น้องเราอยู่ม. 3ค่ะ คือตัวเราเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ แต่ไม่ได้แบบจับขวดเบียร์ไม่ได้หรือแอนตี้คนดื่มเหล้าเบียร์ แต่น้องเรานี่อาการหนักมากค่ะ แกอยู่ห่างแบบห่างวงคนที่เค้ากินเบียร์มากๆ แต่แกจะแบบปิดจมูกทำท่ารังเกียจแล้วเดินหนี ซึ่งประเด็นคือคนที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนพ่อทั้งนั้น แล้วกลิ่นมันไม่มีแน่ๆ เพราะเราก็เป็นคนจมูกดี ดีกว่าน้องด้วยซ้ำ แล้วเหล้าเบียร์มันไม่ใช่อาหารหรือบุหรี่ที่มีกลิ่นโชยแบบนั้นอ่ะค่ะ ยกเว้นว่าจะนั่งใกล้ๆหรือนั่งในห้องแอร์ แต่นี่ไม่ใช่ห้องแอร์ด้วย เป็นแบบเปิดโล่ง หรือเวลาเข้าโรงหนังแล้วมีฉากคนกินของพวกนี้ แกจะปิดตาไม่ยอมดู
แต่เรื่องที่ทำให้เราปรี๊ดแตกมากๆ คือพ่ออ่ะ รักน้องมากค่ะ แต่มีวันนึงที่พ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนมา(เหตุการณ์แรกที่เราเล่าคือพ่อมามีทติ้งรุ่นแล้วครอบครัวเรามาด้วย) แล้วเช้าวันจะกลับแม่ให้น้องหยิบเสื้อพ่อใส่กระเป๋าเดินทาง แต่น้องไม่ยอมจับค่ะ ทำหน้ารังเกียจมากแล้วคือภาพพ่อนี่เด้งขึ้นมาในหัวเราเลย คือพ่อรักน้องมากอ่ะแล้วทำไมน้องทำกับพ่อแบบนี้ ตอนนั้นคือสงสารพ่อมากแล้วก็โกรธน้องมาก
น้องเราพูดไม่รู้เรื่องค่ะ ไม่มีเพื่อน ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ขี้กังวล เก็บเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียว เป็นเพอเฟ็กชั่นนิสต์(อาจจะเพราะแม่เราดุมาก) ซึ่งเราเข้าใจน้องตรงนี้ค่ะ เพราะเราก็เคยเป็น ซึ่งบุคลิกภาพพวกนี้มันต้องค่อยๆปรับ ค่อยๆแก้กันไป แต่น้องเราสุดโต่งเกินไปเพราะแกไปศึกษาธรรมะค่ะ เหล้า เบียร์ อีกเรื่องที่ตอนนี้เราหนักใจคือตอนนี้น้องไม่ยอมกินข้าวค่ะ ไม่ใช่เพราะซึมนะคะ แต่น้องกลัวอ้วนค่ะ น้องจะจับท้องแขน จับท้องตัวเองแทบตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนกินข้าว หรือไม่ได้กินข้าวน้องก็จับแล้วถามว่าแขนผมเป็นยังไงบ้างครับ แล้วน้องกินข้าวน้อยลงมากค่ะ นานๆเข้าพ่อแม่ก็เริ่มไม่ไหว กินข้าวทีไรต้องดุต้องด่ากันตลอดบนโต๊ะอาหาร ซึ่งเราก็เหนื่อยใจมากค่ะ น้องผอมมากจนใส่กางเกงตัวเก่าไม่ได้อ่ะค่ะ แล้วแต่ก่อนน้องเราไม่ใช่คนอ้วนเลยด้วยซ้ำค่ะ ตามเกณฑ์ด้วย แต่ตอนนี้คือกะหร่องเลย
ที่มาถามคืออยากขอคำปรึกษาจากคนที่รู้ด้านจิตวิทยาหรือคำปรึกษา/ความคิดเห็นรอบๆด้านค่ะ เราค่อนข้างห่วงน้องค่ะ เนื่องจากว่าน้องสนิทกับเราแค่คนเดียวแล้วเราก็สนิทกับน้องมากค่ะ แล้วตัวเราเองมาเรียนอยู่ห่างบ้านค่ะ ทำให้เราไม่สามารถสอนอะไรน้องมากได้ ซึ่งพ่อแม่บางทีก็ไม่เข้าใจในตัวน้องเรื่องที่น้องปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ไม่มั่นใจ กลัวสังคม เพราะพ่อแม่ไม่เคยเป็น(ด้วยความเคารพ มันไม่ใช่ระดับน้อยๆนะคะ ที่เรากำลังพูดถึงคือโรควิตกกังวล โรคกลัวสังคมและไปถึงภาวะซึมเศร้าพวกนั้นเลยค่ะ) และอีกอย่างคือพ่อแม่เราไม่มีเวลาค่ะ...