สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ก่อนอื่นอยากชี้แจงว่า Abusive ไม่ได้หมายถึงการลงมือทำร้ายร่างกาย หรือการต้องด่าทอด้วยคำหยาบรุนแรงเพียงอย่างเดียวนะคะ การบงการชีวิต บั่นทอนจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกว่าตัวเอง "หมดค่า" ก็นับเป็นหนึ่งในการ Abusive เช่นกันค่ะ
ในกรณีเจ้าของกระทู้ เรารู้สึกเห็นใจคุณ เพราะกรณีที่คุณเจอนั้นยากที่คนอื่นจะเข้าใจว่ามันเป็นการทำร้ายตรงไหน (เพราะอย่างที่เกริ่นนำข้างต้น หลายๆ คนก็ยังเข้าใจผิดว่าต้องลงมือตบตีก่อนถึงจะนับว่าทำร้าย ทั้งที่จริงๆ ไม่ใช่เลย) จากที่เราอ่านเรื่องราวที่คุณเจอ ฝ่ายผู้ชายเหมือนเอาคำว่า "หวังดี" มาเป็นโล่บังหน้าในการตัดความรู้สึกมั่นใจของคุณไปทีละนิดๆ เพื่อที่ในที่สุด คุณก็จะรู้สึกว่าชีวิตนี้คุณต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าขาดเขาไป ทั้งที่จริงก่อนหน้าที่จะได้พบเขา คุณก็อยู่และสู้ด้วยตัวเองได้มาโดยตลอด
เหมือนอย่างื่คอมเมนต์ในกระทู้เก่าพูดเลยค่ะว่านี่มันเป็น Toxic Relationship ชัดๆ คนที่ "หวังดี" ต่อกันจริงๆ ควรมีแต่การส่งเสริมแรงบันดาลใจในชีวิต ช่วยเหลือและสนับสนุนความคิดของกันและกัน จะไม่มีทางปฏิบัติเหมือนอีกฝ่ายเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงในกรงทำเหมือนอย่างที่ฝ่ายชายกำลังทำอยู่เด็ดขาด เราเลยขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้โดยเร็วนะคะ
==================
ในส่วนของคำถามที่คุณจขกท.อยากขอคำปรึกษา เรายังไม่เคยมีประสบการณ์เองโดยตรง แต่พอจะศึกษาและเคยพบคนที่เคยตกอยู่ในภาวะประมาณนี้มาจำนวนหนึ่ง จึงขอแชร์คำตอบไว้เผื่อว่าจะช่วยเป็นประโยชน์ได้ค่ะ
- คุณผ่านเรื่องนี้มาได้อย่างไร และเลือกเดินออกมาโดยวิธีไหน?
1.ปรับเปลี่ยน Mind set ของตัวเองให้เข้มแข็งก่อนว่า ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว คุณต้องสร้างความมั่นใจให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกว่าคุณไม่ใช่คนผิดที่จะบอกเลิกความสัมพันธ์ ถ้าหากยังไม่สบายใจ ขอให้ลองคิดแบบนี้ก็ได้ว่าไม่มีใครผิดเลย เพียงแค่คุณสองคนมีนิสัยที่เข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แล้วมันก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคุณทั้งคู่ ที่จะต้องปล่อยอีกฝ่ายไปพบกับคนที่เข้ากันได้โดยแท้จริงเท่านั้น
2. เตรียมการให้พร้อมในการยุติความสัมพันธ์ สำรวจว่ามีอะไรที่ยังพ่วงเกี่ยวพันกับเขาอีกบ้าง เช่น มีธุรกิจที่ทำร่วมกันไหม มีเงินที่กู้ยืมมาจากเขาไหม รถที่ใช้ไปทำงานเป็นรถของเขาหรือเปล่า แล้วจัดการเคลียร์สิ่งเหล่านี้ให้แยกขาดออกจากชีวิตของคุณซะ (หากแยกด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ แนะนำให้หาคนกลางที่ไว้ใจได้มาช่วยจัดการแทนคุณ) ปล่อยวางความสะดวกสบายอื่นๆ ที่เขาอาจจะเคยมอบให้ จงพึงระลึกไว้เสมอว่า "ตอนไม่มีเขา เราก็อยู่ของเรามาได้ แล้วทำไมเราถึงจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ถ้าแค่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม!" และที่สำคัญ การเลิกกับเขา ก็ไม่ได้แปลว่าความสบายต่างๆ จะไม่มีวันกลับมาหาคุณอีกเลยสักหน่อย
