให้นางเบาเสียงหน่อย
บอกสามีนาง ผ่านไปก็ไม่เห็นจะเงียบ
วันนี้ก็เปิดอีกตั้งแต่บ่าย เราจะดูหนังก็ไม่รู้เรื่อง เพราะห้องมันตรงกัน เสียงมันก็มาเต็มๆ
เราเลยลงไปเคาะเรียกให้เบาเสียง
ก็ไม่ยอมเปิดประตู เรามีกุญแจเลยเปิดเข้าไป
แล้วบอกว่าเบาเสียงหน่อยมันดังเกินไป
นางก็ตอบกลับมาว่าบ้านนางจะทำอะไรก็เรื่องของนาง
ด้วยสีหน้าและแววตาคือโนสน โนแคร์
แถมนางก็เปิดขึ้นอีกสุดเสียง แบบประชดเรา
เราก็ปรี้ดแตกเลยสิทีนี้
เลยออกมาสับสวิทย์ไฟลง ดับทั้งบ้าน
นางปรีมาผลักเราช่วงที่เราเซนางตบหน้าเราแล้วก็ผลักอีก สามีเรารีบกระชากนางออก
เเล้วนางก็ทะเลาะกับสามีเราต่อ
ช่วงนั้นมึนเพราะโดนตบ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พอตั้งสติได้ เราก็จะตบคืน แต่สามีเรากันไว้
เลยได้แต่ตะโกนด่ากันไปมา
สามีเราบอกนางให้หยุดเพราะ
แจ้งตำรวจแล้ว
นางก็ไม่หยุด เอาแต่พูดว่าบ้านชั้นจะทำอะไรก็บ้านชั้น
เราสวนกลับบอกอย่ามาบอกว่าบ้าน เมิง เพราะเมิงไม่ได้จ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียว
ขนาดเรายังไม่เคยพูดว่านี่คือบ้านเรา
เราบอกตลอดว่านี่คือบ้านสามีกับพี่ชาย
นางก็แหกปากอยู่แต่ว่าบ้านกู๊บ้านกู
สามีก็ดันให้นางเข้าบ้าน ไม่ถึงห้านาทีตำรวจมา
ก็มาสอบปากคำฝ่ายแจ้งไปก่อน เราก็เล่าตามจริง
ตำรวจก็บอกว่านางผิดที่เสียงดังรบกวนคนอื่นต่อให้อยู่บ้านตัวเองถ้ามีคนร้องเรียนนางก็ผิด
พอจบจากสอบปากคำเราช่วงเวลาไม่ถึงห้านาที
ตำรวจก็ลงไปจะสอบปากคำนาง
นางชิงหนีออกจากบ้านไปเลยจ้า
สามีบอกเก่งจริงไม่อยู่พบตำรวจล่ะหนีทำมัย
ตำรวจก็ไปตรวจในบ้านนาง พบขวดเบียร์กองพะเนิน
ตำรวจเลยลงบันทึกไว้ว่านางน่าจะมีปัญหาระบบประสาท เพราะสูบบุหรี่และดื่มจัด
ตำรวจแนะนำให้ไปรพ ตรวจร่างกาย ไว้เป็นหลักฐาน
ได้แผลมานิดหน่อย รอยเล็บและรอยช้ำ
ไปตรวจร่างกายแล้วหมอก็แนะนำว่าอย่ายอมความ
เพราะการทำร้ายร่างกายถือว่ารุนแรง
กลับจากรพสามีพาไปบ้านย่า
สามีเล่าให้แม่ฟัง แม่ย่าก็สงสารเรา
และก็บอกว่าไม่น่าต้องตบตีกันเลย
แสดงว่านางเกลียดเราน่าดู เราก็เอ๊ะยังงัย
แม่ย่าเลยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เราบอกว่าจะกลับมา
นางพูดกับแม่ย่าว่า
ลูกสะใภ้คนโปรดจะกลับมาดีใจใหญ่เลยนะ
ใช่สิเธอรักสะใภ้เล็กมากกว่าชั้น
