คนทำไม่โดน คนโดนไม่ได้ทำ

สวัสดีค่ะทุกคน ...
... ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา เราขอบอกก่อนเลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เล่านั้น เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์ในเรื่องเป็นเรื่องจริง เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่เกิดมานานเกือบสี่เดือนจะห้าเดือนแล้วล่ะค่ะ เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วย และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ สำหรับใครที่อ่านแล้วไม่เชื่อก็เลิกอ่านหรืออ่านเพื่อความสนุกคิดซะว่าอ่านนิยายก็แล้วกันนะคะ และถ้าใครอ่านแล้วรู้ว่าเราคือใคร รู้ว่าเรื่องเกิดที่ไหน ให้เงียบๆไว้เด้อ ..
เริ่มเลยนะคะ ..
“น้องได้กลิ่นอะไรเน่าๆมั้ย แม่เหม็นมากอยู่ไม่ได้เลย”
“สงสัยงูมาติดตาข่ายรั้วตาพรมั้งคะแม่” นี่เป็นบทสนทนาของเรากับแม่ในช่วงนั้น ที่ทุกเช้าที่ตื่นนอนแม่มักจะบ่นเสมอ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนัก เพราะปกติ งูมักจะมาติดตาข่ายรั้วของบ้านข้าง แล้วก็หลุดออกมาไม่ได้ ตายคาตาข่าย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนกว่าซากจะแห้งไป ถ้าตัวใหญ่มากนักก็ไม่ตามเจ้าของบ้านมาเอาออก
“แม่ไปเดินดูแล้วก็ไม่เห็นนะ” แม่ยังคงบ่นอยู่เรื่อยๆ แล้วไม่ใช่แค่แม่ ไม่ว่าใครมาที่บ้าน ก็บ่นเหมือนๆกันหมด เราทั้งบ้านช่วยกันหาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรตาย จนกระทั่ง ..

ช่วงสายๆของวันนั้น แม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว เราออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาเกือบเที่ยง แม่นั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม เหมือนอารมณ์ดีอะไรมากสักอย่าง พอเราจอดรถก็รีบเรียกเราเข้าไปหา
“เมื่อกี้ตาพรเจ้าของสวนยางข้างหลังเดินมาหาแม่ ถามว่าช่วงก่อนหน้าได้กลิ่นอะไรเราเน่าๆมั้ย ก่อนจะชวนไปดูที่บ่อน้ำข้างหลังบ้าน พอไปดูก็เห็นกางเกงที่คล้ายกางเกงชุดนอนลอยขึ้นมา เหนือน้ำ มีหนอนยุบยับ” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เท่านั้นแหละ เราวางของทุกอย่าง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่บ่อน้ำในสวนยางของคุณตาคนนั้น

บ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำเก่า เป็นบ่อแรกๆของหมู่บ้าน ที่เมื่อก่อนเป็นบ่อดิน ก่อนจะโดนรีโนเวทใหม่เป็นบ่อปูนทั่วๆไป
เราวิ่งไปชะโงกหน้าดูในบ่อ ก่อนจะร้องออกมาว่า HEAR เพราะทันทีที่เห็นกางเกงตัวนั้นก็รู้เลยว่าของใคร และมันคือของๆคนใกล้ตัว
ทีนี้ตาเจ้าของสวนก็ไม่นิ่งเฉย ไปตามคนมาดู ก่อนจะเอาเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำออกจากบ่อ เพราะเขามั่นใจว่าไม่ใช่แค่กางเกงที่ตกลงไปแน่ๆ และเพราะสิ่งที่แม่เราเป็นคนยืนยันว่าได้กลิ่นเน่าๆ แต่ไม่เจอว่ามาจากอะไร

