Review นี้เขียนเสมือนเป็นการขอบคุณต่อชาว คีร์กิซสถาน และ ทีมงานของ CBT(community based travel) ทุกท่านในประเทศที่สวยงามแห่งนี้ ที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี
“ผมมีเพื่อนอยู่กลุ่มนึงเราตั้งใจเที่ยวกันปีละครั้งมีคอนเซปต์ประหลาดคือประเทศที่จะไปต้องแหวกแนวหน่อย ลำบากไม่ว่า เรื่องอาหารต้องอร่อยที่พักต้องสบายไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข (จะไปทำไมวะเนี่ย!!)
เหตุผลมันบอกว่าเป็นการออกจากความสบายปีละครั้ง #อ้างไปเรื่อย
..
หลังจากอินเดียและอิหร่าน ปีนี้..คีร์กิซสถานเป็นคำตอบ
ได้ยินครั้งแรกคือ..อยู่ตรงไหนวะ !!!
..
หาข้อมูลซะหน่อย...
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ที่เอเชียกลาง เป็นอดีตส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
(แยกออกในปี 1991) และเป็นบางส่วนของเส้นทางสายไหม หลายส่วนของประชากรมาจากชนเผ่าเร่ร่อน เวลาเรามาเที่ยวที่นี่จะเห็นเสปกตรัมของหน้าตาผู้คนตั้งแต่ ชาวมองโกล จนถึง รัสเซีย
ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้เคร่งมากนัก ใช้ภาษารัสเซีย เป็นภาษาราชการ และ ภาษาคีร์กิซเป็นภาษาถิ่น
คีร์กีซสถานเที่ยวได้แต่ช่วงนี้ หน้าหนาวหมดสิทธิ์อากาศเมืองหลวงอาจติดลบถึง 30 องศา มิพักพูดถึงบนเขา ไม่มีคนอาศัยแน่นอน หน้าร้อนเที่ยวได้ กลางวันร้อน กลางคืนบนเขาหนาวจัด
เราแพลนว่าจะไปซัก 10 วัน ข้อมูลหายากแม้ใน Lonely Planet ก็มีแต่ข้อมูลรวมประเทศในเอเชียกลางซึ่งมีประเทศนี้อยู่ด้วย เค้าแนะนำให้ติดต่อ CBT เพื่อหาคนนำทาง.....CBT เป็นบริษัทท้องถิ่นมืออาชีพตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ส่งตารางมาให้เราตามความสามารถที่จะเที่ยวได้ อยากอยู่บนม้ากี่วัน เดินกี่ชั่วโมง ปีนเขาด้วยมั้ยก็บอกไปให้หมด
ตอนเห็นตารางก็กังวลเรื่องลำบากนิดหน่อยจะไปดีมั้ยเนี่ยย 55
เปิดเจอในรีวิวบางเวปฝรั่งบอกว่าธรรมชาติงดงามเหมือนฉากในนวนิยาย
แค่นี้ก็เกินพอ... ลุยยยย !!