แม่ย่าก็บอกเธอเข้าใจผิดแล้ว
แม่ย่าดีใจเพราะคิดถึงหลานไม่เกี่ยวกับเราเลย
นางก็เอาแต่เปรียบเทียบเรา
เปรียบเทียบแม้กระทั่งลูกเรากับลูกนาง ว่าแม่ย่าลำเอียง
ถึงบางอ้อว่านางอิจฉาเรา แต่ งงว่ามีไรให้อิจฉา
นั่งไล่เรียงตั้งแต่อดีตจนตอนนี้ยังหาไม่เจอว่าตรงใหนที่น่าอิจฉา
แม่ย่าชวนไปอยู่ด้วยอยากให้สบายใจ
เราเลยบอกเราไม่เคยคิดจะไปอยู่ เพราะ ไลฟ์สไตล์เราต่างกับแม่ย่ามาก
กลัวแกจะบ่นเรื่องกลิ่นปลาร้าเรา
สามีบอกเดี๋ยวค่อยๆหาทางออก
เพราะสามีก็ไม่อยากให้อยู่บ้านนี้แล้ว
สามีอยากย้ายไปอยู่กับแม่มากกว่าไปเช่าบ้านอยู่
ตอนนี้เรารู้สึกหวาดระแวงผญคนนี้ไปละ
กลัวว่าถ้านางมีปัณหาทางจิตจริงๆนางจะมาทำร้ายเรากับลูก
เพราะตลอดชีวิตเราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะขนาดนี้เลย
เราไม่รู้กฏหมายที่นี่ หรืออะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย
ทะเลาะกันเพราะเปิดเพลงเสียงดัง
ย้ายมาอยู่ต่างประเทศกับสามีได้หกเจ็ดปีแล้ว
ก่อนมาอยู่พ่อปู่ดาวน์บ้านให้เป็นของขวัญ
แต่แบ่งกับพี่ชายคนละครึ่ง
ตัวบ้านจะเป็นสองชั้น ชั้นบนกับชั้นล่าง
แต่แยกสัดส่วนชัดเจนบันไดขึ้นชั้นบนไม่ผ่านชั้นล่าง
แต่แปลนบ้านห้องทุกห้องจะตรงกัน เพราะเป็นบ้านสมัยก่อน เรามาอยู่ก่อนเลยเลือกชั้นบน เพราตอนนั้นชั้นล่างยังปูพื้นไม่เสร็จ ก็อยู่มาเรื่อยตามอัตภาพ
หลังจากนั้นสามปี พี่ชายสามีได้แต่งงานกับผญบราซิล
และพาย้ายมาอยู่ชั้นล่าง
เราก็ไม่อะไร เพราะนิสัยเราจะไม่ชอบยุ่งกับใครอยู่แล้ว
ก็ต่างคนต่างอยู่ไป
ปีแรกผ่านไปก็ราบรื่นดีจนนางมีลูกพอหลังคลอด
นางก็เริ่มออกลาย
เริ่มเปิดเพลงเสียงดัง ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้
กินเบียร์กันเสียงดัง
วันธรรมดาก็เปิดเพลงลั่นบ้าน (ลูกนางก็ยังเด็กก็อยู่แบบนั้น) บางทีเรารำคาญก็บอกสามีนางบ้างให้นางเบาๆหน่อย ก็ฟังบางครั้ง บางครั้งก็ไม่สนใจ
เรามีเหตุให้กลับไทยสองปี แต่ลูกคนโตเรายังอยู่บ้านหลังนี้เพราะติดเรียน ลูกคนเล็กเราเอาไปด้วย
ระหว่างสองปีที่เราไม่อยู่ ลูกเราจะโทรมาบอกตลอด
ว่านางชอบมาเอาของในบ้านเราไปใช้โดยไม่ขออนุญาติ พอสามีเรารู้ก็ทำได้แค่ตำหนินาง แต่นางก็ไม่สนใจ ก่อนเราจะกลับมาประมาณหกเดือนสามีนางได้งานทำที่ต่างประเทศ จะกลับบ้านทุกๆสองอาทิตย์
