สวัสดีค่ะ เพื่อนสมาชิกทุกท่าน
วันนี้เราอยากทั้งเชิญชวนและแบ่งปันประสบการณ์ในวันหยุดยาวที่ผ่านมาค่ะ
เริ่มจากเมื่อหลายเดือนก่อน พี่สาวที่เป็นญาติกัน ชวนเราไปงานวิ่งมาราธอนด้วยคำว่า
"เที่ยวไป วิ่งไป กินไป " จนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา เรามีโอกาส วิ่งงาน
FB Battery River Kwai
แล้วเจอ บูธ หนึ่งเข้า บูธนี้เชิญชวน ให้ผู้ร่วมงานสมัครวิ่ง "งานชนะศึกสงคราม ๙ ทัพ Run for Fun เก็บตะวัน ครั้งที่1"
ที่จะจัดขึ้น วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562ผู้จัดงานบอกว่า รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ซื้อเครื่องมือแพทย์
รูปนี้เรายืมมาจากเพจของงานนะคะ
เราสอบถามถึงเส้นทางการวิ่ง ผู้จัดมีเพียง กลูเกิ้ลเอิร์ธบอกเส้นทางซึ่งเรากับพี่สาว ดูไม่ออก มึนตึบๆ
ภาพเส้นทางการวิ่ง เรานำมาจากเพจของผู้จัดนะคะ
ด้วยความสามารถของเราแล้ว เรายอมรับว่ามองภาพไม่ค่อยออก หรือเรียกว่าดูแผนที่ไม่เป็นก็ว่าได้ค่ะ ถามเจ้าหน้าที่ในบูธกับส่อง
เพจงาน รู้ว่า จุดเริ่มต้นอยู่ที่อุทยานประวัติศาสตร์ ๙ ทัพ และ ได้ขึ้นสันเขื่อนท่าทุ่งนา เราเล่าให้ครอบครัวฟังว่า รพ.ค่ายสุรสีห์
จัดงานวิ่ง หาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ ที่บ้านก็เอาด้วย แต่แม่กับลุง เอาระยะ 5 km. ตามกำลังของวัย นานมาแล้ว รพ.นี้เคย
ดูแลวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อเรา ประกอบกับ เราเคยไปรักษาที่รพ.นี้ คนที่รับบริการไม่ได้มีเฉพาะทหารในค่าย แต่รวมไปถึง
ประชาชนที่อยู่แถวสังขละบุรี กับ ประชาชนละแวกนั้นที่มารับยาและรักษาอาการเรื้อรัง ครอบครัวเราเลยตัดสินใจสมัคร
ทั้งครอบครัว คิดว่าช่วยทำบุญให้ รพ.ใกล้บ้าน
อันนี้เป็นรายละเอียดของงานนะคะ เผื่อเพื่อนๆท่านใดสนใจ
หลังจากที่เราไปร่วมวิ่ง งาน FB River Kwai กับพี่สาวจบ เดิมทีวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่ สังขละบุรี ไปเดิยสะพานมอญงี้
ไปเที่ยวแบบชิคๆเหมือนที่ คนอื่นเขารีวิวกันงี้ เป็นเรื่องน่าอายนิดหน่อยที่ถึงแม้เราเป็นคนเมืองกาญจน์แต่ว่าไม่ค่อยได้ไปไหน
ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง บางครั้งพี่ที่ทำงานหรือเพื่อนๆถาม เราเองก็ยังตอบว่า "เหรอ มีด้วยเหรอ" เที่ยวสังขละเอง
เราเคยไปล่าสุดตอนประถมจำอะไรไม่ค่อยได้ พอพี่สาวชวนก็ไปสิๆ ใครพาไปไหนไปหมด แต่วันนั้นปัญหาอยู่ที่อากาศ
ที่ท้องฟ้าเหมือนฝนจะตก และที่บ้านเองก็เหมือนไม่ค่อยไว้ใจเพราะเส้นทางไปสังขละค่อนข้างหลายโค้งและขับยาก
กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ แพลนเลยล้ม...