แผนการเดินทางของเราคือจะไล่จากการไป ทะเลสาบ Issyk Kol >> เข้าร่วม Bird Prey Festival ที่Bel Tam >> พักที่ Kochkorka >> เดินเขาไปยัง Kol Ukok >> Kol Tor >> กลับมาที่เมือง Kochkorka >> ไปยัง จุดขี้ม้าเพื่อมุ่งไป Song Kol >> Song Kol >> กลับBishkek >> กลับบ้าน
วันที่ 1 เดินทางลงเครื่อง มาถึงเมือง บิสเคก (Bishkek) มาถึงไกด์ท้องถิ่นมารอรับที่สนามบิน แนะนำตัว ชื่อ อาดี ... แล้วพาเราขึ้นรถตู้ เป็นรถตู้ Mercedes หรูมาก เมื่อเทียบกับความคาดหวัง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็น รถตู้พาเราไปทานอาหารที่ Pinta Cafe’ ซึ่งก็จัดว่าเป็นร้านอาหารชั้นดีของเมือง สำหรับคนชอบเนื้อ ประเทศนี้เป็นสวรรค์ เพราะเสต็ก สดและถูกมาก เมื่อเทียบกับราคาเนื้อเกรดดีบ้านเรา ประเทศนี้ไม่มีหมู คนที่ไม่กินเนื้อจะกินได้แต่ไก่ ที่นำเข้าจากจีน ที่นี่เนื้อถูก.....เบียร์ก็ถูก วอดก้าถู๊กถูก
กินเสร็จก็ เข้าที่พัก Olive Hotel ที่พักในเมือง
วันที่ 2 เรามาทริปนี้ติดต่อ จองโปรแกรมทั้งหมด..... (รถ ที่พัก ไกด์ อาหาร) ผ่าน CBT เหมือนเป็นบริษัททัวร์ที่ร่วมกับท้องถิ่นคล้ายสหกรณ์ มาบริหารจัดกิจการท่องเที่ยวในประเทศ รายได้ก็จะกระจายไปยังชุมชน
โปรแกรมวันนี้เราจะมุ่งไปที่ Bel-Tam ที่พักคืนที่สองของเรา ซึ่งเป็นกระโจม ริมทะเลสาป Issyk Kol ทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดในที่ราบสูงแถบนี้
นั่งรถกว่าจะมาถึงก็ประมาณบ่าย 2 เรามารับประทานอาหารบ่ายที่ ที่พัก Bel-tam แล้วตามแผนเราจะไป ดูธารน้ำแข็ง กราเซียร์ ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกไกลมาก แล้วกลับมานอนที่เดิม ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ระหว่างนั่งรถออกจากที่พักไปไม่ไกล เราเห็นชายหาดริมทะเลสาบ ซึ่งมีคนทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น มาอาบแดด เล่นน้ำกัน ความอยากไปดูกราเซียร์เริ่มน้อยลง ไปดูคนอาบแดดน่าจะดีกว่า .... ไกด์เลยแนะนำว่ามีสถานที่อีกที่นึงใกล้ๆ คือ เขาแดง ไม่ต้องนั่งรถไกล แวะไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยออกไปนั่งริม lake ก็ได้
ขากลับมาเดินเล่นริมทะเลสาบตามที่ตั้งใจ แต่สภาพไม่ได้มีชุดบิกีนี่อย่างที่คาดหวัง เพราะอากาศหนาว ลมแรง และน้ำเย็น เราเอาขาแตะน้ำ จิบเบียร์คนละหน่อย แล้วก็ยืนมองดูทะเลสาบสวยนะ เหมือนจะชิว แต่ก็หนาวเกิน เพราะกว่าจะมาก็เย็นแล้ว แดดกำลังจะหมด ระหว่างที่เรากอดเสื้อกันหนาวริมทะเลยสาบอยู่นั้น ไอดี ไกด์หนุ่มของเราก็ถอดเสื้อแล้วโดด ลงทะเลสาบเลย ไม่กลัวหนาวเลย..... "ไอดี..แกเป็นไกด์นะ แต่ดูสนุกเกินลูกทัวร์ไปเยอะเลย"
อย่างที่บอกไป ...... ที่ลงไปในน้ำ ไม่ใช่กลุ่มเราแน่นอน หนาววววมาก
