สืบเนื่องจากตั๋วโปรฯของกาตาร์ในตำนานเมื่อคริสต์มาสปีที่แล้ว ทำให้อดใจไม่ไหวเลยเผลอกดจองตั๋วข้ามปีแบบมัลติซิตี้ สามขา กรุงเทพ-บอสตัน , นิวยอร์ก-กรุงเทพ และ กรุงเทพ-ฮานอย มาได้ในราคา 15785 บาท และกาตาร์เพิ่งมาประกาศยกเลิกเที่ยวบิน กรุงเทพ-ฮานอย ทำให้สามารถรีฟันด์ตั๋วขาที่สามได้เงินคืนมาอีก 1041 บาท สรุปแล้วได้ตั๋วไปกลับอเมริกาในราคาที่โคตรถูกคือ 14744 บาทถ้วน
จำได้แม่นเลยว่าตอนที่จองตั๋วเสร็จผมกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า เพราะฝันอยากไปนิวยอร์กมานานแล้ว ในที่สุดฝันจะเป็นจริงสักที โดยทริปนี้ผมเดินทางกันสองคนกับเพื่อน ตอนชวนเพื่อน เพื่อนก็ตอบตกลงในทันทีทันใดกับราคาที่น่ารักประกอบกับเพื่อนก็มีวีซ่าอยู่แล้วด้วย แต่ตัวผมเองต้องทำเรื่องขอวีซ่า ตอนนั้นส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะได้วีซ่าแน่ๆ เพราะเคยได้วีซ่าแชงเก้นมา 4 ครั้ง แถมยังเดินทางค่อนข้างบ่อย หน้าที่การงานมั่นคง พอมีเวลาว่างช่วงเดือนมีนาคม ก็เลยยื่นขอวีซ่า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็หาข้อมูลเยอะพอสมควร วางแผนไว้อย่างดี เตรียมพร้อมกับการสัมภาษณ์ไว้ก็มาก แต่แล้ว วีซ่าไม่ผ่าน!!!!!
วันนั้นมันเป็นวันที่หดหู่มากๆสำหรับผม อาจจะเพราะเรามั่นใจเกินไปว่าจะได้วีซ่ามาแน่ๆ แต่กลับต้องผิดหวัง ผมเดินคอตกออกมาจากสถานฑูต ความรู้สึกคือสิ้นหวังมากๆ ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก ช่วงนั้นคือรู้สึกจิตตกอยู่เป็นเดือน มีแต่คำถามเต็มไปหมด ในมุมลึกๆก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเค้าไม่อยากให้เราเข้าประเทศ งั้นเราไปประเทศที่เค้าต้อนรับเราก็ได้ มีอีกตั้งหลายประเทศที่น่าสนใจ เสียค่าตั๋วหมื่นห้า กับค่ายื่นวีซ่าอีกห้าพัน ก็ถือว่าเป็นบททดสอบจิตใจก็แล้วกัน แต่ในอีกมุมหนึ่งคือ อยากลองยื่นอีกสักครั้งให้มันรู้กันไปเลยว่า เราไม่คู่ควรกับประเทศนี้จริงๆหรอ ก็เลยวางแผนลองยื่นอีกสักรอบ ถ้าไม่ได้จริงๆจะได้วางแผนเที่ยวที่ไหม่ไปเลย
ประมาณเดือนมิถุนายน ผมยื่นขอวีซ่าอีกครั้ง (สามเดือนหลังจากยื่นครั้งแรก) การเตรียมตัวในการยื่นวีซ่าครั้งที่สองผมทำละเอียดขึ้นมากกว่าครั้งก่อน ศึกษาข้อมูลไว้แน่นมาก ทั้งการกรอกแบบฟอร์มและการสัมภาษณ์ และก็จ่ายเงินค่ายื่นไปอีกห้าพันกว่าบาท วันนั้นผมไปสัมภาษณ์ด้วยความวิตกกังวล เพราะรู้อยู่แล้วว่าโอกาสได้วีซ่าในการยื่นครั้งที่สองนั้นมีน้อยกว่าเดิมมาก ผลปรากฏว่า ผ่าน!!! เชื่อไหมครับว่า ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นการตอกย้ำซะมากกว่าว่า