3. อธิบายการตัดสินใจของคุณให้ลูกรับทราบก่อนลงมือ ไม่จำเป็นต้องเล่าทั้งหมด แต่ลูกควรรับรู้ว่าต่อจากนี้คุณกับเขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนที่ผ่านมาอีก คุณควรทำให้ลูกรู้ว่าคุณสามารถดูแลและให้ความสุขกับลูกเหมือนเดิมได้ต่อให้จะเหลือกันแค่สองคน
4. หาคนที่เข้าใจปัญหา และสนับสนุนความคิดของคุณมาอยู่ด้วยทุกครั้ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา เพราะถ้าคุณเริ่มเอ่ยปากขอเลิก ผู้ชายลักษณะนี้ก็จะซัดความผิดและการทวงบุญคุณทั้งหมดบนโลกมาที่คุณทันที สิ่งที่คุณต้องการก็คือคนที่อยู่ข้างๆ เป็นพรรคพวกของคุณเองที่จะย้ำเตือนไม่ให้คุณอ่อนไหวไปกับคำพูดพวกนั้น และตัวคุณเองก็ต้องหนักแน่นด้วยเช่นกันว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดเลยสักนิด
5. หากยังอาศัยร่วมกัน ก็ให้ย้ายออกมา ทำใจไว้ประมาณหนึ่งเลยว่าข้าวของบางอย่างอาจจะหอบเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ แต่มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณต้องทน? (ปล.ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องกลับไปที่บ้านที่เขายังอยู่ ให้พาเพื่อน 2 -3 คนไปด้วยเสมอ)
6. บล็อคช่องทางติดต่อและโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมดของเขา ตัวเราเองก็ไม่ต้องส่องเฟซบุ๊กของเขาด้วยนะคะ เพราะเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณเจ็บปวดที่สุดที่ทิ้งเขาไป เช่น ด่าทอ ข่มขู่คุณ หรือพยายามโอ้อวดว่าชีวิตเขามีความสุขมากแค่ไหนหลังจากคุณไปแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์กับคุณเลย คุณได้ชีวิตของคุณคืนมาแล้ว ชีวิตของเขาไม่ควรกลายมาเป็นเรื่องรกสายตาของคุณอีก
7. หากคุณคิดว่าเขาอาจตามคุณไปที่บ้านหลังจากบอกเลิก ขอแนะนำให้คุณไปพักอยู่ที่อื่นก่อนเป็นเวลาชั่วคราว เช่น หอพัก หรือบ้านเพื่อนที่ไกลจากบ้านเขา แน่นอนว่าคุณอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันจะช่วยให้คุณได้พักฟื้นฟูจิตใจของตัวเองก่อน รวมถึงเตรียมการรับมือดีๆ ถ้าเขาไม่ยอมเลิกง่ายๆ
8. ไม่จำเป็นต้องรีบหาแฟนคนใหม่มาเพื่อดูแลคุณ แต่ตัวคุณเองควรใช้เวลานี้อยู่กับตัวเองเพื่อเรียกคืนความมั่นใจกลับคืนมาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกไปทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก กิจกรรมสาธารณประโยชน์ ลงเรียนคอร์สระยะสั้น หรือเวิร์คชอปงานฝีมือน่ารักๆ ที่คุณทำได้ จงคิดอยู่เสมอว่าชีวิตเป็นของคุณ คุณทำได้ คุณดูแลตัวเองได้ ดูแลลูกได้ และคุณสามารถมีความสุขเองได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร
.
.
.
- คุณจัดการกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร?