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบ มีสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งขี่ม้าเล่นอยู่ เลยขอแช๊ะสักหน่อย
วันที่ 3 ตอนเช้าตื่นขึ้นมาตอนมืด เดินขึ้นมารอที่ภูเขาหลังที่พักเพื่อที่จะมาดูพระอาทิศย์ขึ้น ริมทะเลสาบ
วันนี้เป็นวันพักผ่อน คือ ทั้งวันเราจะอยู่ที่ Bird Prey Festival ซึ่งจะจัดขึ้นปีละครั้ง ภายหลังรู้มาว่าเค้าก็จัดตลอดแหละ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ.... Bird fed, horse fed, local music fes,.... Fes, ฯลฯ สรุปแล้วคือ มีจัดทั้งปี
ซึ่งงานนี้จัดที่ Jaychy yurt camp ไม่ไกลจาก Beltam มากนัก เราเลยมาถึงงานตั้งแต่เช้า ภายในงานจะจัดโชว์เล่นดนตรีท้องถิ่น แล้วลากเอานักท่องเที่ยวมาเล่นเกมส์ นั่งดูกลางแจ้งตากแดด งานไม่สนุกอย่างที่คิด แถมตัวจะไหม้ด้วย จะออกจากงานก็ไม่มีโปรแกรมอื่นไป เพราะที่พักคืนนี้ คือนอนที่นี่ เป็นการตากแดดที่ยาวนานมาก ที่ในร่มต้นไม้ก็เบียดคน ได้รู้ละว่าไม่ใช่ฝรั่งทุกคนที่ชอบแดด
แต่พอหลังเที่ยงเหมือนบรรยากาศเปลี่ยน การแสดงมีเด็กสาวพื้นเมืองมาเต้น พอถึงเพลงท้ายๆก็ชวนนักท่องเที่ยวมาเต้นด้วยกัน เป็นกิจกรรมที่ดีมาก นักท่องเที่ยวที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่เช้า มาเต้น Blend รวมกัน ดังFlash Mob ซะงั้น
หลังจากนั้นมีการจัดแข่งกีฬา เป็นกีฬาที่เล่นในแถบที่ราบสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประลองกำลังกัน กีฬาแรกเป็น เล่นมวยปล้ำบนหลังม้า กติกาคือแข่งกันดึงแขนคู่ต่อสู้ให้ตกจากหลังม้า หลังจากคนคีกิซ แข่งกัน 2-3 เกมส์ ซึ่งก็ดูอันตรายมาก เล่นจริง อัดจริง ...และโหดจริง จากนั้นมีนักท่องเที่ยวเป็นคนไอร์แลนด์บอกว่าจะขอแข่งด้วย ตอนแรกคิดว่าคนคีกิสจะอ่อนข้อให้ แต่เปล่าเลย กลายเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีได้ยังไงไม่รู้ การแข่งแบบนี้ถ้าก้มตัวแนบอานยังไงก็ร่วงจากหลังม้ายาก วิธีที่ชาวคีกิซใช้ คือจับแขนบิด แล้วบังคับม้าให้วิ่ง ใช้แรงคนกับม้าดึงแขน ดูไปหวาดเสียวแขนจะขาดมั้ย ซึ่งวิธีแก้คือให้ม้าตัวเองวิ่งตีคู่ไปกับม้าคู่ต่อสู้ พอวิธีแรกไม่ได้ผล คนคีกิสก็บังคับม้ายกสองขาถีบทั้งม้าทั้งคน เซเลย ....รอบข้างเหมือนเชียร์อยู่ในสนามมวยใต้ดิน แต่เป็นการกระทำฝ่ายเดียว เห็นหน้าคนไอร์แลนด์แล้วสงสารแทน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ซักที จนกรรมการรีบนับให้หมดยก ครบ 3 ยก แล้วให้เสมอกัน
กว่าจะจบการแข่งขันนาฟิกาในใจทุกคนข้างสนามเหมือนจะเดินช้ากว่าปกติ
กีฬาที่สอง คล้ายโปโล เรียกว่า Kuburu แบ่งเป็นสองทีม แต่ละทีมต้องขี่ม้าแล้วคว้าแย่ง ซากแพะ ที่ใช้เป็นเหมือนลูกบอล แล้วไปโยนใส่โกล์ฝั่งตรงข้าม