แต่จากสภาพตื่นนอน กิน ดูโทรทัศน์บ้าง อยู่ที่หน้าจอ ท่องโลกโซเชียล มันเป็นอะไรที่ดูน่าเบื่อไปหน่อยสำหรับการหยุดยาว
ที่นัดกับพี่สาวเพื่อทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง เรียนตามตรงเสียดายเวลาและอุตส่าห์เผาผลาญแคลอรี่บางส่วนที่งานวิ่งแล้ว
พี่สาวเลยพูดว่า " เราไปสำรวจเส้นทางวิ่ง งาน๙ ทัพกันเถอะ !!!" อากาศเองก็ดูเป็นใจสุดๆประกอบกับที่ลุงบอกว่า อุทยานไม่ไกลจาก
บ้านเรา ประมาณ 20 km.กว่า นี้เลยรีบเข้าห้องน้ำ เดินทางเลยจ้า
ระหว่างทางเราก็คุยโน้นนี้นั่นตามประสาญาติที่ไม่ค่อยได้หน้ากันเจอกันแต่การผ่านโซเชียล แล้วเหมือนเราพูดถึง ว่า เมืองกาญจน์มี
บ้านช้างชรานะ เป็นมูลนิธิที่มีแต่ช้างแก่ปลดระวางแล้ว(แบบว่าเราอยากไปมานานล่ะ ติดตรงที่ไม่มีคนพาไป และติดตรงที่
ไม่สามารถไปเองได้ขับรถไม่เป็น
เลยลองเล่าๆดู เผื่อได้ไป อิอิอิ ) แต่เหมือนอยู่ทางไทรโยคนะ ตอนแรก
เหมือนพี่สาวไม่ได้ฟัง แต่พอเห็นป้าย "บ้าน ช.ช้างชรา" พี่สาวพาเลี้ยวรถเข้าเลยจ้า...
ทางเข้าไปด้านในจะใช้เส้นทางเดียวกับรีสอร์ตที่มีสนามกอล์ฟใหญ่มากที่ชื่อ นิชิโกะค่ะ เข้าไปสักพักจะผ่านสะพานที่มีวิวสวยมาก
ขับรถไปเรื่อยๆ จะเจอทางแยกไป บ้าน ช.ช้าง ค่ะ ขับไปเรื่อยๆ ค่อนข้างลึกพอสมควร แต่เส้นทางระหว่างทางจะเต็มไปด้วย
วิวภูเขา แต่ขับรถระวังนะคะ เพราะบางครั้งมีรถขับสวนทางมาเราว่า มองไม่ค่อยเห็นนะคะ เส้นทางมันโค้งๆ
ไม่นานก็เดินทางมาถึงเรากับพี่สาวคิดว่าน่าจะเป็นที่ๆมีช้าง ก็คงต้องดูช้าง จุดแรกเป็นสำนักงานInformation เล็ก
เรากับพี่สาวเดินไปติดต่อ เราสอบถามว่ามีค่าเข้าหรือต้องเสียค่าบริการอะไรหรือไม่ เนื่องจากว่าเราไม่ได้ศึกษาข้อมูล
อะไรมาเลย เหมือนเป็นทางผ่านเจอเลยแวะ เฉยๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่มีค่าเข้า แต่จะมีค่าอาหารให้ช้างค่ะ ตะกร้าละ 200 บาท
ผู้เยี่ยมชมจะซื้อกี่ตะกร้าก็ได้ เรากับพี่สาว เลยซื้อไป 1ตะกร้า แล้วนำรถเข้าไปได้เลย ที่จุด Fruit Shop ตอนแรกเราเห็น
ช้างตัวโตอยู่กับช้างเด็ก แค่สองเชือกค่ะ เรากับพี่สาวเลยคิดว่าคงมีเท่านี้ล่ะมั้ง
ตะกร้านี้คือ 200 บาท ค่ะ เยอะไปอีก
