เครดิตบทความจาก Mr.Messenger
เข้าใจผู้เล่นในตลาด แล้วคุณจะเข้าใจตลาดมากขึ้น
เวลาเข้าใกล้ช่วงประกาศงบ มนุษย์ผู้ซึ่งอยู่ในตลาดหุ้นเกือบทุกคนจะคึกคักและจับตามองเป็นพิเศษ สาเหตุนั้นเป็นเพราะ เราเชื่อกันว่า ผลประกอบการที่ออกมาดี จะทำให้ราคาหุ้นสามารถดีดตัวขึ้นมาได้ แต่ในหลายๆครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก็ไม่ได้วิ่งตามผลประกอบการที่ออกมาสวย หรือบางที ออกมาขาดทุน หรือแย่กว่าครั้งก่อนหน้า กลับทำให้ราคาหุ้นวิ่งซะอย่างนั้น เราก็ได้แต่นั่งมองแล้วก็แปลกใจกับมัน
จริงอยู่ว่า ระหว่างทาง ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามข่าวและปัจจัยที่มากระทบ รวมถึงอารมณ์ตลาดที่แกว่งไปมา แต่ว่า พวกที่ลงทุนในระยะยาว เขาก็มองต่างจากเทรดเดอร์ที่หวังกำไรระยะสั้น เทรดเดอร์ระยะสั้น ก็มองต่างจากนักลงทุนรายย่อย รายย่อยก็มองไม่เหมือนฝรั่ง … เมื่อวิธีการเล่นมันมีหลายแบบ หลายประเภท ตลาดก็ตอบสนองการเคลื่อนไหวที่หลากหลายตามไปด้วย
ถ้าถามว่า คนส่วนใหญ่ในตลาด คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ในกรอบระยะเวลาเท่าไหร่ ผมขออนุมานจากความรู้สึกของตัวเองเลยว่า เกินกว่า 80% ของนักลงทุนในตลาด มองภาพการลงทุนในกรอบระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี สำหรับนักลงทุนรายย่อย เราลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง หรือฟังจากที่เพื่อนรอบข้างคุยกันสิครับ ในพอร์ตเรา มีหุ้นที่ถือยาวเกิน 1 ปี กี่ตัว เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่เราซื้อขายมารวมกันในพอร์ต มองจากเพื่อนรอบข้าง เวลาคุยกันเรื่องใบ้หุ้น มีใครมาใบ้หุ้นเราไหมว่า ถือตัวนี้ ถือ 3 ปี รับรองรวย! … ส่วนใหญ่ก็มีแต่จะบอกว่า หุ้นเด็ด มีเป้า … บาท ไม่เกิน 3 เดือนรู้กัน หรือเวลาอวดหุ้น ก็บอกกันว่า ถือแค่ไม่กี่สัปดาห์ ได้มา 20% และที่เร็วกว่านั้น จองหุ้น IPO พอเข้าตลาดปั๊บ กำไร 50% จะเห็นว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดมองภาพการลงทุนในระยะค่อนข้างสั้น
นั้นไม่ได้ยกเว้นแม้แต่บทวิเคราะห์ของบล. ต่างๆ เขียนมายาว 4-5 หน้ากระดาษ A4 แล้วก็จบด้วยการให้เป้า 12 เดือนข้างหน้า หรือ Paper รายวัน ที่คอยบอกแนวรับแนวต้านหุ้นเด็ด สิ่งนี้ก็ยิ่งสนับสนุนกรอบการลงทุนของนักลงทุนที่เข้ามาในตลาดว่า ลงทุนระยะสั้นๆดูจะให้ผลตอบแทนดี แต่ลองบอกผมหน่อยครับ เข้ามาเดือนสุดท้าย ของปี พอร์ตใครโตเท่ากับหรือมากกว่าที่ SET Index ให้ผลตอบแทนแล้วบ้าง (เอาพอร์ตโดยรวมนะ อย่ามาคุยกันแค่หุ้นตัวเดียว ลงเงินไม่ถึง 10% ของพอร์ต)