แต่เวลาเล่นจะคล้ายรักบี้ คือ แต่ละคนที่ลงแข่งจะบังคับม้าวิ่งไปกระแทกกับ ม้าที่มีคนขี่ถือ "ซากแพะ" อยู่
ภาพคือ เอาม้าวิ่งเร็วๆมาประสานงากัน O-O แล้วอัดตรงกลาง ดันม้ากันไปมา เพื่อที่จะแย่ง ซากแพะ ออกจากมือฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งต่อให้กับทีมของตังเอง เพื่อที่จะเร่งม้าไปที่โกล์ หยั่งกะดูหนังสามก๊ก
ต่อจากนั้น มีการแสดงอื่นๆอีกเยอะ เช่น เอาซากจิ้งจอกที่ผูกกับม้าให้ม้าวิ่ง แล้วปล่อยเหยี่ยวจากที่สูง ให้บินมาตะบบซากจิ้งจอก, ให้เด็กเร่งม้าเร็วๆ แล้วยิงธนู สามดอกติดต่อกัน เข้าเป้าแดงหมด, ฯลฯ
จนโชว์จบ รู้สึกคุ้มค่ามาก สำหรับโปรแกรมวันนี้ ไม่เสียดายที่ตัดสินใจมา ....เปลี่ยนทัศนคติจากตอนเช้าสิ้นเชิง
*จริงๆคือในช่วงก่อนหน้านี้มีการแข่งขันkuburu แบบเดียวกันนี้ ในอีกเมืองหนึ่ง ฝรั่งที่เราเจอบอกว่าที่นั่นเข้มข้นมาก สนามยาว ม้าวิ่งเต็มความเร็ว จริงจังกว่านี้อีก อันนี้เหมือนโชว์ให้เราดูเฉยๆ
และหลังจากเรากลับได้ประมาณสองสัปดาห์ก็มีการแข่งขัน Nomad Game ที่ซึ่งทวีความเข้มข้นของKuburu จนถึงขีดสุด
ด้านหลังที่พัก (ที่เดียวกับที่จัดงาน) เป็นทุ่งหญ้าสวยมาก ด้านหลังเป็นวิวภูเขา เหมือนฉากที่เห็นในภาพวาด หลังการแสดงจบแดดเริ่มอ่อนลง จึงเป็นเวลาของการถ่ายรูป...และ กินเบียร์
วันที่ 4 ตื่นเช้าแล้วนั่งรถมาถึง Kochkor บ่ายๆ วันนี้เป็นวันว่างๆ พักเตรียมร่างกาย เตรียมจิตใจก่อนออกเดิน trek ครั้งแรกของทุกคนในทริป Kochkor เป็นเมืองเล็กๆ สามารถเดินได้ทั่วเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เหมือนเป็นเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาผจญภัยโดยเฉพาะ เห็นฝรั่งพอๆกับคนท้องถิ่น เวลาว่างช่วงบ่ายถึงเย็นเลยออกมาเดินเล่นในสวนสาธารณะตีปิงปอง เตะบอล กับผู้คนที่นี่
อินเตอร์เนตที่นี่ถูกมาก ถูกเว่อๆ ร้อย-สองร้อยเห็นจะได้
เสร็จแล้วยังไปนั่งร้านเสต๊ก กินเบียร์ ...มารู้ทีหลังว่าทำตัวเป็น "หมูสู้บังตอ" ไม่ได้ถนอมร่างกายไว้ ...และไม่เคยคิดว่าการเดินเทรคในวันพรุ่งนี้จะเหมือนเป็น บังตอ ลับคมคอย "หมู อ่อนแอ 5 ตัว"
(To Be Continue...........)
คี-Kiss-สถาน ในความทรงจำ ---- Review เดินเขา ท่องเที่ยว ประเทศคีคีซสถาน (Kykyzstan)
Review นี้เขียนเสมือนเป็นการขอบคุณต่อชาว คีร์กิซสถาน และ ทีมงานของ CBT(community based travel) ทุกท่านในประเทศที่สวยงามแห่งนี้ ที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี
“ผมมีเพื่อนอยู่กลุ่มนึงเราตั้งใจเที่ยวกันปีละครั้งมีคอนเซปต์ประหลาดคือประเทศที่จะไปต้องแหวกแนวหน่อย ลำบากไม่ว่า เรื่องอาหารต้องอร่อยที่พักต้องสบายไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข (จะไปทำไมวะเนี่ย!!)