การพิจารณาวีซ่าอเมริกา มันไม่มีมาตรฐานเลย ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณาวีซ่า และผมไม่ชอบการพิจารณาวีซ่าของอเมริกาเลย ถ้าเลือกได้ผมขอเลือกส่งเอกสารให้ตรวจสอบเหมือนวีซ่าแชงเก้นดีกว่า แต่ผมก็พยายามมองโลกในแง่ดีไว้ว่า อย่างน้อยเราก็ได้วีซ่ามาตั้ง 10 ปี ค่อยหาโอกาสไปเที่ยวอเมริกาหลายๆครั้งเพื่อให้คุ้มกับค่าวีซ่าที่จ่ายไปถึงสองครั้ง เป็นเงินประมาณ 10720 บาท
สรุปแล้วตอนนี้รวมค่าใช้จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่ายื่นวีซ่า อยู่ที่ 14744+10720 = 25464 บาท ก็ยังถือว่าอยู่ในราคาที่รับได้
ป.ล. รายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆเดี๋ยวผมจะสรุปยอดให้ตอนท้ายนะครับ
ทริปนี้เป็นการเดินทางทั้งหมด 8 วัน คือ 20-27 ตุลาคม 2018
Day 1 (20/10/2018)
สำหรับใครที่จะเดินทางไปอเมริกาแนะนำว่าให้เผื่อเวลาไว้เช็คอินด้วย เพราะใช้เวลานานมาก เจ้าหน้าที่ต้องกรอกข้อมูลที่ค่อนข้างเยอะ วันนั้นผมใช้เวลาในการเช็คอินไปเกือบ 1 ชั่วโมงทั้งที่แถวไม่ได้ยาวเลย
ผมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไฟลท์ดึกเวลา 2.35 น. เที่ยวบิน QR837 BKK-DOH บินด้วย A340-600 เครื่องรุ่นนี้เป็นรุ่นหานั่งยากแล้ว เพราะใช้บินไม่เยอะ ส่วนตัวผมชอบการจัดที่นั่งของรุ่นนี้มากที่จัดแบบ 2-4-2 เหมาะสำหรับคนเดินทางเป็นคู่ นั่งกันแบบสบายใจ ไม่ต้องรบกวนคนอื่นตอนออกไปเข้าห้องน้ำ แต่มีข้อเสียคือจอเอนเตอร์เทนเล็กและเก่าไปหน่อย แต่ว่าเบาะนั่งสบายมาก แถมอาหารการกินและการบริการของลูกเรืออยู่ในระดับที่ดีมากๆ เลยทำให้การเดินทางในครั้งนี้กินอิ่ม นอนหลับสบายหายห่วง
ในนี้มีผ้าปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า แปรงสีฟันให้ด้วย
มีแจกหูฟัง
หน้าจอเล็กไปหน่อย
A346
มีผ้าเย็นเช็ดมือให้ด้วย
เมนู
มื้อดึกแก้ง่วงครับ อร่อยดี
มื้อเช้าอร่อยมาก หิวมาก มือสั่นเลยถ่ายรูปออกมาเบลอ
ถึงโดฮาตอนเช้าๆ
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงก็มาถึงโดฮา มีเวลาต่อเครื่องเล็กน้อย พยายามมองหาหมีเหลืองแต่น่าจะอยู่คนละอาคาร เจอแต่ตัวนี้ สัญลักษณ์อีกอันประจำสนามบิน
พอมาถึงหน้าเกต เจ้าหน้าที่ถามก่อนสแกนตัวขึ้นเครื่องเยอะมาก เช่น กระเป๋าที่เราพายมาด้วยอยู่กับเราตลอดเวลารึเปล่า มีใครได้เปิดกระเป๋าเราก่อนหน้านี้มั้ย บลาๆๆ พอถามเสร็จก็สแกนตัวอย่างละเอียดยิบ สแกนเสร็จก็มาตรวจตามตัวอีกทุกซอกทุกมุม เป็นการตรวจที่เยอะที่สุดตั้งแต่เดินทางมาเลย น่าจะเป็นเพราะเป็นไฟลท์ที่เดินทางเข้าอเมริกา กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ใช้เวลานานพอสมควร