1. หากคุณแน่ใจแล้วว่าการพูดคุยปรับความเข้าใจคงไม่ได้ผล และคุณไม่ยอมอดทนกับเรื่องนี้อีกต่อไป ขอให้คุณวางแผนเรื่องการยุติความสัมพันธ์ไว้เลย
2. เมื่อบอกเลิกแล้ว ตัดขาดโซเชียลเน็ตเวิร์คของกันและกันซะ ดังที่อธิบายไปในข้อก่อนเลยค่ะ
3. พึงระลึกเสมอว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีใครผิดเลย แต่ความรักที่แท้จริง ย่อมไม่ใช่การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดอยู่เสมอๆ แบบนี้แน่ คุณและเขามีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะมีความสุข หากความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ มันก็ชอบธรรมดีแล้วที่คุณจะออกไปเป็นอิสระ และให้อิสระกับเขาในการไปตามหาคนอื่นมาแทนคุณเช่นกันค่ะ
ในกรณีเจ้าของกระทู้ เรารู้สึกเห็นใจคุณ เพราะกรณีที่คุณเจอนั้นยากที่คนอื่นจะเข้าใจว่ามันเป็นการทำร้ายตรงไหน (เพราะอย่างที่เกริ่นนำข้างต้น หลายๆ คนก็ยังเข้าใจผิดว่าต้องลงมือตบตีก่อนถึงจะนับว่าทำร้าย ทั้งที่จริงๆ ไม่ใช่เลย) จากที่เราอ่านเรื่องราวที่คุณเจอ ฝ่ายผู้ชายเหมือนเอาคำว่า "หวังดี" มาเป็นโล่บังหน้าในการตัดความรู้สึกมั่นใจของคุณไปทีละนิดๆ เพื่อที่ในที่สุด คุณก็จะรู้สึกว่าชีวิตนี้คุณต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ ถ้าขาดเขาไป ทั้งที่จริงก่อนหน้าที่จะได้พบเขา คุณก็อยู่และสู้ด้วยตัวเองได้มาโดยตลอด
เหมือนอย่างื่คอมเมนต์ในกระทู้เก่าพูดเลยค่ะว่านี่มันเป็น Toxic Relationship ชัดๆ คนที่ "หวังดี" ต่อกันจริงๆ ควรมีแต่การส่งเสริมแรงบันดาลใจในชีวิต ช่วยเหลือและสนับสนุนความคิดของกันและกัน จะไม่มีทางปฏิบัติเหมือนอีกฝ่ายเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงในกรงทำเหมือนอย่างที่ฝ่ายชายกำลังทำอยู่เด็ดขาด เราเลยขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้โดยเร็วนะคะ
==================
ในส่วนของคำถามที่คุณจขกท.อยากขอคำปรึกษา เรายังไม่เคยมีประสบการณ์เองโดยตรง แต่พอจะศึกษาและเคยพบคนที่เคยตกอยู่ในภาวะประมาณนี้มาจำนวนหนึ่ง จึงขอแชร์คำตอบไว้เผื่อว่าจะช่วยเป็นประโยชน์ได้ค่ะ
- คุณผ่านเรื่องนี้มาได้อย่างไร และเลือกเดินออกมาโดยวิธีไหน?
1.ปรับเปลี่ยน Mind set ของตัวเองให้เข้มแข็งก่อนว่า ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว คุณต้องสร้างความมั่นใจให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกว่าคุณไม่ใช่คนผิดที่จะบอกเลิกความสัมพันธ์ ถ้าหากยังไม่สบายใจ ขอให้ลองคิดแบบนี้ก็ได้ว่าไม่มีใครผิดเลย เพียงแค่คุณสองคนมีนิสัยที่เข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แล้วมันก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคุณทั้งคู่ ที่จะต้องปล่อยอีกฝ่ายไปพบกับคนที่เข้ากันได้โดยแท้จริงเท่านั้น
2. เตรียมการให้พร้อมในการยุติความสัมพันธ์ สำรวจว่ามีอะไรที่ยังพ่วงเกี่ยวพันกับเขาอีกบ้าง เช่น มีธุรกิจที่ทำร่วมกันไหม มีเงินที่กู้ยืมมาจากเขาไหม รถที่ใช้ไปทำงานเป็นรถของเขาหรือเปล่า แล้วจัดการเคลียร์สิ่งเหล่านี้ให้แยกขาดออกจากชีวิตของคุณซะ (หากแยกด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ แนะนำให้หาคนกลางที่ไว้ใจได้มาช่วยจัดการแทนคุณ) ปล่อยวางความสะดวกสบายอื่นๆ ที่เขาอาจจะเคยมอบให้ จงพึงระลึกไว้เสมอว่า "ตอนไม่มีเขา เราก็อยู่ของเรามาได้ แล้วทำไมเราถึงจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ถ้าแค่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม!" และที่สำคัญ การเลิกกับเขา ก็ไม่ได้แปลว่าความสบายต่างๆ จะไม่มีวันกลับมาหาคุณอีกเลยสักหน่อย