เหตุผลมันบอกว่าเป็นการออกจากความสบายปีละครั้ง #อ้างไปเรื่อย
..
หลังจากอินเดียและอิหร่าน ปีนี้..คีร์กิซสถานเป็นคำตอบ
ได้ยินครั้งแรกคือ..อยู่ตรงไหนวะ !!!
..
หาข้อมูลซะหน่อย...
คีร์กิซสถานตั้งอยู่ที่เอเชียกลาง เป็นอดีตส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
(แยกออกในปี 1991) และเป็นบางส่วนของเส้นทางสายไหม หลายส่วนของประชากรมาจากชนเผ่าเร่ร่อน เวลาเรามาเที่ยวที่นี่จะเห็นเสปกตรัมของหน้าตาผู้คนตั้งแต่ ชาวมองโกล จนถึง รัสเซีย
ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้เคร่งมากนัก ใช้ภาษารัสเซีย เป็นภาษาราชการ และ ภาษาคีร์กิซเป็นภาษาถิ่น
คีร์กีซสถานเที่ยวได้แต่ช่วงนี้ หน้าหนาวหมดสิทธิ์อากาศเมืองหลวงอาจติดลบถึง 30 องศา มิพักพูดถึงบนเขา ไม่มีคนอาศัยแน่นอน หน้าร้อนเที่ยวได้ กลางวันร้อน กลางคืนบนเขาหนาวจัด
เราแพลนว่าจะไปซัก 10 วัน ข้อมูลหายากแม้ใน Lonely Planet ก็มีแต่ข้อมูลรวมประเทศในเอเชียกลางซึ่งมีประเทศนี้อยู่ด้วย เค้าแนะนำให้ติดต่อ CBT เพื่อหาคนนำทาง.....CBT เป็นบริษัทท้องถิ่นมืออาชีพตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ส่งตารางมาให้เราตามความสามารถที่จะเที่ยวได้ อยากอยู่บนม้ากี่วัน เดินกี่ชั่วโมง ปีนเขาด้วยมั้ยก็บอกไปให้หมด
ตอนเห็นตารางก็กังวลเรื่องลำบากนิดหน่อยจะไปดีมั้ยเนี่ยย 55
เปิดเจอในรีวิวบางเวปฝรั่งบอกว่าธรรมชาติงดงามเหมือนฉากในนวนิยาย
แค่นี้ก็เกินพอ... ลุยยยย !!
แผนการเดินทางของเราคือจะไล่จากการไป ทะเลสาบ Issyk Kol >> เข้าร่วม Bird Prey Festival ที่Bel Tam >> พักที่ Kochkorka >> เดินเขาไปยัง Kol Ukok >> Kol Tor >> กลับมาที่เมือง Kochkorka >> ไปยัง จุดขี้ม้าเพื่อมุ่งไป Song Kol >> Song Kol >> กลับBishkek >> กลับบ้าน
วันที่ 1 เดินทางลงเครื่อง มาถึงเมือง บิสเคก (Bishkek) มาถึงไกด์ท้องถิ่นมารอรับที่สนามบิน แนะนำตัว ชื่อ อาดี ... แล้วพาเราขึ้นรถตู้ เป็นรถตู้ Mercedes หรูมาก เมื่อเทียบกับความคาดหวัง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็น รถตู้พาเราไปทานอาหารที่ Pinta Cafe’ ซึ่งก็จัดว่าเป็นร้านอาหารชั้นดีของเมือง สำหรับคนชอบเนื้อ ประเทศนี้เป็นสวรรค์ เพราะเสต็ก สดและถูกมาก เมื่อเทียบกับราคาเนื้อเกรดดีบ้านเรา ประเทศนี้ไม่มีหมู คนที่ไม่กินเนื้อจะกินได้แต่ไก่ ที่นำเข้าจากจีน ที่นี่เนื้อถูก.....เบียร์ก็ถูก วอดก้าถู๊กถูก