A530
จอใหญ่ทัชไหลลื่น
แขกเต็มเครื่องเลย น้ำหอมฟุ้งกระจาย ฉุนมาก สำหรับผมนี่เป็นข้อเสียขอกาตาร์เลย
มาดูเมนูไฟลท์ยาวกันบ้าง
ผมออกจากโดฮาด้วยเที่ยวบิน QR743 BKK-BOS ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 13 ชั่วโมง นั่งกันไปยาวๆเลย เส้นทางโดฮา-บอสตันนี้ใช้เครื่อง A350-900 ที่จัดที่นั่งแบบ 3-3-3 ผมกับเพื่อนเลือกนั่งตรงกลางเพราะคงต้องออกไปเข้าห้องน้ำกันหลายรอบกว่าจะถึง ไม่อยากรบกวนคนอื่น จอเอนเตอร์เทนใหญ่กว่าเดิม ทัชสกรีนไหลลื่นดี อาหารอร่อย กินแล้วก็นอน และก็ตื่นมากินอีก ดูหนัง อ่านหนังสือไปเรื่อยก็ยังไม่ถึงสักที เป็นการเดินทางที่นานมาก ขนาดว่าผมเป็นคนที่ตื่นเต้นเวลานั่งเครื่องบิน มาเจอทริปนี้ตื่นเต้นไม่ออกเลย เพราะบินนานเกิน
อาหารบนเครื่องอร่อยทุกอย่างเลย
มื้อเช้านี่ทานไม่หมด เพราะกินมาจนอิ่มตลอดการเดินทาง
ผมมาถึงบอสตันประมาณบ่ายสอง ทั้งเหนื่อย ทั้งล้าจากการเดินทาง แถมยังต้องมาต่อแถวที่ยาวมากๆเพื่อผ่าน ตม. ก่อนเจอ ตม. เราจะต้องกรอกข้อมูลและถ่ายรูปจากเครื่องอัตโนมัติที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำอยู่ กว่าจะผ่านตรงนี้ไปก็ใช้เวลาพอสมควร จากนั้นก็มาเข้าแถวผ่าน ตม. ซึ่งถามอยู่สองคำถามคือ มาทำอะไรกับมากี่วัน แค่นั้นเอง
ผมเดินออกมารับกระเป๋าแล้วนั่งชัตเติ้ลบัส(ฟรี)ไปยังสถานีรถไฟเพื่อเข้าเมือง ดูข้อมูลการซื้อตั๋วก่อนจะซื้อตั๋วรายเที่ยวราคา 2.75 usd เพื่อเดินทางไปยังที่พัก จริงๆแล้วตั๋วมีหลายแบบตามนี้เลยครับ เลือกตามที่ตัวเองสะดวกและคุ้มค่าที่สุดได้เลย
ตั๋วรถไฟ
แผนที่รถไฟเมืองบอสตัน
ผมและเพื่อนพักที่บอสตันกันสองคืน โดยจองที่พักผ่าน AirBnb พูดถึงเรื่องที่พักในบอสตัน คือเป็นอะไรที่โคตรแพง ผมหาอยู่นานมากแต่ก็ไม่เจอราคาที่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าเลย สุดท้ายเลยมาลงที่ AirBnb ที่ได้โค้ดส่วนลดมา สรุปสองคืนจ่ายไปกันคนละ 2932 บาท กว่าจะถึงที่พักก็บ่ายสี่โมง ห้องพักเป็นบ้านสองชั้นโดยหยิบกุญแจได้จากกล่องจดหมายหน้าบ้าน ห้องขนาดเล็กและห้องน้ำรวม ถ้าเทียบกับที่พักอื่นที่พยามหาทีนี่ก็ถือว่าโอเคกับราคาที่จ่ายไป ตอนนั้นรู้สึกง่วงมากเพราะเวลาที่ต่างกันถึง 11 ชั่วโมง พวกเราเลยออกไปซื้อพิซซ่ามาทานเป็นมื้อเย็น และแวะร้านสะดวกซื้อ ซื้อของไว้กินสำหรับมื้อเช้าในวันรุ่งขึ้นอีกด้วย
ค่าใช้จ่ายในวันแรก
ตั๋วเครื่องบิน 14744 บาท
ค่ายื่นวีซ่าสองครั้ง 10720 บาท
ค่าซิมและประกันการเดินทาง 899+105=1004 บาท
ค่าที่พัก 2 คืน คนละ 2932 บาท