เครื่องสูบน้ำสูบขึ้นมาเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เรายืนดูทุกขั้นนตอนไม่ไปไหน เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มันจะตรงกันรึเปล่า ก่อนที่น้ำจะหมดบ่อ พอให้เห็นอะไรได้บ้าง ลูกชายของตาเจ้าของสวน เอาตะแกรงตั้งเศษซากใบไม้กิ่งไม้ขึ้นมา แต่สิ่งที่ได้มาด้วยมันไม่ใช่แค่นั้น กระดูกเล็กใหญ่ กระดูกส่วนศรีษะ ขึ้นมาเต็มตะแกรง ชาวบ้านที่มามุงดูต่างต้องผงะกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะพากันวิพากวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ แต่สิ่งที่ออกมาเหมือนๆกันคือ นี่มันกระดูกเด็กทารก ที่ไม่รู้ว่าทำแท้งหรือคลอดออกมาแล้วเอามาทิ้ง เจ้าของสวนเจ้าของบ่อน้ำ หน้าตาเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนเราในตอนนั้นได้แต่อึ้งๆ ประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ ทั้งกางเกง ทั้งกระดูก ทั้งความน่าจะเป็น
“กางเกงตัวนั้นฉันเคยเห็น”
“คิดว่าทำแบบนี้คนเขาจะไม่รู้เหรอ”
“คนเคยอ้วนพุงเยอะขนาดนั้น หายไปแค่สามสี่วัน กลับมาผอมเพรียว”
“ทำแบบนี้มันไม่ตายดีหรอก”
หลากหลายคำพูดของชาวบ้านเกือบหมดหมู่บ้านที่มามุ่งดู สาปแช่งก่นด่าต่างๆนาๆ เพราะทุกคนต่างพอจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ และกระดูกที่เห็นต่อให้ไม่ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางก็ดูออกว่ากระดูกคนไม่ใช้กระดูกของสัตว์ เราได้แต่ยืนเงียบฟังคำสาปแช่ง และนึกโกรธและรังเกียจคนทำ เพราะเป็นคนใกล้ตัวที่ใกล้แบบมากๆของเรา

..ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของคนที่ทำที่คนทั้งหมู่บ้านมั่นใจว่าเป็นคนทำ รู้ค่ะว่าพวกเราไม่มีหลักฐาน แต่ถ้านำเรื่องทุกอย่างมาประติดประต่อกัน มันอดคิดไม่ได้จริงๆ

บีม(นามสมมุตินะคะ บีมเป็นเพื่อนสนิทเราค่ะ อยู่บ้านใกล้กัน บีมมาเที่ยวบ้านเราบ่อยๆ แต่ตั้งแต่ช่วงเดือน กุมภา แม่ของเราเองเริ่มถามเราแปลกๆ ว่าทำไมท้องบีมโตขึ้นเรื่อยๆแบบนั้น อย่างกับคนท้อง เราก็ได้แต่เถียงแม่ว่า บ้าเหรอแม่ จะท้องได้ไงมันแค่อ้วน แม่ก็เงียบๆไป บีมก็ยังมาที่บ้านเราไปไหนมาไหนกับเราเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียงลือว่าบีมท้องเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากคนแถวบ้าน จากน้าเรา และ เพื่อนสนิทอีกคนของเรา มันทำให้เราเริ่มสังเกตบีมมากขึ้น เลยพบความผิดปกติในตัวบีม มันไม่ใช่แค่หน้าท้องที่โตขึ้นจากเมื่อก่อนช่วงปลายปีเยอะมาก ทั้งหน้าตาของบีมที่ซีดเซียว และท่าทางของบีมที่ดูเหนื่อยๆ

เราอยากรู้มากๆว่าความจริงเป็นยังไง ครั้นจะถามก็กลัวว่าบีมจะโกรธ เราเลยได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แบบนั้น และพยายามปกป้องบีมจากคำพูดของแม่ ที่มักจะสงสัยและแอบมองบีมอยู่บ่อยครั้ง ร่วมทั้งเวลาที่แม่ไปฟังเรื่องของบีมมากจากใคร เราก็มักจะโกรธคนพวกนั้นว่าทำไมต้องใส่ร้ายเพื่อนเรา
จนกระทั่ง มิตรภาพระหว่างเรากับบีมแตกหัก (ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้นะคะ แต่เป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องอื่น) เราทะเลาะกับบีมและเพื่อนอีกคน เราโกรธบีมมาก ตะโกนด่ากัน จนเลิกเป็นเพื่อนกันไปจนถึงทุกวันนี้