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่เอารถเหมือนรถ สองแถวมารับ พาไปให้อาหารช้างค่ะ ระหว่างทางเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประปราย
เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นเหมือนกรุ๊ปทัวร์นะคะ ส่วนคนไทยไม่มีเลย เรากับพี่สาวเป็นคนไทย2 คน ที่มาเยี่ยมชม แป๊บเดียวถึง
ที่ให้อาหารช้าง อยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่จ้า บรรยากาศดีไปอีก ด้านข้างมีอัฒจรรย์ เราไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ เข้าไปในเพจของ
ก็ไม่มี
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เหมือนเป็นคนชนเผ่าค่ะ แต่พูดภาษาไทยได้ ภาษาอังกฤษคล่องเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากค่ะ
เราเลยถามว่าหลายๆอย่าง พบว่า ช้างที่นี้ ปัจจุบันมี 25 เชือก (ถ้าเราจำไม่ผิด) กินอาหารวันละ 300 Kg/เชือก
อายุของช้างพอๆกับอายุคน ช้างอายุเยอะสุด ประมาณ 68 ปี ที่เคยอายุเยอะสุด ประมาณ 78 ปี เพิ่งล้มไปไม่นานตามวัย
ช้าง 2 เชือกที่เรากับพี่สาวให้อาหาร เป็นพี่น้องกัน อายุ 40 กับ 45 ปี ชื่อXXX (คือเราจำชื่อไม่ได้เลยค่ะ แต่ควาญช้าง
กับจำได้ทุกเชือกเลย) เป็นช้างลากซุง บางเชือกเป็นช้างเร่รอน บางเชือกเป็นช้างที่ไปไถ่ชีวิตมา (ราคาพอๆกับรถครอบครัวเลยนะ)
ช้าง 25 เชือก กินอาหารวันละ 300 Kg. คือทุกศรัทธาขับเคลื่อนด้วยเงินอยู่แล้ว เราเลยถามถึงค่าใช้จ่าย ว่าได้เงินสนับสนุนจากทางไหน
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ควาญแจ้งว่า ค่าใช้จ่ายเยอะเพราะนอกจากค่าอาหารยังมีค่าจ้างพนักงาน ควาญ1คน ต่อช้าง 1 เชือก
เงินสนับสนุนมากจากการบริจาค แต่ที่เราสังเกตได้อย่างหนึ่งคือ เราว่าที่นี้พยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองนะคะ ทั้งการสร้างกิจกรรม
การปลูกพืชผัก ผลไม้ เพื่อเป็นอาหาร สถานที่ภายในดูดีในระดับหนึ่งนะคะ เราอยากให้มีคนมาเยี่ยมช้างบ้านเราเยอะๆค่ะ สนับสนุน
ให้มูลนิธิดีๆอยู่ได้ มีสัตวแพทย์แวะเข้ามาสัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าป่วย จะมีโรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัย มหิดลคอยช่วย
มาต่อกันดีกว่า ....
