ปกิณกะธรรม เรื่อง กาหัวขโมย
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ในครั้งนั้น ชาวเมืองพาราณสี พากันแขวนกระเช้าหญ้า ไว้ในที่ต่างๆ เพื่อให้ฝูงนกอาศัยอยู่อย่างสบาย เพราะความเป็นผู้ใคร่บุญใคร่กุศล.
ครั้งนั้น แม้พ่อครัวของท่านเศรษฐีกรุงพาราณสี ก็แขวนกระเช้าหญ้าไว้ภายในโรงครัวกระเช้าหนึ่งเหมือนกัน.
นกพิราบ ได้เข้าอยู่ในกระเช้านั้น. รุ่งเช้าก็บินออกเที่ยวหากิน ต่อเย็นจึงบินกลับมาหลับนอนในโรงครัวนั้นเป็นดังนี้ตลอดกาล.
อยู่มาวันหนึ่ง กาตัวหนึ่งบินข้ามโรงครัวไป สูดกลิ่นตลบอบอวนของรสเปรี้ยว รสเค็มและปลาเนื้อ ก็เกิดความอยากขึ้นคิดว่า จักอาศัยใครหนอ จึงจักได้ปลาและเนื้อนี้ คิดแล้วก็จับอยู่ ณ ที่ไม่ไกล คอยสอดส่ายหาลู่ทาง พอเย็นก็เห็นนกพิราบบินมา แล้วเข้าไปสู่โรงครัว จึงคิดว่า ต้องอาศัยนกพิราบนี้ถึงจักได้กินเนื้อ ครั้นรุ่งขึ้นก็บินมาแต่เช้า ในเวลาที่นกพิราบบินออกไปหากิน ก็บินตามไปข้างหลัง ๆ .
ทีนั้น นกพิราบกล่าวกะกาว่า สหาย เหตุไรท่านจึงเที่ยวบินตามเรา.
กาตอบว่า นาย ข้าพเจ้าชอบใจกิริยาของท่าน ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าขอปรนนิบัติท่าน.
พวกท่านมีอาหารอย่างหนึ่ง พวกเรามีอาหารอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน การปรนนิบัติของพวกท่าน กระทำได้ยาก
นาย เวลาท่านบินไปหากิน ข้าพเจ้าก็บินไปหากิน บินไปกับท่าน
เอาเถิด เมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ขอท่านพึงเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างเดียว กล่าวแล้ว ก็เที่ยวแสวงหาอาหาร กินอาหารมีพืชพรรณติณชาติ ต่างๆ
เวลาที่นกพิราบกำลังหากิน กาก็บินไปพบกองขี้วัวจึงคุ้ย แล้วจิกกินตัวหนอน พอเต็มกระเพาะก็มาหานกพิราบ กล่าวว่า นาย ท่านเที่ยวเกินเวลา การทำตนให้เป็นผู้ตะกละตะกลามหาควรไม่
นกพิราบหากินแล้วก็บินกลับโรงครัวในเวลาเย็น กาก็บินไปโรงครัวพร้อมกับนกพิราบเช่นกัน
พ่อครัวเห็นดังนั้นกล่าวว่า นกพิราบของเราพาตัวอื่นมาอยู่ด้วย ดังนี้แล้วก็แขวนกระเช้าให้กาบ้าง ตั้งแต่นั้นก็อยู่ด้วยกัน เป็นสองตัว.
วันหนึ่ง คนทั้งหลายนำปลาและเนื้อจำนวนมากมาให้ท่านเศรษฐี พ่อครัวก็รับมาแขวนไว้ในโรงครัว
กาเห็นแล้ว ก็เกิดความโลภ คิดในใจว่า พรุ่งนี้เราไม่หากินละจะกินปลาและเนื้อนี้แหละ แล้วก็นอนแซ่วอยู่ตลอดทั้งคืน.
รุ่งเช้านกพิราบจะไปหากิน ก็เรียกกาว่า มาเถิดกาผู้เป็นสหาย.