และเราเริ่มจ้องจับผิดบีมมากขึ้น เนื่องจากบ้านอยู่ติดกันทุกเช้าที่ตื่นนอนเราจะมานั่งหน้าบ้านและมองไปทางบ้านบีมเพื่อให้นางออกมาเราจะได้สังเกตการกระทำต่างๆของนาง เพื่ออะไรก็ไม่รู้ ฮ่าๆ แต่ทำไปได้สักพักก็เลิก ใช้ชีวิตปกติ เจอก็ไม่ทัก ไม่มองหน้า
จนพักหลังๆแม่มาบอกว่า “ช่วงนี้บีมมันหายไปไหน ไม่เห็นหน้าเลย” เราก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ก็เกลียดอะนะ
แต่นางหายไปจริงๆค่ะ หายไปแบบไม่เห็นไม่พบเลย ตอนเช้าก็ไม่เจอแล้ว

จนเช้าวันนั้น แม่เราตื่นแต่เช้ามาเล่นกับหลานสาว(เจ้แกเห่อค่ะตื่นเช้าทุกวัน เลยมักเจออะไรดี แล้วปลุกลูกตลอด) แม่เรามาเคาะประตูห้องให้เราลุก โดยไม่บอกตรงๆว่าให้ลุกไปดูอะไรบอกแค่ “น้องตื่นเร็ว ลุกมาดูอะไรนี่” ถามว่าเราอยากรู้มั้ย ตอนได้ยิน อยากรู้นะคะ แต่ง่วงค่ะ ขอนอนก่อน เลยพลาดไป
และอีกวันเราออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน หันไปบ้านข้างๆ ต้องขมวดคิ้วด้วยความงง บีมจ้า นางผอมสวย ผอมกว่าเราอีก นางลดความอ้วนมาเหรอ บ้า ลดได้ไงหน้าท้องขนาดนั้น แล้วไม่เจอกันแค่สี่ห้าวันนี่นะ เรารีบวิ่งไปถามแม่เลยค่ะ แม่เลยบอกว่า เรียกให้มาดูตั้งแต่เช้า ไม่ยอมตื่น

ช่วงนั้น นางใช้ชีวิตแบบมั่นใจมาก อ้อ ลืมบอก ตอนพุงนางเยอะๆ นางจะมีผ้าขนหนูคลุมไว้ที่ท้องแทบตลอด นี่เลยเป็นเหตุให้คนเอาไปพูดว่านางน่าจะปิดเพราะอาย แต่พอผอมปุ๊ปผ้าหายไปเลยจ้า ไม่ทะ..เอ้ย ไม่อ้วนแล้วเนอะ ปิดทำไม หุ่นดีย์
แล้วตอนนั้นคนในหมู่บ้านก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา มาสงสัยและคาดเดา ว่าทำไมนางผอม บลาๆๆๆ กัน แม่เราก็เอามาบอกเราเหมือนตอนสงสัยว่าท้องนั้นแหละค่ะ

จนคนเลิกพูดเลิกสนใจ แล้วเรื่องก็บูมอีกครั้งตอนเจอกระดูก
...เอาล่ะ วกกลับมาเรื่องกระดูกกันอีกครั้งเด้อ...
หลังจากตักได้เศษซากกระดูก ผู้คนก็ต่างคาดเดา เจ้าของสวนอย่างคุณลุงเลยโทรเรียกตำรวจ เรียกนายบ้าน ทุกคนที่ควรจะรับรู้เรื่องนี้ให้มารับทราบ และเรื่องก็จบที่ตำรวจเอาเศษกระดูกพวกนั้นไปให้สถาบันที่มหาลัยชื่อดังในสงขลา ช่วยตรวจสอบ เรื่องก็ซาๆไป แต่ที่ไม่ซาคือเรา ที่ยัง งงเด้ๆ ว่าชั้นไปเกี่ยวอะไร ทำไมต้องมาเจอะมาเจอ