ในโซนนี้จะมี กิจกรรมการกวนข้าวเหนียวค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ช้างบางเชือกเมื่อเขาอายุมากจะเริ่มกินพืชผักผลไม้ไม่ได้ บางเชือกก็ต้อง
เขาเลยกวนข้าวเหนียวผสมอาหารเสริมให้ช้าง
ภาพนี้เป็นภาพที่เรากับพี่สาวขอเข้าไปดูกรุ๊ปที่เขามาเป็นหมู่คณะทำกวนข้าวเหนียวนะคะ
อันที่จริงพี่สาวเราอัดวิดิโอไว้อยู่แต่เราลงไม่เป็น ขออนุญาติใช้ภาพจาก เพจ ElephantWorld (เพจของ บ้าน ช.ช้าง ชรา นั้นแล)
อาหารที่ทำเสร็จหน้าก็จะคล้ายๆ โมจิ (ล่ะมั้งค่ะ
)
ช้างคุณยายแกว่งงวงไปมา บอกว่าเร็วๆหน่อยหิวแล้วววว
สุดท้าย เจ้าหน้าที่บอกว่า อีกประมาณ 10 นาที คณะทัวร์นี้เขาจะทำกิจกรรมอาบน้ำให้ช้าง สปาช้าง จะอยู่รอก็ได้
พิสูจน์ความใสของน้ำสักหน่อย
แต่รอหลายนาที ช้างก็ยังไม่อาบน้ำซะที เรากับพี่สาวต้องไปทำภารกิจสำรวจเส้นทางวิ่งต่อ เลยกลับก่อนค่ะ
จากการพูดคุยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ช่วงกลางวันจะปล่อยให้ช้างๆ เขาเดินอย่างอิสระ ให้เขาได้รู้สึกมีความสุขซึ่งก็จริงอย่างเขาพูดนะคะ
แต่ที่เราสังเกตคือ ถึงแม้ควาญจะปล่อยช้างเดิน แต่ก้คอยมอง คอยเรียก คอยคุมตลอด เช่น มีน้องช้างเชือกหนึ่ง ลงน้ำ
เขาก็ปล่อยให้ลงลงนานพอควร มีครอบครัวต่างชาติ ยืนดูยืนถ่ายรูป แต่พอเด็กๆลงน้ำบ้าง เหมือนควาญส่งสัญญาณให้ช้างขึ้นจากน้ำ
เราไม่แน่ใจว่าเพราะเขาห่วงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวหรือช้างแช่ตัวนานเกินไป พอช้างขึ้นเขาก็เอาหลังมาถูๆกับอะไรผ้าหรือ
เยื่อไม้อะไรสักอย่างน่ารักมากเลยค่ะ พอเราจะกลับเจ้าหน้าที่ก็ขับรถไปส่งที่จอดรถ ก่อนออกจากมูลนิธิ เรากลับพี่สาวตัดสินใจ
ใส่Tip Box ให้พนักงานเพราะถือว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ ได้เห็นประสบการณ์ใหม่ ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ ได้สัมผัส
น้องช้างด้วย ที่สำคัญเราได้ความสุข ส่วนพ่ี่สาวบริจาคให้ช้างเพิ่ม พอเราขึ้นรถพนักงาน เอาใบปลิวมาให้ อันที่จริงพี่สาวเราได้
นามบัตรด้วย ไม่รู้ว่าเพราะลุคพี่เขาเหมือน เจ๊ๆ หรือ Vlogger หรือนักรีวิว หรือเพราะ พูดว่าจะพาเพื่อนๆกับเด็กๆมาเที่ยว จะกลับมาอีก
อันที่จริงมีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำค่ะ ทั้งการ ปลูกหญ้า ปลูกพืช ให้ช้าง ตัดหญ้า กวนข้าวเหนียว ให้อาหาร ทำสปา อาบน้ำ
อื่นๆที่เราไม่รู้อีก แต่เจ้าหน้าที่บอกเราเท่านี้ แต่เราเข้าไปในเพจเห็นรูปกิจกรรมมากมายเลยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ เราเอง
ก็เพิ่งรู้ว่าแถวบ้านมีที่ดีๆแบบนี้ด้วย ถ้าเพื่อนๆท่านใด แวะแถวเมืองกาญจน์ แถวเส้นน้ำตกเอราวัณลองแวะเยี่ยมชม
ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบดีนะคะ (อวยเต็มที่ อิอิอิ)
สำหรับ บ้าน ช.ช้าง เราขอใช้ quote ของ นายสัตวแพทย์ สามารถ ประสิทธิ์ผล ผู้ก่อตั้ง (เราเอามาจากใบปลิว)
