สวัสดีเพื่อนๆ ที่ได้เห็นโพสต์นี้อยู่ ผมไม่มีวัตถุประสงค์ใดเลย นอกจากการชมภาพยนตร์ แล้วมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้จากการชมภาพยนตร์ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจในการเลือกชมภาพยนตร์
Bumblebee จะเล่นย้อนกลับไปในปี 1987 ที่เมือง
San Francisco เด็กสาวกำพร้าพ่ออย่าง
Charlie (Hailee Steinfeld) กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี เธอได้รถรถโฟล์คเต่าสีเหลือง เป็นของขวัญวันเกิด แต่รถเต่าคันนั้นมันคือ
B-127 หรือว่า
Bumblebee นักรบจากกลุ่ม
Autobots ที่สูญเสียความทรงจำ เธอและเขาได้ผูกมิตรภาพต่างสายพันธุ์ ระหว่างมนุษย์กับชาว Cybertron
ในขณะเดียวกัน Bumblebee ถูกตามล่าโดย
Bruns (John Cena) จาก Sector 7 ที่ถูกเหล่า
Decepticons ที่ตามกำจัด Bumblebee ถูกเป่าหูว่าเหล่า Autobots จะมาทำลายโลก Bee ต้องตกที่นั่งลำบาก และต้องปราบเหล่า Decepticons ให้โลกพ้นจากภยันตราย
สำหรับหนังเรื่องนี้คือหนัง spin-off ครั้งแรก จากหนังชุด
Transformers โดยมี Bumblebee หนึ่งในตัวละคร ที่ทุกคนหลงรัก ด้วยความน่ารัก กวนๆ จึงทำให้ Bumblebee ได้ออกมาฉายเดี่ยวก่อนเป็นตัวแรก จากที่หนังภาคหลัก หลายๆ คน ต่างก็บ่นว่า บทของ Bumblebee น้อยบ้างแหละ ไม่มีบทบาทบ้างแหละ คราวนี้ Spotlight ได้ฉายที่ Bee อย่างเต็มที่ และครั้งนี้
Micheal Bay ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่เป็น Producer แทน และได้
Travis Knight จากหนัง
Kubo and the Two Strings มาทำหน้ากำกับ และหนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นความหวังของจักรวาล Transformers ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ เพราะภาคหลักภาคสุดท้ายอย่าง The Last Knight กลายเป็นหนังในแฟรนไชส์ ที่คำวิจารณ์และรายได้แย่สุดๆ (และเติมไม้ยมกได้อีก 4 ตัว) ในใจของผม ก็ยังแอบหวั่นๆ เพราะตอนนี้คะแนน Rotten Tomatoes ก็เริ่มไม่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผมแล้ว อีกใจก็ยังหวังว่ามันคงต้องดีแหละ แต่มันก็ต้องชมแหละ เพื่อความครบถ้วน
ถ้าพูดถึงภาพรวมของหนังเรื่องนี้ โดยใช้เกณฑ์ของภาคหลัก ภาคนี้ถือว่าทำได้ดีที่สุด ในกลุ่มแฟรนไชส์ภาคหลักของ Transformers ทั้งหมด ในด้านดีของเรื่องนี้ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือการเล่าเรื่องที่กลมกล่อมและไม่พาเนื้อเรื่องออกทะเล ในตัวหนังมีอารมณ์ที่หลายทั้งซึ้ง ตลก และ มันส์รวมๆ กัน และชมแล้วมันทำให้ดูหลากหลาย แต่ก็ยังลงตัว ในด้านความมันส์ของฉากแอ็กชั่น ถึงแม้จะลดเอฟเฟ็กต์ระเบิด และความวินาศสันตะโรลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังลดความสนุกลง และการออกแบบฉากแอ็กชั่น ส่วนตัวมองว่าทำได้ดีกว่าภาคหลัก มันทำได้ดูเหมาะสมกับความเป็น Robot มากกว่า และทำให้ดูเท่ด้วย ส่วนด้านความตลก ภาคนี้มุกถือว่าทำตลกมากและทุกวัยสามารถเข้าถึงมุกได้มากกว่า เป็นมุกที่ไม่หยาบโลน และ ดูน่ารัก ส่วนด้านความซึ้ง ต้องยกเครดิตให้กับ Hailee และ Bee ที่ทำให้เห็นถึงพัฒนาการ และ เคมีของตัวละครทั้งสอง ที่ทำให้คนดูอย่างเราๆ ได้อินกับความสัมพันธ์ของมิตรภาพต่างสายพันธุ์ และทำให้ผม หลงรัก Hailee มากขึ้น หลังจากที่ผมปลาบปลื้ม จากการโซโล่กีตาร์ใน Begin Again และออร่าของเธอก็โคตรจับด้วย (ตกในภวังค์แล้วสิ) และการที่คนดูได้รู้จัก Bumblebee มากขึ้น ด้านเพลงประกอบ ที่มีทั้งเพลงบรรเลง และเพลงจากยุค 80 ก็ช่วยเสริมหนังได้อย่างดี การถ่ายภาพ ก็ชอบเช่นกัน เพราะดูแล้วไม่มึนหัว ไม่มีเส้นแสงฟ้าๆ ให้รำคาญตา และภาพก็สวยงามกว่าอีก ส่วน CGI ฉากกลไกเปลี่ยนร่างได้ผสมความเป็น Bay กับ Animated Series มันเลยดูมีเสน่ห์ และยังเคารพต่อการ์ตูนต้นฉบับอีกด้วย
ส่วนที่ยังต้องได้พัฒนาเลยคือ อารมณ์หนังที่ยังดูไม่ค่อยต่อเนื่องในช่วงแรก มันยังเลยดูโดดๆ ไปนิด ด้านนี้ผมก็ค่อยปลื้มไปหน่อย แต่ก็เข้าใจ เพราะจะต้องดึงกลุ่มเด็กมาชม ในพาร์ท Cybertron ที่ร่างของแต่ละตัว กลายเป็นร่างรถไปแล้ว ถ้ามันเอาไปเชื่อมต่อกันก็ดูจะขัดๆ ไปเสียหน่อย ถ้ายังจำกันได้ Transformers ภาคแรก Optimas Prime มาโลกทีแรก ร่างก็ยังไม่เป็นสีมาก่อน (อันนี้ก็ต้องขอสปอยล์นะ เพราะในตัวอย่างก็เห็นโจ่งแจ้งแล้ว) และฉากจบที่น่าจะไปสุดได้กว่านี้
Bumblebee คือหนังที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ Transformers ทุกภาค เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี ถึงแม้จะลดความวินาศสันตะโรและระเบิดลง แต่ก็ไม่ได้ลดความสนุกลง มีมุกตลกที่โคตรตลก และ น่ารักกว่าภาคหลัก และยังทำให้เรารักและอินในมิตรภาพต่างสายพันธุ์ และ Hailee ก็น่ารักมาก สำหรับคะแนนให้ 4 ดาวครึ่ง ขอขอบคุณทุกท่านทีอ่านรีวิวจนจบครับ.
ปล. จากใจโอตะ สำหรับคนที่ดูพากย์ไทยมาช่วยบอกหน่อยครับ เจ้าหลามปัญ พากย์ได้ดีแค่ไหน อันนี้อยากรู้ โดยโอชิของคู่จิ้นของเจ้าหลามปัญ
- เสพภาพยนตร์อย่างมีวิจารญาณ -
ขออนุญาตนำภาพจากตัวอย่างภาพยนตร์ Bumblebee จาก Youtube ช่อง Paramount Pictures มาใช้ในการประกอบรีวิวภาพยนตร์ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
[CR] "Bumblebee" มิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์ กับ หุ่นเหลืองCybertron และ โลกที่ต้องพิทักษ์
Bumblebee จะเล่นย้อนกลับไปในปี 1987 ที่เมือง San Francisco เด็กสาวกำพร้าพ่ออย่าง Charlie (Hailee Steinfeld) กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี เธอได้รถรถโฟล์คเต่าสีเหลือง เป็นของขวัญวันเกิด แต่รถเต่าคันนั้นมันคือ B-127 หรือว่า Bumblebee นักรบจากกลุ่ม Autobots ที่สูญเสียความทรงจำ เธอและเขาได้ผูกมิตรภาพต่างสายพันธุ์ ระหว่างมนุษย์กับชาว Cybertron
ในขณะเดียวกัน Bumblebee ถูกตามล่าโดย Bruns (John Cena) จาก Sector 7 ที่ถูกเหล่า Decepticons ที่ตามกำจัด Bumblebee ถูกเป่าหูว่าเหล่า Autobots จะมาทำลายโลก Bee ต้องตกที่นั่งลำบาก และต้องปราบเหล่า Decepticons ให้โลกพ้นจากภยันตราย
สำหรับหนังเรื่องนี้คือหนัง spin-off ครั้งแรก จากหนังชุด Transformers โดยมี Bumblebee หนึ่งในตัวละคร ที่ทุกคนหลงรัก ด้วยความน่ารัก กวนๆ จึงทำให้ Bumblebee ได้ออกมาฉายเดี่ยวก่อนเป็นตัวแรก จากที่หนังภาคหลัก หลายๆ คน ต่างก็บ่นว่า บทของ Bumblebee น้อยบ้างแหละ ไม่มีบทบาทบ้างแหละ คราวนี้ Spotlight ได้ฉายที่ Bee อย่างเต็มที่ และครั้งนี้ Micheal Bay ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่เป็น Producer แทน และได้ Travis Knight จากหนัง Kubo and the Two Strings มาทำหน้ากำกับ และหนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นความหวังของจักรวาล Transformers ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ เพราะภาคหลักภาคสุดท้ายอย่าง The Last Knight กลายเป็นหนังในแฟรนไชส์ ที่คำวิจารณ์และรายได้แย่สุดๆ (และเติมไม้ยมกได้อีก 4 ตัว) ในใจของผม ก็ยังแอบหวั่นๆ เพราะตอนนี้คะแนน Rotten Tomatoes ก็เริ่มไม่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผมแล้ว อีกใจก็ยังหวังว่ามันคงต้องดีแหละ แต่มันก็ต้องชมแหละ เพื่อความครบถ้วน
ถ้าพูดถึงภาพรวมของหนังเรื่องนี้ โดยใช้เกณฑ์ของภาคหลัก ภาคนี้ถือว่าทำได้ดีที่สุด ในกลุ่มแฟรนไชส์ภาคหลักของ Transformers ทั้งหมด ในด้านดีของเรื่องนี้ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือการเล่าเรื่องที่กลมกล่อมและไม่พาเนื้อเรื่องออกทะเล ในตัวหนังมีอารมณ์ที่หลายทั้งซึ้ง ตลก และ มันส์รวมๆ กัน และชมแล้วมันทำให้ดูหลากหลาย แต่ก็ยังลงตัว ในด้านความมันส์ของฉากแอ็กชั่น ถึงแม้จะลดเอฟเฟ็กต์ระเบิด และความวินาศสันตะโรลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังลดความสนุกลง และการออกแบบฉากแอ็กชั่น ส่วนตัวมองว่าทำได้ดีกว่าภาคหลัก มันทำได้ดูเหมาะสมกับความเป็น Robot มากกว่า และทำให้ดูเท่ด้วย ส่วนด้านความตลก ภาคนี้มุกถือว่าทำตลกมากและทุกวัยสามารถเข้าถึงมุกได้มากกว่า เป็นมุกที่ไม่หยาบโลน และ ดูน่ารัก ส่วนด้านความซึ้ง ต้องยกเครดิตให้กับ Hailee และ Bee ที่ทำให้เห็นถึงพัฒนาการ และ เคมีของตัวละครทั้งสอง ที่ทำให้คนดูอย่างเราๆ ได้อินกับความสัมพันธ์ของมิตรภาพต่างสายพันธุ์ และทำให้ผม หลงรัก Hailee มากขึ้น หลังจากที่ผมปลาบปลื้ม จากการโซโล่กีตาร์ใน Begin Again และออร่าของเธอก็โคตรจับด้วย (ตกในภวังค์แล้วสิ) และการที่คนดูได้รู้จัก Bumblebee มากขึ้น ด้านเพลงประกอบ ที่มีทั้งเพลงบรรเลง และเพลงจากยุค 80 ก็ช่วยเสริมหนังได้อย่างดี การถ่ายภาพ ก็ชอบเช่นกัน เพราะดูแล้วไม่มึนหัว ไม่มีเส้นแสงฟ้าๆ ให้รำคาญตา และภาพก็สวยงามกว่าอีก ส่วน CGI ฉากกลไกเปลี่ยนร่างได้ผสมความเป็น Bay กับ Animated Series มันเลยดูมีเสน่ห์ และยังเคารพต่อการ์ตูนต้นฉบับอีกด้วย
ส่วนที่ยังต้องได้พัฒนาเลยคือ อารมณ์หนังที่ยังดูไม่ค่อยต่อเนื่องในช่วงแรก มันยังเลยดูโดดๆ ไปนิด ด้านนี้ผมก็ค่อยปลื้มไปหน่อย แต่ก็เข้าใจ เพราะจะต้องดึงกลุ่มเด็กมาชม ในพาร์ท Cybertron ที่ร่างของแต่ละตัว กลายเป็นร่างรถไปแล้ว ถ้ามันเอาไปเชื่อมต่อกันก็ดูจะขัดๆ ไปเสียหน่อย ถ้ายังจำกันได้ Transformers ภาคแรก Optimas Prime มาโลกทีแรก ร่างก็ยังไม่เป็นสีมาก่อน (อันนี้ก็ต้องขอสปอยล์นะ เพราะในตัวอย่างก็เห็นโจ่งแจ้งแล้ว) และฉากจบที่น่าจะไปสุดได้กว่านี้
Bumblebee คือหนังที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ Transformers ทุกภาค เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี ถึงแม้จะลดความวินาศสันตะโรและระเบิดลง แต่ก็ไม่ได้ลดความสนุกลง มีมุกตลกที่โคตรตลก และ น่ารักกว่าภาคหลัก และยังทำให้เรารักและอินในมิตรภาพต่างสายพันธุ์ และ Hailee ก็น่ารักมาก สำหรับคะแนนให้ 4 ดาวครึ่ง ขอขอบคุณทุกท่านทีอ่านรีวิวจนจบครับ.
ปล. จากใจโอตะ สำหรับคนที่ดูพากย์ไทยมาช่วยบอกหน่อยครับ เจ้าหลามปัญ พากย์ได้ดีแค่ไหน อันนี้อยากรู้ โดยโอชิของคู่จิ้นของเจ้าหลามปัญ
- เสพภาพยนตร์อย่างมีวิจารญาณ -
ขออนุญาตนำภาพจากตัวอย่างภาพยนตร์ Bumblebee จาก Youtube ช่อง Paramount Pictures มาใช้ในการประกอบรีวิวภาพยนตร์ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้