เวลาผ่านหลังจากวันนั้น เราก็เริ่มลืมๆไปบ้างแล้ว จนไม่กี่วันที่ผ่านมา ผลของกระดูกที่นำไปตรวจสอบก็ได้รับรู้ว่าคืออะไรกันแน่ เรารู้เพราะแม่นั้นแหละ น้ามาเล่าให้ท่านแม่ฟังเหมือนเคย ฮ่าๆ มันคือกระดูกเด็กทารกเพศชาย  พอเรารู้เท่านั้นแหละ โอโห้ เรื่องที่ปะติดปะต่อไว้ก็คือ เริ่มชัดเจน บวกกับตอนไปซื้อของที่ร้านของตาเจ้าของสวน (บ้านเขาเปิดร้านขายของชำ) ภรรยาของตาเขาก็พอจะรู้และเดาตัวคนทำออก เปรยๆกับเราว่า บีมไม่เคยมาที่ร้านเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อบีมนะคะ แค่พูดเป็นนัยๆ ให้เราเดาออกมาว่าหมายถึงบีม

พอเรารู้เรื่องก็ได้แต่สาปแช่งคนทำ จิตใจทำด้วยอะไร ทำไมทำอะไรอุบาทๆแบบนี้ โกรธที่เอามาทิ้งไว้หลังบ้านเนี้ย และเรื่องที่เราเจอก็มาเพราะการกระทำจากการกระทำอันสิ้นคิดของคนๆเดียว


ตอนเย็นจะเข้าสู่เรื่องสยองเรื่องลี้ลับ เรื่องเหลือเชื่อ เรื่องที่เจ้าของกระทู้ยัง งง แต่มันน่ากลัวมากสำหรับเรา ขอตัวไปพิมพ์และเรียบเรียงก่อนนะคะ
ปล. กระทู้น่าจะยาวหน่อยนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ต่อค่ะ..
คืนที่สอง เพื่อนกลุ่มนี้ยังคงนอนกับเราเหมือนเดิม คืนนั้น พวกเราเปิดซีรี่ส์ดูกัน ระหว่างที่พวกเรากับหลังโฟกัสกับการดูซีรี่ส์ จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงร้องไห้อีกแล้วค่ะ เราเลยสะกิดเพื่อนข้างๆให้รู้ ก่อนจะขยับเขาไปใกล้ๆเพื่อนที่อยู่ข้างๆ พวกเราทำเป็นไม่สนใจเสียงรบกวนนั้น สักพักก็เงียบไปค่ะ กว่าซีรี่ส์จะจบก็เกือบเที่ยงคืน พวกเรานอนเล่นโทรศัพท์กันต่อ เพราะยังไม่ง่วง ไม่นานเราก็เผลอหลับไป แล้วก็ฝันค่ะ เป็นฝันที่เหมือนจริงเอามากๆ ในฝันที่เราจำได้คือ
เด็กคนนั้น กำลังโดนผู้หญิงแก่ๆ คนนึง เอาเชือกสีดำรัดคอ ดิ้นทุรนทุราย การกระทำของผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนโกรธแค้นอะไรสักอย่าง และตั้งใจจะทำให้ตาย สภาพเด็กคนนั้นดูน่าสงสารมากจริงๆค่ะ เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ สายตาของเด็กคนนั้นมองมาทางเรา เหมือนอยากให้ช่วย แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนมองแล้วร้องไห้ ตะโกนให้ผู้หญิงคนนั้นหยุด แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะเขาไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าเรายืนมองอยู่ ความฝันที่เหมือนจริงของเราคืนนั้น จบลงเมื่อเพื่อนเขย่าตัวเราให้ตื่น เราตื่นขึ้นมาด้วยอาการหวาดผวา ตกใจกลัว สองแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา และคืนนั้นก็เหมือนเดิมค่ะ ไม่ได้นอนเพราะไม่มีใครกล้านอนกันเลยสักคน
ตอนเช้า เราถามเพื่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเราหลับ แล้วทำไมเพื่อนเขย่าตัวเราให้ตื่น เราเป็นอะไร เพื่อนผู้หญิงเลยเล่าให้ฟังค่ะว่า
ในระหว่างที่เราหลับนั้น จู่ๆเราก็ดิ้น ตอนแรกไม่ได้ดิ้นแรก เหมือนกำลังฝัน แล้วหงุดหงิดก็เลยละเมอดิ้น แต่พอสักพัก เรากลับร้องไห้แล้วดิ้นแรกขึ้น แถมยังตะโกนวายวายว่าอย่าทำเขาๆ ทุกคนตกใจมาก พยายามจับตัวเราเพื่อจะปลุก แต่ยิ่งเขย่าเราก็ยิ่งดิ้น กว่าที่จะปลุกจนเราได้สติเล่นเอาเหนื่อยเลย พอได้ฟังเราก็แอบสงสารเพื่อนนะ ที่ต้องมาทนเจออะไรแบบนี้
เราเลยเล่าเรื่องความฝันให้เพื่อนเราฟังรวมทั้งแม่ด้วย เรายอมรับกับเพื่อนเลยว่าเราไม่ไหวแล้ว เราไม่โอเคกับการรบกวนแบบนี้ อยากให้มันจบสักที สำหรับบ้างคนคิดว่ามันอาจจะไม่ได้หนักหนาอะไร ก็แค่ฝันแล้วก็ละเมอแค่นั้น แต่ทุกคนค่ะ การที่ได้หลับแล้วต้องฝันแบบนั้น ก่อนจะต้องตื่นมากลางคันแบบ มันเหนื่อยนะ จะหลับก็หลับได้ไม่เต็มที ก่อนนอนก็ต้องเครียดว่าคืนนี้จะเจอกับอะไร ช่วงเวลากลางคืนที่เป็นเวลาดีๆสำหรับเรา มันต้องมาเป็นอะไรแย่ๆแบบนี้เหรอ
ช่วงนั้น เพื่อนๆกับเรานอนกลางวันกันทั้งวัน เพื่อเก็บพลังไว้ต่อสู้กับเรื่องบ้าๆในช่วงกลางคืน สภาพทุกคนคือเบลอกันหนักมาก