พอเรากลับมาอยู่อิตาลี
วินาทีที่เจอนาง นางไม่คุยกับเราเลย
คือก็งงๆนะว่าเพราะอะไร
ก่อนเราไปก็ยังคุยยังทักทายถึงไม่บ่อยแต่ก็ยังคุยอ่ะ แต่พอมาครั้งนี้ เรารู้สึกเลยว่านางไม่ชอบเรา รังสีเกลียดแผ่ออกมาเลยอ่ะ ลูกเรายังบอกนางเป็นไรแม่
แม่ย่าทำกับข้าวเลี้ยงต้อนรับที่เรากลับมา
นางก็ไม่มาร่วมทานอาหาร
มาแค่ผัวกับลูกและลูกติดนาง
เราก็ชักจะใช่ที่นางไม่ชอบเรา
ในระยะสามสี่เดือนที่เรากลับมาก็จะมีเรื่องมีราวเกี่ยวกับนางมาให้ได้ยินตลอด ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย
เราก็ได้แค่รับฟังเพราะเราไม่สนใจอยู่แล้ว
แต่เรื่องที่เปิดเพลงเสียงดังก็ยังมีมาเรื่อยๆ
จนอาทิตย์ที่แล้ว นางมีเรื่องทะเลาะกับแม่ย่า
เพราะเอาลูกไปฝากแม่ย่าเลี้ยงบ่อยจนแม่ย่าบ่นเหนื่อยและบอกให้นางหัดรับผิดชอบเองบ้าง แม่ย่าอยากพักผ่อนเพราะแกแก่มากแล้ว แกช่วยได้แต่ไม่ทุกวัน
นางไม่พอใจที่แม่ย่าตำหนินางเรื่องที่ไปเที่ยวกลางคืนบ่อยแล้วเอาลูกมาทิ้งให้เลี้ยง
แม่ย่าด่านางว่าถ้าไม่มีปัญญาเลี้ยงก็อย่าทำมันออกมา
คือแรงมากคำนี้ เราได้ยินยังสะอึก
หลังจากนั้น
นางก็มาใส่อารมณ์ที่บ้านด้วยการแหกปากเปิดเพลงหนวกหูเรา และ เปิดทุกวัน
เปิดสุดเสียง จนพื้นบ้านสั่นตือๆ
ลูกเราจะอ่านหนังสือก็ไม่ได้อ่าน
คือดังมากนะดังจริงๆ
เราก็บอกสามีว่าไปบอกให้นางเบาเสียงหน่อย
บอกสามีนาง ผ่านไปก็ไม่เห็นจะเงียบ
วันนี้ก็เปิดอีกตั้งแต่บ่าย เราจะดูหนังก็ไม่รู้เรื่อง เพราะห้องมันตรงกัน เสียงมันก็มาเต็มๆ
เราเลยลงไปเคาะเรียกให้เบาเสียง
ก็ไม่ยอมเปิดประตู เรามีกุญแจเลยเปิดเข้าไป
แล้วบอกว่าเบาเสียงหน่อยมันดังเกินไป
นางก็ตอบกลับมาว่าบ้านนางจะทำอะไรก็เรื่องของนาง
ด้วยสีหน้าและแววตาคือโนสน โนแคร์
แถมนางก็เปิดขึ้นอีกสุดเสียง แบบประชดเรา
เราก็ปรี้ดแตกเลยสิทีนี้
เลยออกมาสับสวิทย์ไฟลง ดับทั้งบ้าน
นางปรีมาผลักเราช่วงที่เราเซนางตบหน้าเราแล้วก็ผลักอีก สามีเรารีบกระชากนางออก
เเล้วนางก็ทะเลาะกับสามีเราต่อ
ช่วงนั้นมึนเพราะโดนตบ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พอตั้งสติได้ เราก็จะตบคืน แต่สามีเรากันไว้
เลยได้แต่ตะโกนด่ากันไปมา
สามีเราบอกนางให้หยุดเพราะ
แจ้งตำรวจแล้ว