ครั้นเราจะไปโทษบทวิเคราะห์ โทษคนอื่น มันก็ดูจะไม่แฟร์กับเขา จะลงสนามมาเล่นเกมส์การลงทุน คุณต้องเข้าใจกติกา และวิธีการเล่นของผู้เล่นแต่ละคนก่อน สำหรับ บล. นั้น รายได้หลัก มาจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Brokerage Fee) ครั้นจะให้เขาแนะนำให้รายย่อยถือว่า ไม่ซื้อไม่ขาย นั้นก็หมายความว่า กำลังฆ่าตัวเองทางอ้อม ถูกไหมครับ ทางที่เขาทำได้ก็คือ แนะนำให้ลูกค้าซื้อขายให้ถี่ขึ้น หรือไม่ก็ต้องพยายามหารายได้จากแหล่งอื่นเข้ามาชดเชย
สำหรับ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม) ซึ่งลงทุนในกองทุนรวม เจ้านี้ก็มาอีกสไตล์ แนะนำแต่ซื้อ ไม่เคยแนะนำขาย เพราะรายได้ของเขา มาจาก ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ซึ่งอยู่ที่ NAV ของกองทุน ยิ่งกองทุนโตเท่าไหร่ ยิ่งได้รายได้เพิ่มขึ้น ถึงจะลงทุนแย่ ห่วยแค่ไหน แต่ถ้าดึงนักลงทุนเข้ามาซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆได้ จนขนาดกองทุนใหญ่โตต่อเนื่อง ก็ได้กำไรมากขึ้นอยู่ดี ดังนั้น จึงเป็นธรรมดา เวลาโทรเข้าไปถาม Call Center หรือคุยกับฝ่ายขายโดยตรง ถามว่า มุมมองตลาดเป็นอย่างไร เขาก็จะตอบกลับมาว่า “ภาพโดยรวม ปีหน้ายังสดใส ทยอยซื้อได้ ลงทุนได้ ค่ะ/ครับ” ไม่เห็นบอกว่าควรขายล้างพอร์ตซักคน และถึงแม้ตลาดจะโชว์อาการว่าอยากดิ่งลง เขาก็จะตอบประมาณว่า หุ้นในตลาดมี 500 กว่าตัว เราเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี จ่ายปันผลดี ทนทานต่อทุกสภาพเศรษฐกิจ เชื่อว่าหุ้นเหล่านี้จะไม่ลงแรงตามตลาด และสามารถทยอยลงทุนได้ต่อเนื่อง … ก็ว่ากันไป แต่เห็นไหม ไม่มีแนะนำให้ขายเลย
สำหรับ นลท.ต่างชาติ เงินเยอะกว่ารายย่อยมากครับ ใส่เงินมาแค่ 1% ของเขา ก็อาจยกหุ้นซักตัวขึ้นมา 4-5% ในคราวเดียว ดังนั้นภาพการลงทุนของกองทุนต่างชาติ จึงเป็นภาพที่ไกลกว่า บล. ไกลกว่ารายย่อย แต่ก็ไม่ได้ไกลเกิน บลจ. กว่าที่เขาจะเอาเม็ดเงินแต่ละก้อนโยนใส่ตลาดบ้านเรา เขาก็ไม่ได้ไร้สติแน่นอน มีเครื่องมือ การวิเคราะห์ มีทีมงาน มีระบบ ซึ่งผมเชื่อว่าดีกว่ารายย่อยเราแน่นอน เวลาส่งคำสั่งออเดอร์หุ้น PTT อยากได้ซัก 1000 ลบ. เข้าพอร์ต คงไม่มีต่างชาติบ้าๆคนไหน ตั้ง Bid ไว้ 3 ล้านหุ้นโชว์บนหน้าเจอ ถูกไหมครับ เพราะถ้าใครเห็นว่า เฮ้ย ตั้ง Bid ไว้เยอะขนาดนี้ ซื้อดักมันก่อน เคาะขวา Offer ไปเลย ดีกว่า แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้หุ้นเข้าพอร์ตละ วิธีการเก็บหุ้นของเขาจึงใช้ระยะเวลา และลีลาก็มากมายหลายวิธีการ ทุบก่อนค่อยเก็บบ้าง ลากทะลุแนวต้านไปเรื่อยๆ แล้วขายให้หลุดแนวรับ ให้รายย่อยที่ดูกราฟตกใจ ทำทุกวิถีทาง เพื่อเป้าหมายคือ เก็บหุ้นไม่ให้เสียราคา และขายหุ้นให้ได้ราคาแพงๆ
" เข้าใจผู้เล่นในตลาด แล้วคุณจะเข้าใจตลาดมากขึ้น " อันนี้จริงนะ ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง แล้วจะไปเข้าใจตลาดได้ยังงัย สำหรับผม เข้าใจแล้วว่า เล่นตามอารมณ์ตลาดไม่ชนะ ที่ชนะทั้งหมดมาจาก การเฝ้ารอโอกาสแล้วหาจังหวะซื้อและขายเท่านั้น และเพื่อนๆล่ะ เป็นอย่างไรกันบ้าง
Good evening พี่น้องชาวสินธร