คืนที่สาม
เวลาประมาณสี่ทุ่ม เพื่อนเราเล่นเกมส์ ส่วนเรานอนดูยูทูป ก่อนจะรู้สึกว่าที่นอนข้างๆใกล้ๆกับหมอน มันสะเทือนเหมือนมีใครากระทืบ ตอนนั้นเราใส่หูฟังและโฟกัสกับยูทูป เลยคิดว่าเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นคนทำ “เมิงอย่าเล่นดิ กูไม่มีสมาธิ” แต่อาการสะเทือนก็ยังไม่หยุด เราเลยหันไปจะด่า แต่ สิ่งที่เห็นคือไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเด็กคนนั้นค่ะทุกคน เด็กจริงๆมาเป็นตัวเป็นตนเลยคราวนี้ สภาพคือยังมีเลือดเต็มตัว มีคราบน้ำดำๆตามตัว น่ากลัวมากกกกกก เรากรี๊ดลั่นบ้าน กรี๊ดจนเสียสติ ก่อนจะรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกห้อง เหตุการณ์ต่อจากนี้เพื่อนมาเล่าให้ฟังหลังจากเราสงบและเล่าตอนเช้า เพราะตอนนั้นเราไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำอะไร
เพื่อนบอกว่า จู่ๆ เราก็กรี๊ดและวิ่งออกไปนอกห้อง ทุกคนตกใจกับสิ่งที่เราเป็นก่อนจะรีบวิ่งตามออกไป เราวิ่งไปมุดตัวอยู่ข้างๆทีวี ตัวสั่น ร้องไห้ ปากก็บอกว่า ออกไปอย่ามายุ่งกับกุ ออกไป เหมือนไล่อะไรสักอย่าง เพื่อนพยายามถามและเรียกเราก็ไม่ได้สนใจ จนแม่ออกมาจากห้องและเข้าไปกอด บอกให้เราใจเย็น นั่นแหละ ทุกอย่างถึงกลับมาสงบและปกติ เราฟังแล้วก็อึ้งๆไปเหมือนกันค่ะ สภาพเราตอนนั้นคงเหมือนคนบ้า

คืนนั้น แม่เป็นคนพาเราเข้านอนและอยู่เป็นเพื่อนจนเราหลับ ตอนเช้าเราเล่าให้เพื่อนกับแม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต่างขนลุกและกลัวไปตามๆกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่สองที่เราเจอจะๆแบบนี้ และดูจะมากกว่าครั้งแรก เพราะตอนนั้น มาในสภาพดีกว่านี้ แต่ครั้งนี้มันเละมากจนน่ากลัว

ส่วนคืนสุดท้ายเรารวบรัดเลยนะคะ เพราะเหมือนคืนที่สองทุกอย่างเลย ใครนึกภาพไม่ออกอ่านย้อนไปวันที่สองเลยค่ะ เพราะเหตุการณ์เหมือนคืนนั้นเป๊ะๆ