กาตอบว่า นาย ท่านไปเถิด ข้าพเจ้ากำลังปวดท้อง
สหายเอ๋ย ธรรมดาโรคปวดท้องไม่เคยเป็นแก่พวกกาเลย แต่ไหนแต่ไรมา ตลอดราตรี ไม่ว่ายามใด กาย่อมหิวทุก ๆ ยาม ถึงจะกลืนกินไส้ประทีปเข้าไป กาก็จะอิ่มอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ชะรอยท่านจักอยากกินปลาและเนื้อนี้ มาเถิดขึ้นชื่อว่าของกินของมนุษย์เป็นของที่พวกท่านไม่ควรกิน อย่าทำเช่นนี้เลย ไปหากินด้วยกันกับเราเถิด
นาย ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปได้.
ถ้าเช่นนั้น ท่านจักต้องรับสนองกรรมของตน ท่านอย่าลุอำนาจความอยาก จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ดังนี้แล้วก็บินไปหากิน.
พ่อครัวก็ปรุงอาหารต่าง ๆ ชนิดด้วยปลาและเนื้อ เสร็จแล้วก็เปิดภาชนะไว้หน่อยหนึ่ง เพื่อให้ไอระเหยไปให้หมด วางกระชอนไว้บนภาชนะอีกที่หนึ่ง แล้วออกไปข้างนอก ยืนเช็ดเหงื่ออยู่.
ขณะนั้นกาก็โผล่ศีรษะขึ้นมาจากกระเช้า มองดูโรงครัวทั่วไป รู้ว่าพ่อครัวออกไปข้างนอก จึงคิดว่า บัดนี้ความปรารถนาของเรา สมประสงค์แล้ว เราอยากจะกินเนื้อ จะกินเนื้อชิ้นใหญ่ หรือเนื้อชิ้นเล็กดีหนอ. ครั้นแล้วก็เล็งเห็นว่า ธรรมดาเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เราไม่อาจกินให้เต็มกระเพาะได้รวดเร็ว เราจะต้องคว้าก้อนใหญ่ ๆมาทิ้งไว้ในกระเช้า นอนขยอกจึงจะดี แล้วก็โผออกจากกระเช้าลงไปแอบอยู่ใกล้กระชอน. เสียงกระชอนดังกริ๊ก ๆ .
พ่อครัวฟังเสียงนั้นแล้วนึกว่า เสียงอะไรนั่น กลับเข้าไปดู เห็นกาแล้วก็ดำริว่า กาตัวนี้มุ่งจะกินเนื้อทอดของมหาเศรษฐี ก็ตัวเราต้องอาศัยท่านเศรษฐีเลี้ยงชีวิต มิใช่อาศัยกาพาลตัวนี้ จะเอามันไว้ใย แล้วปิดประตู ต้อนจับกาได้ ถอนขนเสียหมดตัวเอาขิงสดโขลกเคล้ากับเกลือป่น คลุกกับเนยเปรี้ยวทาจนทั่วตัวกานั้น แล้วเหวี่ยงลงไปในกระเช้าของมัน.
กาเจ็บแสบแสนสาหัสนอนหายใจแขม่วอยู่.
ครั้นเวลาเย็นนกพิราบบินกลับมา เห็นกาประสพความ
จึงพูดว่า ดูก่อนเจ้ากาโลเล เจ้าไม่เชื่อฟังคำของเรา อาศัยความโลภของเจ้าเป็นเหตุ จึงต้องประสพทุกข์ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ จากนั้นจึงกล่าวภาษิตว่า
บุคคลใด เมื่อท่านผู้หวังดีมีความเอ็นดู
จะเกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ มิได้กระทำตามคำสอน
บุคคลนั้นจะต้องนอนระทมเหมือนกาไม่กระทำ
ตามถ้อยคำของนกพิราบ ตกไปในเงื้อมมือของ
อมิตร นอนหายใจระทวยอยู่ ฉะนั้น
จบเรื่อง กาหัวขโมย
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ปกิณกะธรรม เรื่อง กาหัวขโมย
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ในครั้งนั้น ชาวเมืองพาราณสี พากันแขวนกระเช้าหญ้า ไว้ในที่ต่างๆ เพื่อให้ฝูงนกอาศัยอยู่อย่างสบาย เพราะความเป็นผู้ใคร่บุญใคร่กุศล.