3. อธิบายการตัดสินใจของคุณให้ลูกรับทราบก่อนลงมือ ไม่จำเป็นต้องเล่าทั้งหมด แต่ลูกควรรับรู้ว่าต่อจากนี้คุณกับเขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนที่ผ่านมาอีก คุณควรทำให้ลูกรู้ว่าคุณสามารถดูแลและให้ความสุขกับลูกเหมือนเดิมได้ต่อให้จะเหลือกันแค่สองคน
4. หาคนที่เข้าใจปัญหา และสนับสนุนความคิดของคุณมาอยู่ด้วยทุกครั้ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา เพราะถ้าคุณเริ่มเอ่ยปากขอเลิก ผู้ชายลักษณะนี้ก็จะซัดความผิดและการทวงบุญคุณทั้งหมดบนโลกมาที่คุณทันที สิ่งที่คุณต้องการก็คือคนที่อยู่ข้างๆ เป็นพรรคพวกของคุณเองที่จะย้ำเตือนไม่ให้คุณอ่อนไหวไปกับคำพูดพวกนั้น และตัวคุณเองก็ต้องหนักแน่นด้วยเช่นกันว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดเลยสักนิด
5. หากยังอาศัยร่วมกัน ก็ให้ย้ายออกมา ทำใจไว้ประมาณหนึ่งเลยว่าข้าวของบางอย่างอาจจะหอบเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ แต่มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณต้องทน? (ปล.ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องกลับไปที่บ้านที่เขายังอยู่ ให้พาเพื่อน 2 -3 คนไปด้วยเสมอ)
6. บล็อคช่องทางติดต่อและโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมดของเขา ตัวเราเองก็ไม่ต้องส่องเฟซบุ๊กของเขาด้วยนะคะ เพราะเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณเจ็บปวดที่สุดที่ทิ้งเขาไป เช่น ด่าทอ ข่มขู่คุณ หรือพยายามโอ้อวดว่าชีวิตเขามีความสุขมากแค่ไหนหลังจากคุณไปแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์กับคุณเลย คุณได้ชีวิตของคุณคืนมาแล้ว ชีวิตของเขาไม่ควรกลายมาเป็นเรื่องรกสายตาของคุณอีก
7. หากคุณคิดว่าเขาอาจตามคุณไปที่บ้านหลังจากบอกเลิก ขอแนะนำให้คุณไปพักอยู่ที่อื่นก่อนเป็นเวลาชั่วคราว เช่น หอพัก หรือบ้านเพื่อนที่ไกลจากบ้านเขา แน่นอนว่าคุณอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันจะช่วยให้คุณได้พักฟื้นฟูจิตใจของตัวเองก่อน รวมถึงเตรียมการรับมือดีๆ ถ้าเขาไม่ยอมเลิกง่ายๆ
8. ไม่จำเป็นต้องรีบหาแฟนคนใหม่มาเพื่อดูแลคุณ แต่ตัวคุณเองควรใช้เวลานี้อยู่กับตัวเองเพื่อเรียกคืนความมั่นใจกลับคืนมาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกไปทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก กิจกรรมสาธารณประโยชน์ ลงเรียนคอร์สระยะสั้น หรือเวิร์คชอปงานฝีมือน่ารักๆ ที่คุณทำได้ จงคิดอยู่เสมอว่าชีวิตเป็นของคุณ คุณทำได้ คุณดูแลตัวเองได้ ดูแลลูกได้ และคุณสามารถมีความสุขเองได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร
.
.
.
- คุณจัดการกับความสัมพันธ์นี้อย่างไร?
1. หากคุณแน่ใจแล้วว่าการพูดคุยปรับความเข้าใจคงไม่ได้ผล และคุณไม่ยอมอดทนกับเรื่องนี้อีกต่อไป ขอให้คุณวางแผนเรื่องการยุติความสัมพันธ์ไว้เลย
2. เมื่อบอกเลิกแล้ว ตัดขาดโซเชียลเน็ตเวิร์คของกันและกันซะ ดังที่อธิบายไปในข้อก่อนเลยค่ะ
3. พึงระลึกเสมอว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีใครผิดเลย แต่ความรักที่แท้จริง ย่อมไม่ใช่การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดอยู่เสมอๆ แบบนี้แน่ คุณและเขามีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะมีความสุข หากความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ มันก็ชอบธรรมดีแล้วที่คุณจะออกไปเป็นอิสระ และให้อิสระกับเขาในการไปตามหาคนอื่นมาแทนคุณเช่นกันค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ว่าด้วยเรื่อง abusive man ที่ชอบควบคุมบงการชีวิตของแฟน นิสัยเลวๆแบบนี้ คนประเภทนี้รู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังเป็น?