สรุปแล้วสี่คืนนั้น เราไม่ได้นอนกันเลยค่ะ โหดมากกกก โชคดีที่ไม่มาให้หลอนตอนกลางวันบ้าง เลยยังพอมีเวลาพักผ่อนกัน
รุ่งเช้าวันอาทิตย์เพื่อนผู้ชายกับแม่เป็นคนไปรับอาม่า เพราะเราต้องเตรียมของต่างๆ
พอถึงเวลาทำพิธี คนที่รู้เรื่องก็มากันเยอะเหมือนเดิม ทุกคนมุ่งมาถามเรากันด้วยความอยากรู้กับเป็นห่วง บางคนก็เคยสงสัยมาบ้าง เพราะช่วงนั้นเวลาเจอเรา จะเจอในสภาพเบลอๆ ไม่สดใสเหมือนเคย เราเลี่ยงที่จะไม่เล่าอะไรไปมากนัก เพราะไม่อยากจะเล่าให้ใครฟัง ให้มันจบๆตายๆไปจะดีกว่า เล่าไปหนึ่งคนบอกต่ออีกเป็นสิบ และเรื่องราวอาจจะบิดเบือนไปตามคนเล่า เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก
อาม่ามาถึงก็เดินไปตรงบ่อน้ำ ก่อนจะชะโงกหน้ามองลงไปในบ่อ
“ไม่เคยกลับลงมาอยู่ที่นี่เลย” อาม่าพูดขึ้นมาลอยๆ ก็น่าจะหมายถึงเด็กคนนั้นแหละค่ะ
“เจ้าของบ่อเคยเจอแบบนังหนูด้วยใช่มั้ยล่ะ แต่นังหนูมันหนักกว่า” อาม่าหันไปคุยกับครอบครัวของเจ้าของบ่อน้ำ อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะเล่าว่าเจอแค่ช่วงแรกๆ หลังก็ไม่เจอแล้ว อาม่าฟังเสร็จก็เริ่มทำพิธี ด้วยการนำผ้ายันต์พื้นใหญ่แบบคลุมปากบ่อได้ทั้งหมดมาคลุมปากบ่อไว้ ก่อนจะท่องอะไรสักอย่าง ไม่ออกเสียง สักพักก็กวักมือเราเข้าไปยืนใกล้ๆ
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ จะมายุ่งกับเขาทำไม” มีเพียงแค่ความเงียบกลับมา ประมาณนาทีอาม่าก็พูดต่อ เหมือนสนทนาโต้ตอบกับใครอยู่สองคน
“จะให้เขาช่วยอะไร แล้วจะให้ช่วยทำไมต้องมาทำเขาวุ่นวายแบบนี้”
“ปล่อยเขาไป แล้วไปผุดไปเกิดหรือไปเอาผิดกับคนที่ทำเธอจริงๆซะ”
บทสนทนาของอาม่าหลังเริ่มมีน้ำโห เหมือนกำลังทะเลาะกับเด็กคนนั้นแล้วค่ะ เดาว่าอีกฝ่ายไม่ยอมฟังแน่ บรรยากาศตอนนั้น ทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันเงียบ เพื่อจะรอฟัง อาม่าเคลียร์กับเด้กคนนั้นเกือบชั่วโมง กว่าจะลงรอยกันได้
“ที่เขามายุ่งกับหนู เพราะคนที่เอามาทิ้งบอก อย่ากลับไปยุ่งเกี่ยวกับอีกไม่งั้นจะแช่งไม่ให้ไปผุดไปเกิด วนเวียนอยู่แต่ในนี้ และหนูรู้มั้ยเด็กคนนี้ไม่ได้โดนทำแท้งมานะ” อาม่าเว้นจังหวะการพูด ก่อนจะทำสีหน้าเวทนา
“แต่คลอดออกมา ก่อนจะโดยรัดคอจนขาดอากาศหายใจแล้วก็ตาย จากนั้นก็เอาศพมาทิ้งในบ่อนี่แหละ วิญญาณเขาแค้นมากนะ แต่กลับไปทำอะไรคนทำไม่ได้ เลยมาหาหนูให้หนูช่วย”
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนแล้วครับอาม่า” เพื่อนเราถามขึ้น
“เขาไปแล้ว แต่ไปไหน เดี๋ยวไม่นานทุกคนก็รู้กัน คนทำมันไม่รอดหรอก ชีวิตมันต้องแลกด้วยชีวิตกันแล้วแหละ” อาม่าพูดเสร็จก็เข้ามากอดเรา
พิธีวันนั้นเสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย ที่ง่ายแบบนี้อาม่าบอกเพราะเราไม่เคยทำร้ายอะไรเขา ไม่ว่าจะแช่งหรือด่า หรือหาวิธีขับไล่เขาด้วยความรุนแรงให้วิญญาณเขาทรมาณกว่าเดิม ซึ่งนับว่าโชคดีที่เรายังมีสติแม้จะอยากแช่งไปสักกี่ครั้งก็ยังยั้งปากไว้ได้