เครดิตบทความจาก Mr.Messenger
เข้าใจผู้เล่นในตลาด แล้วคุณจะเข้าใจตลาดมากขึ้น
เวลาเข้าใกล้ช่วงประกาศงบ มนุษย์ผู้ซึ่งอยู่ในตลาดหุ้นเกือบทุกคนจะคึกคักและจับตามองเป็นพิเศษ สาเหตุนั้นเป็นเพราะ เราเชื่อกันว่า ผลประกอบการที่ออกมาดี จะทำให้ราคาหุ้นสามารถดีดตัวขึ้นมาได้ แต่ในหลายๆครั้ง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ก็ไม่ได้วิ่งตามผลประกอบการที่ออกมาสวย หรือบางที ออกมาขาดทุน หรือแย่กว่าครั้งก่อนหน้า กลับทำให้ราคาหุ้นวิ่งซะอย่างนั้น เราก็ได้แต่นั่งมองแล้วก็แปลกใจกับมัน
จริงอยู่ว่า ระหว่างทาง ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามข่าวและปัจจัยที่มากระทบ รวมถึงอารมณ์ตลาดที่แกว่งไปมา แต่ว่า พวกที่ลงทุนในระยะยาว เขาก็มองต่างจากเทรดเดอร์ที่หวังกำไรระยะสั้น เทรดเดอร์ระยะสั้น ก็มองต่างจากนักลงทุนรายย่อย รายย่อยก็มองไม่เหมือนฝรั่ง … เมื่อวิธีการเล่นมันมีหลายแบบ หลายประเภท ตลาดก็ตอบสนองการเคลื่อนไหวที่หลากหลายตามไปด้วย
ถ้าถามว่า คนส่วนใหญ่ในตลาด คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ในกรอบระยะเวลาเท่าไหร่ ผมขออนุมานจากความรู้สึกของตัวเองเลยว่า เกินกว่า 80% ของนักลงทุนในตลาด มองภาพการลงทุนในกรอบระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี สำหรับนักลงทุนรายย่อย เราลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง หรือฟังจากที่เพื่อนรอบข้างคุยกันสิครับ ในพอร์ตเรา มีหุ้นที่ถือยาวเกิน 1 ปี กี่ตัว เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่เราซื้อขายมารวมกันในพอร์ต มองจากเพื่อนรอบข้าง เวลาคุยกันเรื่องใบ้หุ้น มีใครมาใบ้หุ้นเราไหมว่า ถือตัวนี้ ถือ 3 ปี รับรองรวย! … ส่วนใหญ่ก็มีแต่จะบอกว่า หุ้นเด็ด มีเป้า … บาท ไม่เกิน 3 เดือนรู้กัน หรือเวลาอวดหุ้น ก็บอกกันว่า ถือแค่ไม่กี่สัปดาห์ ได้มา 20% และที่เร็วกว่านั้น จองหุ้น IPO พอเข้าตลาดปั๊บ กำไร 50% จะเห็นว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดมองภาพการลงทุนในระยะค่อนข้างสั้น
นั้นไม่ได้ยกเว้นแม้แต่บทวิเคราะห์ของบล. ต่างๆ เขียนมายาว 4-5 หน้ากระดาษ A4 แล้วก็จบด้วยการให้เป้า 12 เดือนข้างหน้า หรือ Paper รายวัน ที่คอยบอกแนวรับแนวต้านหุ้นเด็ด สิ่งนี้ก็ยิ่งสนับสนุนกรอบการลงทุนของนักลงทุนที่เข้ามาในตลาดว่า ลงทุนระยะสั้นๆดูจะให้ผลตอบแทนดี แต่ลองบอกผมหน่อยครับ เข้ามาเดือนสุดท้าย ของปี พอร์ตใครโตเท่ากับหรือมากกว่าที่ SET Index ให้ผลตอบแทนแล้วบ้าง (เอาพอร์ตโดยรวมนะ อย่ามาคุยกันแค่หุ้นตัวเดียว ลงเงินไม่ถึง 10% ของพอร์ต)