ครั้งนั้น แม้พ่อครัวของท่านเศรษฐีกรุงพาราณสี ก็แขวนกระเช้าหญ้าไว้ภายในโรงครัวกระเช้าหนึ่งเหมือนกัน.
นกพิราบ ได้เข้าอยู่ในกระเช้านั้น. รุ่งเช้าก็บินออกเที่ยวหากิน ต่อเย็นจึงบินกลับมาหลับนอนในโรงครัวนั้นเป็นดังนี้ตลอดกาล.
อยู่มาวันหนึ่ง กาตัวหนึ่งบินข้ามโรงครัวไป สูดกลิ่นตลบอบอวนของรสเปรี้ยว รสเค็มและปลาเนื้อ ก็เกิดความอยากขึ้นคิดว่า จักอาศัยใครหนอ จึงจักได้ปลาและเนื้อนี้ คิดแล้วก็จับอยู่ ณ ที่ไม่ไกล คอยสอดส่ายหาลู่ทาง พอเย็นก็เห็นนกพิราบบินมา แล้วเข้าไปสู่โรงครัว จึงคิดว่า ต้องอาศัยนกพิราบนี้ถึงจักได้กินเนื้อ ครั้นรุ่งขึ้นก็บินมาแต่เช้า ในเวลาที่นกพิราบบินออกไปหากิน ก็บินตามไปข้างหลัง ๆ .
ทีนั้น นกพิราบกล่าวกะกาว่า สหาย เหตุไรท่านจึงเที่ยวบินตามเรา.
กาตอบว่า นาย ข้าพเจ้าชอบใจกิริยาของท่าน ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าขอปรนนิบัติท่าน.
พวกท่านมีอาหารอย่างหนึ่ง พวกเรามีอาหารอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน การปรนนิบัติของพวกท่าน กระทำได้ยาก
นาย เวลาท่านบินไปหากิน ข้าพเจ้าก็บินไปหากิน บินไปกับท่าน
เอาเถิด เมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ขอท่านพึงเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างเดียว กล่าวแล้ว ก็เที่ยวแสวงหาอาหาร กินอาหารมีพืชพรรณติณชาติ ต่างๆ
เวลาที่นกพิราบกำลังหากิน กาก็บินไปพบกองขี้วัวจึงคุ้ย แล้วจิกกินตัวหนอน พอเต็มกระเพาะก็มาหานกพิราบ กล่าวว่า นาย ท่านเที่ยวเกินเวลา การทำตนให้เป็นผู้ตะกละตะกลามหาควรไม่
นกพิราบหากินแล้วก็บินกลับโรงครัวในเวลาเย็น กาก็บินไปโรงครัวพร้อมกับนกพิราบเช่นกัน
พ่อครัวเห็นดังนั้นกล่าวว่า นกพิราบของเราพาตัวอื่นมาอยู่ด้วย ดังนี้แล้วก็แขวนกระเช้าให้กาบ้าง ตั้งแต่นั้นก็อยู่ด้วยกัน เป็นสองตัว.
วันหนึ่ง คนทั้งหลายนำปลาและเนื้อจำนวนมากมาให้ท่านเศรษฐี พ่อครัวก็รับมาแขวนไว้ในโรงครัว
กาเห็นแล้ว ก็เกิดความโลภ คิดในใจว่า พรุ่งนี้เราไม่หากินละจะกินปลาและเนื้อนี้แหละ แล้วก็นอนแซ่วอยู่ตลอดทั้งคืน.
รุ่งเช้านกพิราบจะไปหากิน ก็เรียกกาว่า มาเถิดกาผู้เป็นสหาย.