ค่าตั๋วรถไฟ 2.75 usd
พิซซ่า 8 usd
ซื้อของไว้สำหรับมื้อเช้า น้ำเปล่า 4.6 usd
รวม 29400 บาท 15.35 usd
[CR] อเมริกา ห้าหมื่น ยื่นวีซ่าสองรอบ ดูบรอดเวย์สามเรื่อง เที่ยวสองเมือง บอสตัน นิวยอร์ก
จำได้แม่นเลยว่าตอนที่จองตั๋วเสร็จผมกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า เพราะฝันอยากไปนิวยอร์กมานานแล้ว ในที่สุดฝันจะเป็นจริงสักที โดยทริปนี้ผมเดินทางกันสองคนกับเพื่อน ตอนชวนเพื่อน เพื่อนก็ตอบตกลงในทันทีทันใดกับราคาที่น่ารักประกอบกับเพื่อนก็มีวีซ่าอยู่แล้วด้วย แต่ตัวผมเองต้องทำเรื่องขอวีซ่า ตอนนั้นส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะได้วีซ่าแน่ๆ เพราะเคยได้วีซ่าแชงเก้นมา 4 ครั้ง แถมยังเดินทางค่อนข้างบ่อย หน้าที่การงานมั่นคง พอมีเวลาว่างช่วงเดือนมีนาคม ก็เลยยื่นขอวีซ่า ซึ่งก่อนหน้านี้ก็หาข้อมูลเยอะพอสมควร วางแผนไว้อย่างดี เตรียมพร้อมกับการสัมภาษณ์ไว้ก็มาก แต่แล้ว วีซ่าไม่ผ่าน!!!!!
วันนั้นมันเป็นวันที่หดหู่มากๆสำหรับผม อาจจะเพราะเรามั่นใจเกินไปว่าจะได้วีซ่ามาแน่ๆ แต่กลับต้องผิดหวัง ผมเดินคอตกออกมาจากสถานฑูต ความรู้สึกคือสิ้นหวังมากๆ ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก ช่วงนั้นคือรู้สึกจิตตกอยู่เป็นเดือน มีแต่คำถามเต็มไปหมด ในมุมลึกๆก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเค้าไม่อยากให้เราเข้าประเทศ งั้นเราไปประเทศที่เค้าต้อนรับเราก็ได้ มีอีกตั้งหลายประเทศที่น่าสนใจ เสียค่าตั๋วหมื่นห้า กับค่ายื่นวีซ่าอีกห้าพัน ก็ถือว่าเป็นบททดสอบจิตใจก็แล้วกัน แต่ในอีกมุมหนึ่งคือ อยากลองยื่นอีกสักครั้งให้มันรู้กันไปเลยว่า เราไม่คู่ควรกับประเทศนี้จริงๆหรอ ก็เลยวางแผนลองยื่นอีกสักรอบ ถ้าไม่ได้จริงๆจะได้วางแผนเที่ยวที่ไหม่ไปเลย
ประมาณเดือนมิถุนายน ผมยื่นขอวีซ่าอีกครั้ง (สามเดือนหลังจากยื่นครั้งแรก) การเตรียมตัวในการยื่นวีซ่าครั้งที่สองผมทำละเอียดขึ้นมากกว่าครั้งก่อน ศึกษาข้อมูลไว้แน่นมาก ทั้งการกรอกแบบฟอร์มและการสัมภาษณ์ และก็จ่ายเงินค่ายื่นไปอีกห้าพันกว่าบาท วันนั้นผมไปสัมภาษณ์ด้วยความวิตกกังวล เพราะรู้อยู่แล้วว่าโอกาสได้วีซ่าในการยื่นครั้งที่สองนั้นมีน้อยกว่าเดิมมาก ผลปรากฏว่า ผ่าน!!! เชื่อไหมครับว่า ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลย สำหรับผมแล้วมันเป็นการตอกย้ำซะมากกว่าว่า การพิจารณาวีซ่าอเมริกา มันไม่มีมาตรฐานเลย ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณาวีซ่า และผมไม่ชอบการพิจารณาวีซ่าของอเมริกาเลย ถ้าเลือกได้ผมขอเลือกส่งเอกสารให้ตรวจสอบเหมือนวีซ่าแชงเก้นดีกว่า แต่ผมก็พยายามมองโลกในแง่ดีไว้ว่า อย่างน้อยเราก็ได้วีซ่ามาตั้ง 10 ปี ค่อยหาโอกาสไปเที่ยวอเมริกาหลายๆครั้งเพื่อให้คุ้มกับค่าวีซ่าที่จ่ายไปถึงสองครั้ง เป็นเงินประมาณ 10720 บาท