"ถ้ายังมีหวังอยู่บ้าน ผมหวังว่าบ้าน ช.ช้างชรา แห่งนี้
จะมีพลังพอที่จะทำให้สังคมหันมาตั้งคำถามว่า
ทำไมคนเราจึงรักช้างในแบบที่ช้างเป็นไม่ได้
เราจะรักช้างก็ต่อเมื่อเขาให้เราขี่หลัง
หรือแค่โชว์สนุกๆให้เราดูเท่านั้นหรือ"
จากการสำรวจเส้นทางวิ่งมาราธอนสู่ประสบการณ์บ้าน ช. ช้างชราแล้วไป อุทยาน๙ทัพ จบด้วยน้ำตกเอราวัณ
วันนี้เราอยากทั้งเชิญชวนและแบ่งปันประสบการณ์ในวันหยุดยาวที่ผ่านมาค่ะ
เริ่มจากเมื่อหลายเดือนก่อน พี่สาวที่เป็นญาติกัน ชวนเราไปงานวิ่งมาราธอนด้วยคำว่า
"เที่ยวไป วิ่งไป กินไป " จนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา เรามีโอกาส วิ่งงาน
FB Battery River Kwai
แล้วเจอ บูธ หนึ่งเข้า บูธนี้เชิญชวน ให้ผู้ร่วมงานสมัครวิ่ง "งานชนะศึกสงคราม ๙ ทัพ Run for Fun เก็บตะวัน ครั้งที่1"
ที่จะจัดขึ้น วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562ผู้จัดงานบอกว่า รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ซื้อเครื่องมือแพทย์
เราสอบถามถึงเส้นทางการวิ่ง ผู้จัดมีเพียง กลูเกิ้ลเอิร์ธบอกเส้นทางซึ่งเรากับพี่สาว ดูไม่ออก มึนตึบๆ
ด้วยความสามารถของเราแล้ว เรายอมรับว่ามองภาพไม่ค่อยออก หรือเรียกว่าดูแผนที่ไม่เป็นก็ว่าได้ค่ะ ถามเจ้าหน้าที่ในบูธกับส่อง
เพจงาน รู้ว่า จุดเริ่มต้นอยู่ที่อุทยานประวัติศาสตร์ ๙ ทัพ และ ได้ขึ้นสันเขื่อนท่าทุ่งนา เราเล่าให้ครอบครัวฟังว่า รพ.ค่ายสุรสีห์
จัดงานวิ่ง หาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ ที่บ้านก็เอาด้วย แต่แม่กับลุง เอาระยะ 5 km. ตามกำลังของวัย นานมาแล้ว รพ.นี้เคย
ดูแลวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อเรา ประกอบกับ เราเคยไปรักษาที่รพ.นี้ คนที่รับบริการไม่ได้มีเฉพาะทหารในค่าย แต่รวมไปถึง
ประชาชนที่อยู่แถวสังขละบุรี กับ ประชาชนละแวกนั้นที่มารับยาและรักษาอาการเรื้อรัง ครอบครัวเราเลยตัดสินใจสมัคร
ทั้งครอบครัว คิดว่าช่วยทำบุญให้ รพ.ใกล้บ้าน
หลังจากที่เราไปร่วมวิ่ง งาน FB River Kwai กับพี่สาวจบ เดิมทีวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่ สังขละบุรี ไปเดิยสะพานมอญงี้
ไปเที่ยวแบบชิคๆเหมือนที่ คนอื่นเขารีวิวกันงี้ เป็นเรื่องน่าอายนิดหน่อยที่ถึงแม้เราเป็นคนเมืองกาญจน์แต่ว่าไม่ค่อยได้ไปไหน
ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง บางครั้งพี่ที่ทำงานหรือเพื่อนๆถาม เราเองก็ยังตอบว่า "เหรอ มีด้วยเหรอ" เที่ยวสังขละเอง
เราเคยไปล่าสุดตอนประถมจำอะไรไม่ค่อยได้ พอพี่สาวชวนก็ไปสิๆ ใครพาไปไหนไปหมด แต่วันนั้นปัญหาอยู่ที่อากาศ
ที่ท้องฟ้าเหมือนฝนจะตก และที่บ้านเองก็เหมือนไม่ค่อยไว้ใจเพราะเส้นทางไปสังขละค่อนข้างหลายโค้งและขับยาก
กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ แพลนเลยล้ม...
แต่จากสภาพตื่นนอน กิน ดูโทรทัศน์บ้าง อยู่ที่หน้าจอ ท่องโลกโซเชียล มันเป็นอะไรที่ดูน่าเบื่อไปหน่อยสำหรับการหยุดยาว
ที่นัดกับพี่สาวเพื่อทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง เรียนตามตรงเสียดายเวลาและอุตส่าห์เผาผลาญแคลอรี่บางส่วนที่งานวิ่งแล้ว
พี่สาวเลยพูดว่า " เราไปสำรวจเส้นทางวิ่ง งาน๙ ทัพกันเถอะ !!!" อากาศเองก็ดูเป็นใจสุดๆประกอบกับที่ลุงบอกว่า อุทยานไม่ไกลจาก
บ้านเรา ประมาณ 20 km.กว่า นี้เลยรีบเข้าห้องน้ำ เดินทางเลยจ้า
ระหว่างทางเราก็คุยโน้นนี้นั่นตามประสาญาติที่ไม่ค่อยได้หน้ากันเจอกันแต่การผ่านโซเชียล แล้วเหมือนเราพูดถึง ว่า เมืองกาญจน์มี
บ้านช้างชรานะ เป็นมูลนิธิที่มีแต่ช้างแก่ปลดระวางแล้ว(แบบว่าเราอยากไปมานานล่ะ ติดตรงที่ไม่มีคนพาไป และติดตรงที่
ไม่สามารถไปเองได้ขับรถไม่เป็น เลยลองเล่าๆดู เผื่อได้ไป อิอิอิ ) แต่เหมือนอยู่ทางไทรโยคนะ ตอนแรก
เหมือนพี่สาวไม่ได้ฟัง แต่พอเห็นป้าย "บ้าน ช.ช้างชรา" พี่สาวพาเลี้ยวรถเข้าเลยจ้า...
ทางเข้าไปด้านในจะใช้เส้นทางเดียวกับรีสอร์ตที่มีสนามกอล์ฟใหญ่มากที่ชื่อ นิชิโกะค่ะ เข้าไปสักพักจะผ่านสะพานที่มีวิวสวยมาก
ขับรถไปเรื่อยๆ จะเจอทางแยกไป บ้าน ช.ช้าง ค่ะ ขับไปเรื่อยๆ ค่อนข้างลึกพอสมควร แต่เส้นทางระหว่างทางจะเต็มไปด้วย
วิวภูเขา แต่ขับรถระวังนะคะ เพราะบางครั้งมีรถขับสวนทางมาเราว่า มองไม่ค่อยเห็นนะคะ เส้นทางมันโค้งๆ
ไม่นานก็เดินทางมาถึงเรากับพี่สาวคิดว่าน่าจะเป็นที่ๆมีช้าง ก็คงต้องดูช้าง จุดแรกเป็นสำนักงานInformation เล็ก
เรากับพี่สาวเดินไปติดต่อ เราสอบถามว่ามีค่าเข้าหรือต้องเสียค่าบริการอะไรหรือไม่ เนื่องจากว่าเราไม่ได้ศึกษาข้อมูล
อะไรมาเลย เหมือนเป็นทางผ่านเจอเลยแวะ เฉยๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่มีค่าเข้า แต่จะมีค่าอาหารให้ช้างค่ะ ตะกร้าละ 200 บาท
ผู้เยี่ยมชมจะซื้อกี่ตะกร้าก็ได้ เรากับพี่สาว เลยซื้อไป 1ตะกร้า แล้วนำรถเข้าไปได้เลย ที่จุด Fruit Shop ตอนแรกเราเห็น
ช้างตัวโตอยู่กับช้างเด็ก แค่สองเชือกค่ะ เรากับพี่สาวเลยคิดว่าคงมีเท่านี้ล่ะมั้ง
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่เอารถเหมือนรถ สองแถวมารับ พาไปให้อาหารช้างค่ะ ระหว่างทางเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประปราย
เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นเหมือนกรุ๊ปทัวร์นะคะ ส่วนคนไทยไม่มีเลย เรากับพี่สาวเป็นคนไทย2 คน ที่มาเยี่ยมชม แป๊บเดียวถึง
ที่ให้อาหารช้าง อยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่จ้า บรรยากาศดีไปอีก ด้านข้างมีอัฒจรรย์ เราไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ เข้าไปในเพจของ
ก็ไม่มี
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เหมือนเป็นคนชนเผ่าค่ะ แต่พูดภาษาไทยได้ ภาษาอังกฤษคล่องเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากค่ะ
เราเลยถามว่าหลายๆอย่าง พบว่า ช้างที่นี้ ปัจจุบันมี 25 เชือก (ถ้าเราจำไม่ผิด) กินอาหารวันละ 300 Kg/เชือก
อายุของช้างพอๆกับอายุคน ช้างอายุเยอะสุด ประมาณ 68 ปี ที่เคยอายุเยอะสุด ประมาณ 78 ปี เพิ่งล้มไปไม่นานตามวัย
ช้าง 2 เชือกที่เรากับพี่สาวให้อาหาร เป็นพี่น้องกัน อายุ 40 กับ 45 ปี ชื่อXXX (คือเราจำชื่อไม่ได้เลยค่ะ แต่ควาญช้าง
กับจำได้ทุกเชือกเลย) เป็นช้างลากซุง บางเชือกเป็นช้างเร่รอน บางเชือกเป็นช้างที่ไปไถ่ชีวิตมา (ราคาพอๆกับรถครอบครัวเลยนะ)
ช้าง 25 เชือก กินอาหารวันละ 300 Kg. คือทุกศรัทธาขับเคลื่อนด้วยเงินอยู่แล้ว เราเลยถามถึงค่าใช้จ่าย ว่าได้เงินสนับสนุนจากทางไหน
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ควาญแจ้งว่า ค่าใช้จ่ายเยอะเพราะนอกจากค่าอาหารยังมีค่าจ้างพนักงาน ควาญ1คน ต่อช้าง 1 เชือก
เงินสนับสนุนมากจากการบริจาค แต่ที่เราสังเกตได้อย่างหนึ่งคือ เราว่าที่นี้พยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองนะคะ ทั้งการสร้างกิจกรรม
การปลูกพืชผัก ผลไม้ เพื่อเป็นอาหาร สถานที่ภายในดูดีในระดับหนึ่งนะคะ เราอยากให้มีคนมาเยี่ยมช้างบ้านเราเยอะๆค่ะ สนับสนุน
ให้มูลนิธิดีๆอยู่ได้ มีสัตวแพทย์แวะเข้ามาสัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าป่วย จะมีโรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัย มหิดลคอยช่วย
มาต่อกันดีกว่า ....