กินเสร็จก็ เข้าที่พัก Olive Hotel ที่พักในเมือง
วันที่ 2 เรามาทริปนี้ติดต่อ จองโปรแกรมทั้งหมด..... (รถ ที่พัก ไกด์ อาหาร) ผ่าน CBT เหมือนเป็นบริษัททัวร์ที่ร่วมกับท้องถิ่นคล้ายสหกรณ์ มาบริหารจัดกิจการท่องเที่ยวในประเทศ รายได้ก็จะกระจายไปยังชุมชน
โปรแกรมวันนี้เราจะมุ่งไปที่ Bel-Tam ที่พักคืนที่สองของเรา ซึ่งเป็นกระโจม ริมทะเลสาป Issyk Kol ทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดในที่ราบสูงแถบนี้
นั่งรถกว่าจะมาถึงก็ประมาณบ่าย 2 เรามารับประทานอาหารบ่ายที่ ที่พัก Bel-tam แล้วตามแผนเราจะไป ดูธารน้ำแข็ง กราเซียร์ ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกไกลมาก แล้วกลับมานอนที่เดิม ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ระหว่างนั่งรถออกจากที่พักไปไม่ไกล เราเห็นชายหาดริมทะเลสาบ ซึ่งมีคนทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น มาอาบแดด เล่นน้ำกัน ความอยากไปดูกราเซียร์เริ่มน้อยลง ไปดูคนอาบแดดน่าจะดีกว่า .... ไกด์เลยแนะนำว่ามีสถานที่อีกที่นึงใกล้ๆ คือ เขาแดง ไม่ต้องนั่งรถไกล แวะไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยออกไปนั่งริม lake ก็ได้
ขากลับมาเดินเล่นริมทะเลสาบตามที่ตั้งใจ แต่สภาพไม่ได้มีชุดบิกีนี่อย่างที่คาดหวัง เพราะอากาศหนาว ลมแรง และน้ำเย็น เราเอาขาแตะน้ำ จิบเบียร์คนละหน่อย แล้วก็ยืนมองดูทะเลสาบสวยนะ เหมือนจะชิว แต่ก็หนาวเกิน เพราะกว่าจะมาก็เย็นแล้ว แดดกำลังจะหมด ระหว่างที่เรากอดเสื้อกันหนาวริมทะเลยสาบอยู่นั้น ไอดี ไกด์หนุ่มของเราก็ถอดเสื้อแล้วโดด ลงทะเลสาบเลย ไม่กลัวหนาวเลย..... "ไอดี..แกเป็นไกด์นะ แต่ดูสนุกเกินลูกทัวร์ไปเยอะเลย"
อย่างที่บอกไป ...... ที่ลงไปในน้ำ ไม่ใช่กลุ่มเราแน่นอน หนาววววมาก
บรรยากาศรอบๆทะเลสาบ มีสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งขี่ม้าเล่นอยู่ เลยขอแช๊ะสักหน่อย
วันที่ 3 ตอนเช้าตื่นขึ้นมาตอนมืด เดินขึ้นมารอที่ภูเขาหลังที่พักเพื่อที่จะมาดูพระอาทิศย์ขึ้น ริมทะเลสาบ
วันนี้เป็นวันพักผ่อน คือ ทั้งวันเราจะอยู่ที่ Bird Prey Festival ซึ่งจะจัดขึ้นปีละครั้ง ภายหลังรู้มาว่าเค้าก็จัดตลอดแหละ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ.... Bird fed, horse fed, local music fes,.... Fes, ฯลฯ สรุปแล้วคือ มีจัดทั้งปี ซึ่งงานนี้จัดที่ Jaychy yurt camp ไม่ไกลจาก Beltam มากนัก เราเลยมาถึงงานตั้งแต่เช้า ภายในงานจะจัดโชว์เล่นดนตรีท้องถิ่น แล้วลากเอานักท่องเที่ยวมาเล่นเกมส์ นั่งดูกลางแจ้งตากแดด งานไม่สนุกอย่างที่คิด แถมตัวจะไหม้ด้วย จะออกจากงานก็ไม่มีโปรแกรมอื่นไป เพราะที่พักคืนนี้ คือนอนที่นี่ เป็นการตากแดดที่ยาวนานมาก ที่ในร่มต้นไม้ก็เบียดคน ได้รู้ละว่าไม่ใช่ฝรั่งทุกคนที่ชอบแดด