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เรากับเพื่อนได้นอนกันทั้งคืน ความสงบของเราได้คืนกลับมาแล้ววววววว และไม่ใช่แค่คืนนั้น หลังจากนั้นชีวิตเราก็สงบและกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม กินอิ่ม นอนหลับ สภาพจิตดีขึ้น มีระแวงบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เรายังมั่นทำบุญให้เด็กคนนี้เสมอๆ
ส่วนที่อาม่าบอกว่า เด็กคนนี้ไปไหน ไปไหนได้ล่ะ ก็ไปหาคนทำนั้นแหละ เพราะหลังจากวันนั้น เราก็ได้เจอบีม ที่เมื่อก่อนยังสวยยยยมากกกก (มั้ง) หน้าตาสดใส แต่พักหลังๆดูหมองๆลง ผอมเวอร์ ผอมแบบไม่ได้หุ่นดี แต่ผอมแบบโทรมๆ อ่ะ แต่นางอาจจะไม่สบายก็ได้เนอะ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ด๊ายยยยยย
ปล. เราคิดว่าตอนนี้คนทำคงได้รับกรรมแล้วล่ะค่ะ จะได้รับถึงขั้นไหนนั้นต้องมาดูกันอีกที เรื่องทั้งหมดจบลงตรงนี้แหละค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อาจจะไม่หลอนจนสุด เล่าไม่เก่งยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ ย้ำว่าเรื่องจริงเด้ออ ตอนนี้เราใช้ชีวิตสงบสุขดีค่า ฮ่าๆ
ขอบคุณอาม่าด้วยนะคะที่เข้ามาช่วย ม่ามีบุญคุณกับเรามากจริงๆ (ทุกวันนี้เรายังแวะไปเยี่ยมเยียนม่าอยู่เรื่อยๆ)
ขอบคุณแม่ที่คอยดูแลเป็นห่วงและอยู่ข้างๆลูกคนนี้ ละตอนนี้แม่ก็สบายใจแล้ว เย้
สุดท้ายขาดไม่ได้เลยยยยยยยยยย มายเฟรนด์ของชั้นนน
เจ้แบม เบลล์ ริน บีม เจ้แอล เจ้อ้อน พู่ (ไม่ใช่นังนั่นนะคะ บีมนี้ดีๆ5555) เบส เจ เฮียแบงค์ อ๊อฟ ไทม์ โอม เฟรม พีท ขอบคุณสี่คนนั้นที่มานอนเป็นเพื่อน มาเจอเรื่องแย่ๆด้วยกัน ขอบคุณที่โฟนสายเป็นเพื่อนกันทั้งคืนด้วย ซึ้งมากกกกรักมากกกก ถ้าพวกแกมาเห็น จะบอกว่าชั้นขอบคุณมากจริงๆ ไว้ไปเลี้ยงหมูทะนะ

สุดท้าย คนเราทำอะไรก็ได้รับอย่างนั้นแหละค่ะ ทำลายชีวิตใครไว้ สักวันผลตอบแทนก็คือชีวิตคุณอาจจะถูกทำลายเหมือนกัน
เราทำอะไรคุณไม่ได้ในวันนี้ แต่เราเชื่อเสมอว่าผลกรรมของคุณจะทำอะไรคุณแทนเราได้ ข
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่