ครั้นเราจะไปโทษบทวิเคราะห์ โทษคนอื่น มันก็ดูจะไม่แฟร์กับเขา จะลงสนามมาเล่นเกมส์การลงทุน คุณต้องเข้าใจกติกา และวิธีการเล่นของผู้เล่นแต่ละคนก่อน สำหรับ บล. นั้น รายได้หลัก มาจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Brokerage Fee) ครั้นจะให้เขาแนะนำให้รายย่อยถือว่า ไม่ซื้อไม่ขาย นั้นก็หมายความว่า กำลังฆ่าตัวเองทางอ้อม ถูกไหมครับ ทางที่เขาทำได้ก็คือ แนะนำให้ลูกค้าซื้อขายให้ถี่ขึ้น หรือไม่ก็ต้องพยายามหารายได้จากแหล่งอื่นเข้ามาชดเชย
สำหรับ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม) ซึ่งลงทุนในกองทุนรวม เจ้านี้ก็มาอีกสไตล์ แนะนำแต่ซื้อ ไม่เคยแนะนำขาย เพราะรายได้ของเขา มาจาก ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ซึ่งอยู่ที่ NAV ของกองทุน ยิ่งกองทุนโตเท่าไหร่ ยิ่งได้รายได้เพิ่มขึ้น ถึงจะลงทุนแย่ ห่วยแค่ไหน แต่ถ้าดึงนักลงทุนเข้ามาซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆได้ จนขนาดกองทุนใหญ่โตต่อเนื่อง ก็ได้กำไรมากขึ้นอยู่ดี ดังนั้น จึงเป็นธรรมดา เวลาโทรเข้าไปถาม Call Center หรือคุยกับฝ่ายขายโดยตรง ถามว่า มุมมองตลาดเป็นอย่างไร เขาก็จะตอบกลับมาว่า “ภาพโดยรวม ปีหน้ายังสดใส ทยอยซื้อได้ ลงทุนได้ ค่ะ/ครับ” ไม่เห็นบอกว่าควรขายล้างพอร์ตซักคน และถึงแม้ตลาดจะโชว์อาการว่าอยากดิ่งลง เขาก็จะตอบประมาณว่า หุ้นในตลาดมี 500 กว่าตัว เราเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี จ่ายปันผลดี ทนทานต่อทุกสภาพเศรษฐกิจ เชื่อว่าหุ้นเหล่านี้จะไม่ลงแรงตามตลาด และสามารถทยอยลงทุนได้ต่อเนื่อง … ก็ว่ากันไป แต่เห็นไหม ไม่มีแนะนำให้ขายเลย
สำหรับ นลท.ต่างชาติ เงินเยอะกว่ารายย่อยมากครับ ใส่เงินมาแค่ 1% ของเขา ก็อาจยกหุ้นซักตัวขึ้นมา 4-5% ในคราวเดียว ดังนั้นภาพการลงทุนของกองทุนต่างชาติ จึงเป็นภาพที่ไกลกว่า บล. ไกลกว่ารายย่อย แต่ก็ไม่ได้ไกลเกิน บลจ. กว่าที่เขาจะเอาเม็ดเงินแต่ละก้อนโยนใส่ตลาดบ้านเรา เขาก็ไม่ได้ไร้สติแน่นอน มีเครื่องมือ การวิเคราะห์ มีทีมงาน มีระบบ ซึ่งผมเชื่อว่าดีกว่ารายย่อยเราแน่นอน เวลาส่งคำสั่งออเดอร์หุ้น PTT อยากได้ซัก 1000 ลบ. เข้าพอร์ต คงไม่มีต่างชาติบ้าๆคนไหน ตั้ง Bid ไว้ 3 ล้านหุ้นโชว์บนหน้าเจอ ถูกไหมครับ เพราะถ้าใครเห็นว่า เฮ้ย ตั้ง Bid ไว้เยอะขนาดนี้ ซื้อดักมันก่อน เคาะขวา Offer ไปเลย ดีกว่า แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้หุ้นเข้าพอร์ตละ วิธีการเก็บหุ้นของเขาจึงใช้ระยะเวลา และลีลาก็มากมายหลายวิธีการ ทุบก่อนค่อยเก็บบ้าง ลากทะลุแนวต้านไปเรื่อยๆ แล้วขายให้หลุดแนวรับ ให้รายย่อยที่ดูกราฟตกใจ ทำทุกวิถีทาง เพื่อเป้าหมายคือ เก็บหุ้นไม่ให้เสียราคา และขายหุ้นให้ได้ราคาแพงๆ
" เข้าใจผู้เล่นในตลาด แล้วคุณจะเข้าใจตลาดมากขึ้น " อันนี้จริงนะ ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง แล้วจะไปเข้าใจตลาดได้ยังงัย สำหรับผม เข้าใจแล้วว่า เล่นตามอารมณ์ตลาดไม่ชนะ ที่ชนะทั้งหมดมาจาก การเฝ้ารอโอกาสแล้วหาจังหวะซื้อและขายเท่านั้น และเพื่อนๆล่ะ เป็นอย่างไรกันบ้าง