นางก็ไม่หยุด เอาแต่พูดว่าบ้านชั้นจะทำอะไรก็บ้านชั้น
เราสวนกลับบอกอย่ามาบอกว่าบ้าน เมิง เพราะเมิงไม่ได้จ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียว
ขนาดเรายังไม่เคยพูดว่านี่คือบ้านเรา
เราบอกตลอดว่านี่คือบ้านสามีกับพี่ชาย
นางก็แหกปากอยู่แต่ว่าบ้านกู๊บ้านกู
สามีก็ดันให้นางเข้าบ้าน ไม่ถึงห้านาทีตำรวจมา
ก็มาสอบปากคำฝ่ายแจ้งไปก่อน เราก็เล่าตามจริง
ตำรวจก็บอกว่านางผิดที่เสียงดังรบกวนคนอื่นต่อให้อยู่บ้านตัวเองถ้ามีคนร้องเรียนนางก็ผิด
พอจบจากสอบปากคำเราช่วงเวลาไม่ถึงห้านาที
ตำรวจก็ลงไปจะสอบปากคำนาง
นางชิงหนีออกจากบ้านไปเลยจ้า
สามีบอกเก่งจริงไม่อยู่พบตำรวจล่ะหนีทำมัย
ตำรวจก็ไปตรวจในบ้านนาง พบขวดเบียร์กองพะเนิน
ตำรวจเลยลงบันทึกไว้ว่านางน่าจะมีปัญหาระบบประสาท เพราะสูบบุหรี่และดื่มจัด
ตำรวจแนะนำให้ไปรพ ตรวจร่างกาย ไว้เป็นหลักฐาน
ได้แผลมานิดหน่อย รอยเล็บและรอยช้ำ
ไปตรวจร่างกายแล้วหมอก็แนะนำว่าอย่ายอมความ
เพราะการทำร้ายร่างกายถือว่ารุนแรง
กลับจากรพสามีพาไปบ้านย่า
สามีเล่าให้แม่ฟัง แม่ย่าก็สงสารเรา
และก็บอกว่าไม่น่าต้องตบตีกันเลย
แสดงว่านางเกลียดเราน่าดู เราก็เอ๊ะยังงัย
แม่ย่าเลยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เราบอกว่าจะกลับมา
นางพูดกับแม่ย่าว่า
ลูกสะใภ้คนโปรดจะกลับมาดีใจใหญ่เลยนะ
ใช่สิเธอรักสะใภ้เล็กมากกว่าชั้น
แม่ย่าก็บอกเธอเข้าใจผิดแล้ว
แม่ย่าดีใจเพราะคิดถึงหลานไม่เกี่ยวกับเราเลย
นางก็เอาแต่เปรียบเทียบเรา
เปรียบเทียบแม้กระทั่งลูกเรากับลูกนาง ว่าแม่ย่าลำเอียง
ถึงบางอ้อว่านางอิจฉาเรา แต่ งงว่ามีไรให้อิจฉา
นั่งไล่เรียงตั้งแต่อดีตจนตอนนี้ยังหาไม่เจอว่าตรงใหนที่น่าอิจฉา
แม่ย่าชวนไปอยู่ด้วยอยากให้สบายใจ
เราเลยบอกเราไม่เคยคิดจะไปอยู่ เพราะ ไลฟ์สไตล์เราต่างกับแม่ย่ามาก
กลัวแกจะบ่นเรื่องกลิ่นปลาร้าเรา
สามีบอกเดี๋ยวค่อยๆหาทางออก
เพราะสามีก็ไม่อยากให้อยู่บ้านนี้แล้ว
สามีอยากย้ายไปอยู่กับแม่มากกว่าไปเช่าบ้านอยู่
ตอนนี้เรารู้สึกหวาดระแวงผญคนนี้ไปละ
กลัวว่าถ้านางมีปัณหาทางจิตจริงๆนางจะมาทำร้ายเรากับลูก
เพราะตลอดชีวิตเราไม่เคยมีเรื่องทะเลาะขนาดนี้เลย
เราไม่รู้กฏหมายที่นี่ หรืออะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย