สวัสดีครับ เจอกับผม เต้ อีกแล้วนะครับ รีวิวครั้งนี้อาจจะอาจจะดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่เพราะหลายๆ คนคงเสพกระทู้รีวิว เจ้า Mi 8 Lite ไปพอสมควรแล้วตามเว็บต่างๆ ในบทความนี้ผมอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกอะไรมากมาย(หรออออ 555+) ถ้าชอบอ่านไม่ชอบอ่านก็บอกผมได้นะครับ หรืออยากได้ละเอียดหรือไม่ละเอียดก็บอกได้ครับ 555+
สำหรับคนที่อยากดูเป็นวีดีโอนะครับ ^^
เริ่มกันครับ ถ้านึกถึงมือถือ Xiaomi คุณคงต้องนึกถึงสเปกดี คุ้มราคากันอยู่แล้ว วันนี้ผมเอา Xiaomi Mi 8 Lite มาให้ชมครับ ซึ่งเป็นมือถือที่ราคาถูกและสเปกคุ้มค่า(อีกแล้ว...) จุดเด่นของรุ่นนี้ผมขอยกให้เป็นเรื่องของกล้อง และดีไซน์เครื่องภายนอกแล้วกันนะครับ ส่วนอื่นๆ จะเป็นยังไง ไปดูกันได้เลยครับ
คราวนี้สีกล่องไม่เหมือนรุ่นอื่นที่จะเป็นสีส้มอย่างที่เราคุ้นตา ผมว่าน่าจะเป็นเพราะเป็นซีรีย์ที่ขึ้นต้นด้วย Mi ไม่ใช่ Redmi จึงทำให้กล่องดูต่างออกไปซึ่งเอาจริงๆ ขนาดกล่องเท่ากับ Mi 8 Pro เลย แต่กล่อง Mi 8 จะเล็กกว่า 2 รุ่นที่กล่าวมา ซึ่ง ช่างมันเถอะครับ 555+
ด้านหลังกล่องก็บอกรายละเอียดคร่าวๆ ให้เราได้ทราบ ว่ามีสเปกอย่างไรบ้าง
หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 660 AIE Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz
GPU : Adreno 512
RAM : 4/6 GB
ROM : 64/128 GB
4/64GB 7,990บาท
6/128GB 9,990บาท
เปิดกล่องมา เราก็จะเจอกับตัวเครื่อง กล่องที่ใส่เคสยางนิ่มสีดำ เข็มจิ้มถาดซิม หัวแปลง Type C เป็น 3.5 คู่มือ สายชาร์จ แบบ Type C ซึ่งแน่นนอนว่า Xiaomi ทุกรุ่น ไม่ว่าจะถูกจะแพง ไม่แถมหูฟังนะครับ 555+
ซึ่งแน่นอนอีกว่า รุ่นราคาที่คุ้มค่าขนาดนี้ จะไม่แถมหัวชาร์จแบบชาร์จด่วนมาให้ แต่ตัวเครื่องรองรับ Quick Charge 3.0 อยู่แล้วนะครับ แค่เราไปซื้อหัวชาร์จที่รองรับ Quick Charge 3.0 ก็พอครับ ราคาไม่แพง ^^
ผมเคยได้มีโอกาส ได้จับ Mi 8 Lite สีส้ม ที่ด้านบนเป็นสีออกชมพูแดง แล้วด้านล่างก็เป็นสีส้ม ซึ่งสีนั้นก็สวยมากเหมือนกันครับ ตอนแรกผมยังคิดเลยว่าสีส้มจะมาขายด้วย 555+ อาจจะเข้ามาขายทีหลังก็เป็นได้ รอชมคับ
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ตัวเครื่องมีให้เลือก 2 สี คือสีดำ และสีฟ้าที่เป็นการไล่สีระหว่างสีฟ้าและสีม่วง ซึ่งมันก็สวยมากเช่นกัน แต่ สีดำมันก็จะออกเทานิดนึง ถึงมันจะเป็นแค่สีเดียว แต่เมื่อมันเจอแสง มันจะเห็นเป็นเส้นๆ แบบที่เห็นในภาพ ซึ่งจริงๆ ผมชอบแบบนี้มากกว่าครับ ถ้าเป็นสีฟ้าหรือสีส้ม เวลาเจอแสงจะไม่เป็นเส้นๆ แบบนี้ครับ แต่มันก็สวยกันคนละแบบครับ แล้วแต่ชอบ ^^
มันสวยจริงๆ ครับ และก็อีกเรื่อง ตอนแรกผมคิดว่าบอดี้ด้านข้างของรุ่นนี้ เป็นพลาสติก ซึ่งเอาจริงๆ ตอนจับครั้งแรก มันเงา มันดูไม่เหมือนโลหะ แต่จริงๆแล้วมันเป็นโลหะครับ ตามสเปกก็แจ้งไว้แบบนั้นด้วย คือแบบ...ราคา 7,990 บาท ได้บอดี้โลหะ ได้ Type C คือ...(สิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่หรอครับ 555+)
ภาพนี้ไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่จะบอกว่าผมพาเพื่อนมาป้ายยาครับ 555+
เรามาเริ่มกันที่ด้านล่างดีกว่าครับ ด้านซ้ายก็จะเป็นช่องไมโครโฟน ต่อมาเป็นช่อง Type C และก็ลำโพงครับ ซึ่งลำโพงทำได้ดีครับ เสียงดังดี เสียงกลางก็ออกชัดเจนดีครับ แต่ทำไม Mi 8 เสียงลำโพงสู้รุ่นอื่นไม่ได้เลย แอบน้อยใจ 555+ และก็น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีช่อง 3.5 แต่ก็ยังแถมตัวแปลง Type C เป็น 3.5 มาให้ในกล่อง
ตัวนี้จะไม่มี IR ที่ไว้เป็นรีโมทเหมือนรุ่นอื่นๆ ของ Xiaomi นะครับ ด้านบนของตัวเครื่องก็จะเป็นรูไมโครโฟนตัวที่ 2 ที่ไว้ใช้ตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา แต่เท่าที่ผมลองใช้ดู ไมค์ตัดเสียงรบกวนนั้น จะใช้ได้ดีต่อเมื่อโทรคุยแบบปกติ ถ้าเป็นการโทรผ่าน Line, Facebook Messenger และโปรแกรมอื่นๆ ผมว่ามันไม่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้เวลาคุย ฝั่งตรงข้ามจะได้ยินเสียงรบกวนค่อนข้างจะดัง
ด้านขวาก็จะเป็นปุ่มปิดเปิดเครื่อง และปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง
ด้านซ้ายตัวเครื่องก็จะเป็นช่องใส่ซิมการ์ด ซึ่งจะเป็น Hybrid Slot อีกแล้ว... คือช่องนึงใส่เมโมรี่การ์ดหรือซิมการ์ดก็ได้ ส่วนอีกช่องก็เป็นช่องซิมการ์ด เมโมรี่การ์ดสามารถใส่ได้สูงสุดถึง 256GB ตามสเปกนะครับ
ด้านหน้า หน้าจอเป็น IPS Full HD+ ขนาด 6.26 นิ้ว ความละเอียด 2280 x 1080 พิกเซล 403 ppi ติ่งด้านบนจะประกอบไปด้วย กล้องหน้า ขนาด 24 ล้านพิกเซล ลำโพงสำหรับสนทนา เหนือลำโพงสนทนา มีไฟ LED สีขาวไว้บอกสถานะตัวเครื่องด้วย ถัดมาก็จะเป็นเซนเซอร์ปิดหน้าจอและวัดแสงอยู่ในตัวเดียวกัน
ติ่ง Notch
รุ่นนี้ติ่งเล็กลงแล้ว ดีใจ...แต่ก็ยังเล็กไม่พอนะครับ 555+ ถ้าไม่ชอบเราก็สามารถซ่อนติ่งได้เหมือนกันครับ ส่วนปุ่มควบคุมแบบเดิมๆ ที่เป็นปุ่ม แอพล่าสุด โฮม ย้อนกลับนั้น ส่วนตัวผมเลิกใช้ไปแล้ว เพราะด้วย MIUI 10 มีท่าทางสัมผัสแบบเต็มหน้าจอให้เราได้ใช้ซึ่งแรกๆ อาจจะไม่ชิน แต่ถ้าชินแล้ว มันจะสะดวกกว่าแบบเดิมมากครับ แนะนำให้เปิดใช้กันนะครับ ^^
ด้านหลังก็จะมีกล้อง 2 ตัว ตัวซ้ายมือจะเป็นกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล และตัวขวาคือกล้องที่ไว้ใช้วัดความลึก 5 ล้านพิกเซล ต่อมาเป็นไฟแฟลช LED ดวงเดียว ในขณะที่รุ่นอื่นที่ถูกกว่าให้มา 2 ดวง... และถัดลงมา เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ทำงานได้เร็วเหมือนเดิมครับ
จุดเด่น
ผมขอแบ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ออกเป็นหัวข้อแล้วกันนะครับ จะได้อ่านได้ง่ายขึ้น
กล้อง
ข้อมูลเรื่องกล้องอาจจะเยอะไปซักหน่อย แต่อยากให้รู้จริงๆ ครับว่ามันทำได้ขนาดไหน และมันมีอะไรที่อาจทำให้เราเข้าใจผิดไปรึเปล่า
ผมขออธิบายเรื่องกล้องก่อนว่า ตามข้อมูลสเปกแล้ว กล้องหลังตัวหลักนั้นใช้เซนเซอร์กล้องของ SONY IMX 363 ขนาด 12 ล้านพิกเซล ที่มีระบบโฟกัสแบบ Dual Pixel ที่รวดเร็ว ดูตามสเปก SONY IMX 363 จะเหมือนที่ใช้กับ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S, Pocophone F1 แต่ในความเป็นจริงมันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 อย่างคือ ค่ารูรับแสงหรือค่า F ของ Mi 8 Lite, Pocophone F1 จะอยู่ที่ F 1.9 แต่ถ้าเป็น Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S จะเป็น F 1.8 และที่ต่างกันอีกเรื่องคือ Mi 8 Lite, Pocophone F1 ไม่มีกันสั่น OIS สรุปคือ กล้องหลักที่อยู่ใน Mi 8 Lite คือกล้องตัวเดียวกับ Pocophone F1 นั่นเองครับ
ซึ่งถามว่าการที่ไม่มีกันสั่นมาก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งคือ คุณจะได้ภาพที่มุมกว้างกว่ารุ่นที่มีกันสั่น อยู่นิดหน่อย แบบสังเกตได้ครับ ว่ามันกว้างกว่าจริง แต่การถ่ายในที่แสงน้อยสำหรับรุ่นที่ไม่มีกันสั่นอย่างต้องทำใจนิดนึงครับที่มืออาจจะต้องนิ่งหน่อย แต่ก็ด้วยราคาขนาดนี้ครับไม่มีกันสั่นก็ไม่เป็นไรครับ 555+ การถ่ายภาพโดยรวมนั้น ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
*แต่ขอบอกเลยว่าการถ่ายภาพกลางคืนของ Mi 8 Lite อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้นะครับสำหรับผม*
เมื่อเทียบกับ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S แต่ถ้ามีการถ่ายในที่แสงจ้ามากๆ หรือย้อนแสง Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S จะทำได้ดีกว่าในเรื่องของการเก็บรายละเอียดจุดสว่างและมืดได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด และ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S ทำได้ดีกว่า ทั้งเรื่องการวัดแสง และการถ่ายที่แสงน้อย
ที่ผมมาบอกตรงนี้เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่ผ่านมาเข้าใจว่าเซนเซอร์รุ่นเดียวกันน่าจะถ่ายรูปออกมาได้ไม่ต่างกันมากหรือเหมือนกันเลยก็ว่าได้ แต่พอมาลองใช้จริงแล้วมันมีความแตกต่างกันชัดเจน ผมเลยอยากบอกว่า “รุ่นเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน”
และที่เด็ดอีกอย่างคือโหมด Manual ด้วยความที่ยกกล้องตัวท็อปมา คุณก็จะสามารถถ่ายภาพแบบลากสปีดชัทเตอร์ได้นานสุดถึง 32 วินาทีเลยครับ ยังไงก็ใช้ขาตั้งกล้องกันด้วยนะครับ ^^
และเมื่อเราถ่ายในโหมด Portrait ก็ยังมีระบบ Dynamic Bokeh ให้เราปรับแต่งรูปแบบการเบลอฉากหลังเพิ่มเติมได้อีกหลายอย่างด้วยครับ
กล้องหน้า
ผมขอเริ่มที่กล้องหน้าก่อนแล้วกันนะครับ Mi 8 Lite ออกมาให้มีจุดเด่นที่กล้องหน้าจริงๆ ด้วยกล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล และมี Ai ที่ปรับแสงสีตามสภาวะต่างๆ ที่ใช้งานในกล้องหน้าได้ด้วย
จากรูปแล้วจะรู้ได้ไงว่าเป็นกล้องหน้า สังเกตจะมีวงกลมมีดาวแล้วมีไม้เสียบอยู่อะคับ คือกล้องหน้า 555+ เพื่อให้เห็นชัดๆ ผมเลยใช้กล้องหน้าส่องที่วัตถุต่างๆ เพื่อให้ Ai ทำงาน ตัวอย่างคร่าวๆ ก็ตามที่เห็นในรูปเลยครับ
กล้องหน้ามีโหมดบิวตี้ที่ปรับแต่งได้เยอะกว่าตัวท็อปอีกครับ ปรับได้หลายแบบ เน้นกล้องหน้าจริงๆ ครับ สำหรับ Mi 8 Lite
และปิดท้ายด้วยการใช้หน้าจอเป็นแสงสว่างเวลาถ่ายรูปด้วยกล้องหน้าในที่มืดได้ ถึงมันจะเร่งแสงหน้าจอให้สว่างสุดชั่วคราว แต่ผมว่ามันยังไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะสีที่แสดงบนหน้าจอมันอาจจะสีเหลืองออกครีมมากไปครับ เลยทำให้มันดูไม่ค่อยสว่าง
**สำหรับคนที่เปิดแฟลชกล้องหน้าต้องปิด Ai ด้วย เพราถ้ามันตรวจพบกว่าเป็นกลางคืน แฟลชที่เราเปิดไว้มันจะปิดให้เราทันที**
[SR] รีวิว Xiaomi Mi 8 Lite สิ่งที่อยากได้มาหมดแล้วในรุ่นนี้ (ยกเว้น 3.5 ^^)
สำหรับคนที่อยากดูเป็นวีดีโอนะครับ ^^
เริ่มกันครับ ถ้านึกถึงมือถือ Xiaomi คุณคงต้องนึกถึงสเปกดี คุ้มราคากันอยู่แล้ว วันนี้ผมเอา Xiaomi Mi 8 Lite มาให้ชมครับ ซึ่งเป็นมือถือที่ราคาถูกและสเปกคุ้มค่า(อีกแล้ว...) จุดเด่นของรุ่นนี้ผมขอยกให้เป็นเรื่องของกล้อง และดีไซน์เครื่องภายนอกแล้วกันนะครับ ส่วนอื่นๆ จะเป็นยังไง ไปดูกันได้เลยครับ
คราวนี้สีกล่องไม่เหมือนรุ่นอื่นที่จะเป็นสีส้มอย่างที่เราคุ้นตา ผมว่าน่าจะเป็นเพราะเป็นซีรีย์ที่ขึ้นต้นด้วย Mi ไม่ใช่ Redmi จึงทำให้กล่องดูต่างออกไปซึ่งเอาจริงๆ ขนาดกล่องเท่ากับ Mi 8 Pro เลย แต่กล่อง Mi 8 จะเล็กกว่า 2 รุ่นที่กล่าวมา ซึ่ง ช่างมันเถอะครับ 555+
ด้านหลังกล่องก็บอกรายละเอียดคร่าวๆ ให้เราได้ทราบ ว่ามีสเปกอย่างไรบ้าง
หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 660 AIE Octa-core ความเร็ว 2.2 GHz
GPU : Adreno 512
RAM : 4/6 GB
ROM : 64/128 GB
4/64GB 7,990บาท
6/128GB 9,990บาท
เปิดกล่องมา เราก็จะเจอกับตัวเครื่อง กล่องที่ใส่เคสยางนิ่มสีดำ เข็มจิ้มถาดซิม หัวแปลง Type C เป็น 3.5 คู่มือ สายชาร์จ แบบ Type C ซึ่งแน่นนอนว่า Xiaomi ทุกรุ่น ไม่ว่าจะถูกจะแพง ไม่แถมหูฟังนะครับ 555+
ซึ่งแน่นอนอีกว่า รุ่นราคาที่คุ้มค่าขนาดนี้ จะไม่แถมหัวชาร์จแบบชาร์จด่วนมาให้ แต่ตัวเครื่องรองรับ Quick Charge 3.0 อยู่แล้วนะครับ แค่เราไปซื้อหัวชาร์จที่รองรับ Quick Charge 3.0 ก็พอครับ ราคาไม่แพง ^^
ผมเคยได้มีโอกาส ได้จับ Mi 8 Lite สีส้ม ที่ด้านบนเป็นสีออกชมพูแดง แล้วด้านล่างก็เป็นสีส้ม ซึ่งสีนั้นก็สวยมากเหมือนกันครับ ตอนแรกผมยังคิดเลยว่าสีส้มจะมาขายด้วย 555+ อาจจะเข้ามาขายทีหลังก็เป็นได้ รอชมคับ
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ตัวเครื่องมีให้เลือก 2 สี คือสีดำ และสีฟ้าที่เป็นการไล่สีระหว่างสีฟ้าและสีม่วง ซึ่งมันก็สวยมากเช่นกัน แต่ สีดำมันก็จะออกเทานิดนึง ถึงมันจะเป็นแค่สีเดียว แต่เมื่อมันเจอแสง มันจะเห็นเป็นเส้นๆ แบบที่เห็นในภาพ ซึ่งจริงๆ ผมชอบแบบนี้มากกว่าครับ ถ้าเป็นสีฟ้าหรือสีส้ม เวลาเจอแสงจะไม่เป็นเส้นๆ แบบนี้ครับ แต่มันก็สวยกันคนละแบบครับ แล้วแต่ชอบ ^^
มันสวยจริงๆ ครับ และก็อีกเรื่อง ตอนแรกผมคิดว่าบอดี้ด้านข้างของรุ่นนี้ เป็นพลาสติก ซึ่งเอาจริงๆ ตอนจับครั้งแรก มันเงา มันดูไม่เหมือนโลหะ แต่จริงๆแล้วมันเป็นโลหะครับ ตามสเปกก็แจ้งไว้แบบนั้นด้วย คือแบบ...ราคา 7,990 บาท ได้บอดี้โลหะ ได้ Type C คือ...(สิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่หรอครับ 555+)
ภาพนี้ไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่จะบอกว่าผมพาเพื่อนมาป้ายยาครับ 555+
เรามาเริ่มกันที่ด้านล่างดีกว่าครับ ด้านซ้ายก็จะเป็นช่องไมโครโฟน ต่อมาเป็นช่อง Type C และก็ลำโพงครับ ซึ่งลำโพงทำได้ดีครับ เสียงดังดี เสียงกลางก็ออกชัดเจนดีครับ แต่ทำไม Mi 8 เสียงลำโพงสู้รุ่นอื่นไม่ได้เลย แอบน้อยใจ 555+ และก็น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีช่อง 3.5 แต่ก็ยังแถมตัวแปลง Type C เป็น 3.5 มาให้ในกล่อง
ตัวนี้จะไม่มี IR ที่ไว้เป็นรีโมทเหมือนรุ่นอื่นๆ ของ Xiaomi นะครับ ด้านบนของตัวเครื่องก็จะเป็นรูไมโครโฟนตัวที่ 2 ที่ไว้ใช้ตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา แต่เท่าที่ผมลองใช้ดู ไมค์ตัดเสียงรบกวนนั้น จะใช้ได้ดีต่อเมื่อโทรคุยแบบปกติ ถ้าเป็นการโทรผ่าน Line, Facebook Messenger และโปรแกรมอื่นๆ ผมว่ามันไม่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้เวลาคุย ฝั่งตรงข้ามจะได้ยินเสียงรบกวนค่อนข้างจะดัง
ด้านขวาก็จะเป็นปุ่มปิดเปิดเครื่อง และปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง
ด้านซ้ายตัวเครื่องก็จะเป็นช่องใส่ซิมการ์ด ซึ่งจะเป็น Hybrid Slot อีกแล้ว... คือช่องนึงใส่เมโมรี่การ์ดหรือซิมการ์ดก็ได้ ส่วนอีกช่องก็เป็นช่องซิมการ์ด เมโมรี่การ์ดสามารถใส่ได้สูงสุดถึง 256GB ตามสเปกนะครับ
ด้านหน้า หน้าจอเป็น IPS Full HD+ ขนาด 6.26 นิ้ว ความละเอียด 2280 x 1080 พิกเซล 403 ppi ติ่งด้านบนจะประกอบไปด้วย กล้องหน้า ขนาด 24 ล้านพิกเซล ลำโพงสำหรับสนทนา เหนือลำโพงสนทนา มีไฟ LED สีขาวไว้บอกสถานะตัวเครื่องด้วย ถัดมาก็จะเป็นเซนเซอร์ปิดหน้าจอและวัดแสงอยู่ในตัวเดียวกัน
ติ่ง Notch
รุ่นนี้ติ่งเล็กลงแล้ว ดีใจ...แต่ก็ยังเล็กไม่พอนะครับ 555+ ถ้าไม่ชอบเราก็สามารถซ่อนติ่งได้เหมือนกันครับ ส่วนปุ่มควบคุมแบบเดิมๆ ที่เป็นปุ่ม แอพล่าสุด โฮม ย้อนกลับนั้น ส่วนตัวผมเลิกใช้ไปแล้ว เพราะด้วย MIUI 10 มีท่าทางสัมผัสแบบเต็มหน้าจอให้เราได้ใช้ซึ่งแรกๆ อาจจะไม่ชิน แต่ถ้าชินแล้ว มันจะสะดวกกว่าแบบเดิมมากครับ แนะนำให้เปิดใช้กันนะครับ ^^
ด้านหลังก็จะมีกล้อง 2 ตัว ตัวซ้ายมือจะเป็นกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล และตัวขวาคือกล้องที่ไว้ใช้วัดความลึก 5 ล้านพิกเซล ต่อมาเป็นไฟแฟลช LED ดวงเดียว ในขณะที่รุ่นอื่นที่ถูกกว่าให้มา 2 ดวง... และถัดลงมา เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ทำงานได้เร็วเหมือนเดิมครับ
จุดเด่น
ผมขอแบ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ออกเป็นหัวข้อแล้วกันนะครับ จะได้อ่านได้ง่ายขึ้น
กล้อง
ข้อมูลเรื่องกล้องอาจจะเยอะไปซักหน่อย แต่อยากให้รู้จริงๆ ครับว่ามันทำได้ขนาดไหน และมันมีอะไรที่อาจทำให้เราเข้าใจผิดไปรึเปล่า
ผมขออธิบายเรื่องกล้องก่อนว่า ตามข้อมูลสเปกแล้ว กล้องหลังตัวหลักนั้นใช้เซนเซอร์กล้องของ SONY IMX 363 ขนาด 12 ล้านพิกเซล ที่มีระบบโฟกัสแบบ Dual Pixel ที่รวดเร็ว ดูตามสเปก SONY IMX 363 จะเหมือนที่ใช้กับ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S, Pocophone F1 แต่ในความเป็นจริงมันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 อย่างคือ ค่ารูรับแสงหรือค่า F ของ Mi 8 Lite, Pocophone F1 จะอยู่ที่ F 1.9 แต่ถ้าเป็น Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S จะเป็น F 1.8 และที่ต่างกันอีกเรื่องคือ Mi 8 Lite, Pocophone F1 ไม่มีกันสั่น OIS สรุปคือ กล้องหลักที่อยู่ใน Mi 8 Lite คือกล้องตัวเดียวกับ Pocophone F1 นั่นเองครับ
ซึ่งถามว่าการที่ไม่มีกันสั่นมาก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งคือ คุณจะได้ภาพที่มุมกว้างกว่ารุ่นที่มีกันสั่น อยู่นิดหน่อย แบบสังเกตได้ครับ ว่ามันกว้างกว่าจริง แต่การถ่ายในที่แสงน้อยสำหรับรุ่นที่ไม่มีกันสั่นอย่างต้องทำใจนิดนึงครับที่มืออาจจะต้องนิ่งหน่อย แต่ก็ด้วยราคาขนาดนี้ครับไม่มีกันสั่นก็ไม่เป็นไรครับ 555+ การถ่ายภาพโดยรวมนั้น ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
*แต่ขอบอกเลยว่าการถ่ายภาพกลางคืนของ Mi 8 Lite อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้นะครับสำหรับผม*
เมื่อเทียบกับ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S แต่ถ้ามีการถ่ายในที่แสงจ้ามากๆ หรือย้อนแสง Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S จะทำได้ดีกว่าในเรื่องของการเก็บรายละเอียดจุดสว่างและมืดได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด และ Mi 8, Mi 8 Pro, Mi Mix 2S ทำได้ดีกว่า ทั้งเรื่องการวัดแสง และการถ่ายที่แสงน้อย
ที่ผมมาบอกตรงนี้เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่ผ่านมาเข้าใจว่าเซนเซอร์รุ่นเดียวกันน่าจะถ่ายรูปออกมาได้ไม่ต่างกันมากหรือเหมือนกันเลยก็ว่าได้ แต่พอมาลองใช้จริงแล้วมันมีความแตกต่างกันชัดเจน ผมเลยอยากบอกว่า “รุ่นเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน”
และที่เด็ดอีกอย่างคือโหมด Manual ด้วยความที่ยกกล้องตัวท็อปมา คุณก็จะสามารถถ่ายภาพแบบลากสปีดชัทเตอร์ได้นานสุดถึง 32 วินาทีเลยครับ ยังไงก็ใช้ขาตั้งกล้องกันด้วยนะครับ ^^
และเมื่อเราถ่ายในโหมด Portrait ก็ยังมีระบบ Dynamic Bokeh ให้เราปรับแต่งรูปแบบการเบลอฉากหลังเพิ่มเติมได้อีกหลายอย่างด้วยครับ
กล้องหน้า
ผมขอเริ่มที่กล้องหน้าก่อนแล้วกันนะครับ Mi 8 Lite ออกมาให้มีจุดเด่นที่กล้องหน้าจริงๆ ด้วยกล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล และมี Ai ที่ปรับแสงสีตามสภาวะต่างๆ ที่ใช้งานในกล้องหน้าได้ด้วย
จากรูปแล้วจะรู้ได้ไงว่าเป็นกล้องหน้า สังเกตจะมีวงกลมมีดาวแล้วมีไม้เสียบอยู่อะคับ คือกล้องหน้า 555+ เพื่อให้เห็นชัดๆ ผมเลยใช้กล้องหน้าส่องที่วัตถุต่างๆ เพื่อให้ Ai ทำงาน ตัวอย่างคร่าวๆ ก็ตามที่เห็นในรูปเลยครับ
กล้องหน้ามีโหมดบิวตี้ที่ปรับแต่งได้เยอะกว่าตัวท็อปอีกครับ ปรับได้หลายแบบ เน้นกล้องหน้าจริงๆ ครับ สำหรับ Mi 8 Lite
และปิดท้ายด้วยการใช้หน้าจอเป็นแสงสว่างเวลาถ่ายรูปด้วยกล้องหน้าในที่มืดได้ ถึงมันจะเร่งแสงหน้าจอให้สว่างสุดชั่วคราว แต่ผมว่ามันยังไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะสีที่แสดงบนหน้าจอมันอาจจะสีเหลืองออกครีมมากไปครับ เลยทำให้มันดูไม่ค่อยสว่าง
**สำหรับคนที่เปิดแฟลชกล้องหน้าต้องปิด Ai ด้วย เพราถ้ามันตรวจพบกว่าเป็นกลางคืน แฟลชที่เราเปิดไว้มันจะปิดให้เราทันที**
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้