พ่อแม่เราทำอาชีพที่คนว่ากันว่ามีเกียรติในสังคมค่ะ ซึ่งแม่เคยพูดว่าเรียนอย่างเดียวไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดเลย.. เรียนในฐานะลูกคนนี้มันเครียดนะคะ ซึ่งเราไม่เถียงค่ะว่าบางคนไม่เป็น แต่คนแต่ละคนแบกรับความเครียดได้ไม่เท่ากันค่ะ คนบางคนจัดการความเครียดตัวเองไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ตัวเราเองก็มีหลายเรื่องที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ค่ะ แต่ตอนนี้เราว่าเราผ่านมันมาได้แล้ว และอย่างน้อยเราก็มีเป้าหมายชีวิตแล้ว เริ่มกลับมายิ้มได้แล้วและรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองขึ้นมาทีละนิด แต่น้องเราไม่มีค่ะ น้องยังไร้จุดหมายเรียนตามพ่อแม่และความคาดหวังของสังคมไปเรื่อยๆ เวลาที่น้องกังวลหรือไม่มั่นใจอะไรน้องจะไม่พูดค่ะ น้องจะหยิบหนังสือขึ้นมาเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อแม่จะไม่ดุ แต่ในสายตาเราการเรียนแบบไร้เป้าหมายแบบนี้ ถึงน้องจะอ่านหนังสือเป็นพันเล่ม แต่สิ่งทีได้กลับมา บางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะน้องไม่มีเป้าหมายชีวิตให้เอาความรู้ไปใช้ได้เลย ว่าไปแล้วที่เด็กไทยเป็นแบบนี้กันเยอะเพราะแบบนี้รึเปล่าคะ สมัยก่อนรุ่นตายายนี่ดุด่าลูกแรงๆมั้ยคะ หรือเพราะสมัยนี้พ่อแม่เลี้ยงลูกสบายทำให้เด็กรับคำด่าไม่ค่อยได้ เด็กไม่ค่อยได้วิ่งเล่นสมเด็ก ไม่ได้ออกแรงช่วยงานเลยเครียดง่ายรึเปล่า(เพราะสมัยก่อนตายายฐานะค่อนข้างลำบากทั้งคู่เลยค่ะ ทั้งฝั่งพ่อและแม่)
พิมพ์อาจจะวกไปวนมา เยอะไปหรือผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
น้องสุดโต่งเกินไป ทำไงดีคะ (พ่วงปัญหาสุขภาพจิต)
แต่เรื่องที่ทำให้เราปรี๊ดแตกมากๆ คือพ่ออ่ะ รักน้องมากค่ะ แต่มีวันนึงที่พ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนมา(เหตุการณ์แรกที่เราเล่าคือพ่อมามีทติ้งรุ่นแล้วครอบครัวเรามาด้วย) แล้วเช้าวันจะกลับแม่ให้น้องหยิบเสื้อพ่อใส่กระเป๋าเดินทาง แต่น้องไม่ยอมจับค่ะ ทำหน้ารังเกียจมากแล้วคือภาพพ่อนี่เด้งขึ้นมาในหัวเราเลย คือพ่อรักน้องมากอ่ะแล้วทำไมน้องทำกับพ่อแบบนี้ ตอนนั้นคือสงสารพ่อมากแล้วก็โกรธน้องมาก
น้องเราพูดไม่รู้เรื่องค่ะ ไม่มีเพื่อน ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ขี้กังวล เก็บเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียว เป็นเพอเฟ็กชั่นนิสต์(อาจจะเพราะแม่เราดุมาก) ซึ่งเราเข้าใจน้องตรงนี้ค่ะ เพราะเราก็เคยเป็น ซึ่งบุคลิกภาพพวกนี้มันต้องค่อยๆปรับ ค่อยๆแก้กันไป แต่น้องเราสุดโต่งเกินไปเพราะแกไปศึกษาธรรมะค่ะ เหล้า เบียร์ อีกเรื่องที่ตอนนี้เราหนักใจคือตอนนี้น้องไม่ยอมกินข้าวค่ะ ไม่ใช่เพราะซึมนะคะ แต่น้องกลัวอ้วนค่ะ น้องจะจับท้องแขน จับท้องตัวเองแทบตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนกินข้าว หรือไม่ได้กินข้าวน้องก็จับแล้วถามว่าแขนผมเป็นยังไงบ้างครับ แล้วน้องกินข้าวน้อยลงมากค่ะ นานๆเข้าพ่อแม่ก็เริ่มไม่ไหว กินข้าวทีไรต้องดุต้องด่ากันตลอดบนโต๊ะอาหาร ซึ่งเราก็เหนื่อยใจมากค่ะ น้องผอมมากจนใส่กางเกงตัวเก่าไม่ได้อ่ะค่ะ แล้วแต่ก่อนน้องเราไม่ใช่คนอ้วนเลยด้วยซ้ำค่ะ ตามเกณฑ์ด้วย แต่ตอนนี้คือกะหร่องเลย
ที่มาถามคืออยากขอคำปรึกษาจากคนที่รู้ด้านจิตวิทยาหรือคำปรึกษา/ความคิดเห็นรอบๆด้านค่ะ เราค่อนข้างห่วงน้องค่ะ เนื่องจากว่าน้องสนิทกับเราแค่คนเดียวแล้วเราก็สนิทกับน้องมากค่ะ แล้วตัวเราเองมาเรียนอยู่ห่างบ้านค่ะ ทำให้เราไม่สามารถสอนอะไรน้องมากได้ ซึ่งพ่อแม่บางทีก็ไม่เข้าใจในตัวน้องเรื่องที่น้องปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ไม่มั่นใจ กลัวสังคม เพราะพ่อแม่ไม่เคยเป็น(ด้วยความเคารพ มันไม่ใช่ระดับน้อยๆนะคะ ที่เรากำลังพูดถึงคือโรควิตกกังวล โรคกลัวสังคมและไปถึงภาวะซึมเศร้าพวกนั้นเลยค่ะ) และอีกอย่างคือพ่อแม่เราไม่มีเวลาค่ะ...พ่อแม่เราทำอาชีพที่คนว่ากันว่ามีเกียรติในสังคมค่ะ ซึ่งแม่เคยพูดว่าเรียนอย่างเดียวไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดเลย.. เรียนในฐานะลูกคนนี้มันเครียดนะคะ ซึ่งเราไม่เถียงค่ะว่าบางคนไม่เป็น แต่คนแต่ละคนแบกรับความเครียดได้ไม่เท่ากันค่ะ คนบางคนจัดการความเครียดตัวเองไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ตัวเราเองก็มีหลายเรื่องที่ไม่ได้บอกพ่อแม่ค่ะ แต่ตอนนี้เราว่าเราผ่านมันมาได้แล้ว และอย่างน้อยเราก็มีเป้าหมายชีวิตแล้ว เริ่มกลับมายิ้มได้แล้วและรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองขึ้นมาทีละนิด แต่น้องเราไม่มีค่ะ น้องยังไร้จุดหมายเรียนตามพ่อแม่และความคาดหวังของสังคมไปเรื่อยๆ เวลาที่น้องกังวลหรือไม่มั่นใจอะไรน้องจะไม่พูดค่ะ น้องจะหยิบหนังสือขึ้นมาเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อแม่จะไม่ดุ แต่ในสายตาเราการเรียนแบบไร้เป้าหมายแบบนี้ ถึงน้องจะอ่านหนังสือเป็นพันเล่ม แต่สิ่งทีได้กลับมา บางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะน้องไม่มีเป้าหมายชีวิตให้เอาความรู้ไปใช้ได้เลย ว่าไปแล้วที่เด็กไทยเป็นแบบนี้กันเยอะเพราะแบบนี้รึเปล่าคะ สมัยก่อนรุ่นตายายนี่ดุด่าลูกแรงๆมั้ยคะ หรือเพราะสมัยนี้พ่อแม่เลี้ยงลูกสบายทำให้เด็กรับคำด่าไม่ค่อยได้ เด็กไม่ค่อยได้วิ่งเล่นสมเด็ก ไม่ได้ออกแรงช่วยงานเลยเครียดง่ายรึเปล่า(เพราะสมัยก่อนตายายฐานะค่อนข้างลำบากทั้งคู่เลยค่ะ ทั้งฝั่งพ่อและแม่)
พิมพ์อาจจะวกไปวนมา เยอะไปหรือผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