สรุปแล้วตอนนี้รวมค่าใช้จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่ายื่นวีซ่า อยู่ที่ 14744+10720 = 25464 บาท ก็ยังถือว่าอยู่ในราคาที่รับได้
ป.ล. รายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆเดี๋ยวผมจะสรุปยอดให้ตอนท้ายนะครับ
ทริปนี้เป็นการเดินทางทั้งหมด 8 วัน คือ 20-27 ตุลาคม 2018
Day 1 (20/10/2018)
สำหรับใครที่จะเดินทางไปอเมริกาแนะนำว่าให้เผื่อเวลาไว้เช็คอินด้วย เพราะใช้เวลานานมาก เจ้าหน้าที่ต้องกรอกข้อมูลที่ค่อนข้างเยอะ วันนั้นผมใช้เวลาในการเช็คอินไปเกือบ 1 ชั่วโมงทั้งที่แถวไม่ได้ยาวเลย
ผมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไฟลท์ดึกเวลา 2.35 น. เที่ยวบิน QR837 BKK-DOH บินด้วย A340-600 เครื่องรุ่นนี้เป็นรุ่นหานั่งยากแล้ว เพราะใช้บินไม่เยอะ ส่วนตัวผมชอบการจัดที่นั่งของรุ่นนี้มากที่จัดแบบ 2-4-2 เหมาะสำหรับคนเดินทางเป็นคู่ นั่งกันแบบสบายใจ ไม่ต้องรบกวนคนอื่นตอนออกไปเข้าห้องน้ำ แต่มีข้อเสียคือจอเอนเตอร์เทนเล็กและเก่าไปหน่อย แต่ว่าเบาะนั่งสบายมาก แถมอาหารการกินและการบริการของลูกเรืออยู่ในระดับที่ดีมากๆ เลยทำให้การเดินทางในครั้งนี้กินอิ่ม นอนหลับสบายหายห่วง
ในนี้มีผ้าปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า แปรงสีฟันให้ด้วย
มีแจกหูฟัง
หน้าจอเล็กไปหน่อย
A346
มีผ้าเย็นเช็ดมือให้ด้วย
เมนู
มื้อดึกแก้ง่วงครับ อร่อยดี
มื้อเช้าอร่อยมาก หิวมาก มือสั่นเลยถ่ายรูปออกมาเบลอ
ถึงโดฮาตอนเช้าๆ
ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงก็มาถึงโดฮา มีเวลาต่อเครื่องเล็กน้อย พยายามมองหาหมีเหลืองแต่น่าจะอยู่คนละอาคาร เจอแต่ตัวนี้ สัญลักษณ์อีกอันประจำสนามบิน
พอมาถึงหน้าเกต เจ้าหน้าที่ถามก่อนสแกนตัวขึ้นเครื่องเยอะมาก เช่น กระเป๋าที่เราพายมาด้วยอยู่กับเราตลอดเวลารึเปล่า มีใครได้เปิดกระเป๋าเราก่อนหน้านี้มั้ย บลาๆๆ พอถามเสร็จก็สแกนตัวอย่างละเอียดยิบ สแกนเสร็จก็มาตรวจตามตัวอีกทุกซอกทุกมุม เป็นการตรวจที่เยอะที่สุดตั้งแต่เดินทางมาเลย น่าจะเป็นเพราะเป็นไฟลท์ที่เดินทางเข้าอเมริกา กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็ใช้เวลานานพอสมควร
A530
จอใหญ่ทัชไหลลื่น
แขกเต็มเครื่องเลย น้ำหอมฟุ้งกระจาย ฉุนมาก สำหรับผมนี่เป็นข้อเสียขอกาตาร์เลย
มาดูเมนูไฟลท์ยาวกันบ้าง
ผมออกจากโดฮาด้วยเที่ยวบิน QR743 BKK-BOS ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 13 ชั่วโมง นั่งกันไปยาวๆเลย เส้นทางโดฮา-บอสตันนี้ใช้เครื่อง A350-900 ที่จัดที่นั่งแบบ 3-3-3 ผมกับเพื่อนเลือกนั่งตรงกลางเพราะคงต้องออกไปเข้าห้องน้ำกันหลายรอบกว่าจะถึง ไม่อยากรบกวนคนอื่น จอเอนเตอร์เทนใหญ่กว่าเดิม ทัชสกรีนไหลลื่นดี อาหารอร่อย กินแล้วก็นอน และก็ตื่นมากินอีก ดูหนัง อ่านหนังสือไปเรื่อยก็ยังไม่ถึงสักที เป็นการเดินทางที่นานมาก ขนาดว่าผมเป็นคนที่ตื่นเต้นเวลานั่งเครื่องบิน มาเจอทริปนี้ตื่นเต้นไม่ออกเลย เพราะบินนานเกิน
อาหารบนเครื่องอร่อยทุกอย่างเลย
มื้อเช้านี่ทานไม่หมด เพราะกินมาจนอิ่มตลอดการเดินทาง
ผมมาถึงบอสตันประมาณบ่ายสอง ทั้งเหนื่อย ทั้งล้าจากการเดินทาง แถมยังต้องมาต่อแถวที่ยาวมากๆเพื่อผ่าน ตม. ก่อนเจอ ตม. เราจะต้องกรอกข้อมูลและถ่ายรูปจากเครื่องอัตโนมัติที่มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำอยู่ กว่าจะผ่านตรงนี้ไปก็ใช้เวลาพอสมควร จากนั้นก็มาเข้าแถวผ่าน ตม. ซึ่งถามอยู่สองคำถามคือ มาทำอะไรกับมากี่วัน แค่นั้นเอง
ผมเดินออกมารับกระเป๋าแล้วนั่งชัตเติ้ลบัส(ฟรี)ไปยังสถานีรถไฟเพื่อเข้าเมือง ดูข้อมูลการซื้อตั๋วก่อนจะซื้อตั๋วรายเที่ยวราคา 2.75 usd เพื่อเดินทางไปยังที่พัก จริงๆแล้วตั๋วมีหลายแบบตามนี้เลยครับ เลือกตามที่ตัวเองสะดวกและคุ้มค่าที่สุดได้เลย
ตั๋วรถไฟ
แผนที่รถไฟเมืองบอสตัน
ผมและเพื่อนพักที่บอสตันกันสองคืน โดยจองที่พักผ่าน AirBnb พูดถึงเรื่องที่พักในบอสตัน คือเป็นอะไรที่โคตรแพง ผมหาอยู่นานมากแต่ก็ไม่เจอราคาที่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าเลย สุดท้ายเลยมาลงที่ AirBnb ที่ได้โค้ดส่วนลดมา สรุปสองคืนจ่ายไปกันคนละ 2932 บาท กว่าจะถึงที่พักก็บ่ายสี่โมง ห้องพักเป็นบ้านสองชั้นโดยหยิบกุญแจได้จากกล่องจดหมายหน้าบ้าน ห้องขนาดเล็กและห้องน้ำรวม ถ้าเทียบกับที่พักอื่นที่พยามหาทีนี่ก็ถือว่าโอเคกับราคาที่จ่ายไป ตอนนั้นรู้สึกง่วงมากเพราะเวลาที่ต่างกันถึง 11 ชั่วโมง พวกเราเลยออกไปซื้อพิซซ่ามาทานเป็นมื้อเย็น และแวะร้านสะดวกซื้อ ซื้อของไว้กินสำหรับมื้อเช้าในวันรุ่งขึ้นอีกด้วย
ค่าใช้จ่ายในวันแรก
ตั๋วเครื่องบิน 14744 บาท
ค่ายื่นวีซ่าสองครั้ง 10720 บาท
ค่าซิมและประกันการเดินทาง 899+105=1004 บาท
ค่าที่พัก 2 คืน คนละ 2932 บาท
ค่าตั๋วรถไฟ 2.75 usd
พิซซ่า 8 usd
ซื้อของไว้สำหรับมื้อเช้า น้ำเปล่า 4.6 usd
รวม 29400 บาท 15.35 usd
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้