กาตอบว่า นาย ท่านไปเถิด ข้าพเจ้ากำลังปวดท้อง
สหายเอ๋ย ธรรมดาโรคปวดท้องไม่เคยเป็นแก่พวกกาเลย แต่ไหนแต่ไรมา ตลอดราตรี ไม่ว่ายามใด กาย่อมหิวทุก ๆ ยาม ถึงจะกลืนกินไส้ประทีปเข้าไป กาก็จะอิ่มอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ชะรอยท่านจักอยากกินปลาและเนื้อนี้ มาเถิดขึ้นชื่อว่าของกินของมนุษย์เป็นของที่พวกท่านไม่ควรกิน อย่าทำเช่นนี้เลย ไปหากินด้วยกันกับเราเถิด
นาย ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปได้.
ถ้าเช่นนั้น ท่านจักต้องรับสนองกรรมของตน ท่านอย่าลุอำนาจความอยาก จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ดังนี้แล้วก็บินไปหากิน.
พ่อครัวก็ปรุงอาหารต่าง ๆ ชนิดด้วยปลาและเนื้อ เสร็จแล้วก็เปิดภาชนะไว้หน่อยหนึ่ง เพื่อให้ไอระเหยไปให้หมด วางกระชอนไว้บนภาชนะอีกที่หนึ่ง แล้วออกไปข้างนอก ยืนเช็ดเหงื่ออยู่.
ขณะนั้นกาก็โผล่ศีรษะขึ้นมาจากกระเช้า มองดูโรงครัวทั่วไป รู้ว่าพ่อครัวออกไปข้างนอก จึงคิดว่า บัดนี้ความปรารถนาของเรา สมประสงค์แล้ว เราอยากจะกินเนื้อ จะกินเนื้อชิ้นใหญ่ หรือเนื้อชิ้นเล็กดีหนอ. ครั้นแล้วก็เล็งเห็นว่า ธรรมดาเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เราไม่อาจกินให้เต็มกระเพาะได้รวดเร็ว เราจะต้องคว้าก้อนใหญ่ ๆมาทิ้งไว้ในกระเช้า นอนขยอกจึงจะดี แล้วก็โผออกจากกระเช้าลงไปแอบอยู่ใกล้กระชอน. เสียงกระชอนดังกริ๊ก ๆ .
พ่อครัวฟังเสียงนั้นแล้วนึกว่า เสียงอะไรนั่น กลับเข้าไปดู เห็นกาแล้วก็ดำริว่า กาตัวนี้มุ่งจะกินเนื้อทอดของมหาเศรษฐี ก็ตัวเราต้องอาศัยท่านเศรษฐีเลี้ยงชีวิต มิใช่อาศัยกาพาลตัวนี้ จะเอามันไว้ใย แล้วปิดประตู ต้อนจับกาได้ ถอนขนเสียหมดตัวเอาขิงสดโขลกเคล้ากับเกลือป่น คลุกกับเนยเปรี้ยวทาจนทั่วตัวกานั้น แล้วเหวี่ยงลงไปในกระเช้าของมัน.
กาเจ็บแสบแสนสาหัสนอนหายใจแขม่วอยู่.
ครั้นเวลาเย็นนกพิราบบินกลับมา เห็นกาประสพความ จึงพูดว่า ดูก่อนเจ้ากาโลเล เจ้าไม่เชื่อฟังคำของเรา อาศัยความโลภของเจ้าเป็นเหตุ จึงต้องประสพทุกข์ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ จากนั้นจึงกล่าวภาษิตว่า
บุคคลใด เมื่อท่านผู้หวังดีมีความเอ็นดู
จะเกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ มิได้กระทำตามคำสอน
บุคคลนั้นจะต้องนอนระทมเหมือนกาไม่กระทำ
ตามถ้อยคำของนกพิราบ ตกไปในเงื้อมมือของ
อมิตร นอนหายใจระทวยอยู่ ฉะนั้น
จบเรื่อง กาหัวขโมย
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า