ในโซนนี้จะมี กิจกรรมการกวนข้าวเหนียวค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ช้างบางเชือกเมื่อเขาอายุมากจะเริ่มกินพืชผักผลไม้ไม่ได้ บางเชือกก็ต้อง
เขาเลยกวนข้าวเหนียวผสมอาหารเสริมให้ช้าง
อันที่จริงพี่สาวเราอัดวิดิโอไว้อยู่แต่เราลงไม่เป็น ขออนุญาติใช้ภาพจาก เพจ ElephantWorld (เพจของ บ้าน ช.ช้าง ชรา นั้นแล)
สุดท้าย เจ้าหน้าที่บอกว่า อีกประมาณ 10 นาที คณะทัวร์นี้เขาจะทำกิจกรรมอาบน้ำให้ช้าง สปาช้าง จะอยู่รอก็ได้
แต่รอหลายนาที ช้างก็ยังไม่อาบน้ำซะที เรากับพี่สาวต้องไปทำภารกิจสำรวจเส้นทางวิ่งต่อ เลยกลับก่อนค่ะ
จากการพูดคุยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ช่วงกลางวันจะปล่อยให้ช้างๆ เขาเดินอย่างอิสระ ให้เขาได้รู้สึกมีความสุขซึ่งก็จริงอย่างเขาพูดนะคะ
แต่ที่เราสังเกตคือ ถึงแม้ควาญจะปล่อยช้างเดิน แต่ก้คอยมอง คอยเรียก คอยคุมตลอด เช่น มีน้องช้างเชือกหนึ่ง ลงน้ำ
เขาก็ปล่อยให้ลงลงนานพอควร มีครอบครัวต่างชาติ ยืนดูยืนถ่ายรูป แต่พอเด็กๆลงน้ำบ้าง เหมือนควาญส่งสัญญาณให้ช้างขึ้นจากน้ำ
เราไม่แน่ใจว่าเพราะเขาห่วงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวหรือช้างแช่ตัวนานเกินไป พอช้างขึ้นเขาก็เอาหลังมาถูๆกับอะไรผ้าหรือ
เยื่อไม้อะไรสักอย่างน่ารักมากเลยค่ะ พอเราจะกลับเจ้าหน้าที่ก็ขับรถไปส่งที่จอดรถ ก่อนออกจากมูลนิธิ เรากลับพี่สาวตัดสินใจ
ใส่Tip Box ให้พนักงานเพราะถือว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ ได้เห็นประสบการณ์ใหม่ ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ ได้สัมผัส
น้องช้างด้วย ที่สำคัญเราได้ความสุข ส่วนพ่ี่สาวบริจาคให้ช้างเพิ่ม พอเราขึ้นรถพนักงาน เอาใบปลิวมาให้ อันที่จริงพี่สาวเราได้
นามบัตรด้วย ไม่รู้ว่าเพราะลุคพี่เขาเหมือน เจ๊ๆ หรือ Vlogger หรือนักรีวิว หรือเพราะ พูดว่าจะพาเพื่อนๆกับเด็กๆมาเที่ยว จะกลับมาอีก
อันที่จริงมีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำค่ะ ทั้งการ ปลูกหญ้า ปลูกพืช ให้ช้าง ตัดหญ้า กวนข้าวเหนียว ให้อาหาร ทำสปา อาบน้ำ
อื่นๆที่เราไม่รู้อีก แต่เจ้าหน้าที่บอกเราเท่านี้ แต่เราเข้าไปในเพจเห็นรูปกิจกรรมมากมายเลยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ เราเอง
ก็เพิ่งรู้ว่าแถวบ้านมีที่ดีๆแบบนี้ด้วย ถ้าเพื่อนๆท่านใด แวะแถวเมืองกาญจน์ แถวเส้นน้ำตกเอราวัณลองแวะเยี่ยมชม
ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบดีนะคะ (อวยเต็มที่ อิอิอิ)
สำหรับ บ้าน ช.ช้าง เราขอใช้ quote ของ นายสัตวแพทย์ สามารถ ประสิทธิ์ผล ผู้ก่อตั้ง (เราเอามาจากใบปลิว)
จะมีพลังพอที่จะทำให้สังคมหันมาตั้งคำถามว่า
ทำไมคนเราจึงรักช้างในแบบที่ช้างเป็นไม่ได้
เราจะรักช้างก็ต่อเมื่อเขาให้เราขี่หลัง
หรือแค่โชว์สนุกๆให้เราดูเท่านั้นหรือ"