แต่พอหลังเที่ยงเหมือนบรรยากาศเปลี่ยน การแสดงมีเด็กสาวพื้นเมืองมาเต้น พอถึงเพลงท้ายๆก็ชวนนักท่องเที่ยวมาเต้นด้วยกัน เป็นกิจกรรมที่ดีมาก นักท่องเที่ยวที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่เช้า มาเต้น Blend รวมกัน ดังFlash Mob ซะงั้น
หลังจากนั้นมีการจัดแข่งกีฬา เป็นกีฬาที่เล่นในแถบที่ราบสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประลองกำลังกัน กีฬาแรกเป็น เล่นมวยปล้ำบนหลังม้า กติกาคือแข่งกันดึงแขนคู่ต่อสู้ให้ตกจากหลังม้า หลังจากคนคีกิซ แข่งกัน 2-3 เกมส์ ซึ่งก็ดูอันตรายมาก เล่นจริง อัดจริง ...และโหดจริง จากนั้นมีนักท่องเที่ยวเป็นคนไอร์แลนด์บอกว่าจะขอแข่งด้วย ตอนแรกคิดว่าคนคีกิสจะอ่อนข้อให้ แต่เปล่าเลย กลายเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีได้ยังไงไม่รู้ การแข่งแบบนี้ถ้าก้มตัวแนบอานยังไงก็ร่วงจากหลังม้ายาก วิธีที่ชาวคีกิซใช้ คือจับแขนบิด แล้วบังคับม้าให้วิ่ง ใช้แรงคนกับม้าดึงแขน ดูไปหวาดเสียวแขนจะขาดมั้ย ซึ่งวิธีแก้คือให้ม้าตัวเองวิ่งตีคู่ไปกับม้าคู่ต่อสู้ พอวิธีแรกไม่ได้ผล คนคีกิสก็บังคับม้ายกสองขาถีบทั้งม้าทั้งคน เซเลย ....รอบข้างเหมือนเชียร์อยู่ในสนามมวยใต้ดิน แต่เป็นการกระทำฝ่ายเดียว เห็นหน้าคนไอร์แลนด์แล้วสงสารแทน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ซักที จนกรรมการรีบนับให้หมดยก ครบ 3 ยก แล้วให้เสมอกัน
กว่าจะจบการแข่งขันนาฟิกาในใจทุกคนข้างสนามเหมือนจะเดินช้ากว่าปกติ
กีฬาที่สอง คล้ายโปโล เรียกว่า Kuburu แบ่งเป็นสองทีม แต่ละทีมต้องขี่ม้าแล้วคว้าแย่ง ซากแพะ ที่ใช้เป็นเหมือนลูกบอล แล้วไปโยนใส่โกล์ฝั่งตรงข้าม
แต่เวลาเล่นจะคล้ายรักบี้ คือ แต่ละคนที่ลงแข่งจะบังคับม้าวิ่งไปกระแทกกับ ม้าที่มีคนขี่ถือ "ซากแพะ" อยู่
ภาพคือ เอาม้าวิ่งเร็วๆมาประสานงากัน O-O แล้วอัดตรงกลาง ดันม้ากันไปมา เพื่อที่จะแย่ง ซากแพะ ออกจากมือฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งต่อให้กับทีมของตังเอง เพื่อที่จะเร่งม้าไปที่โกล์ หยั่งกะดูหนังสามก๊ก
ต่อจากนั้น มีการแสดงอื่นๆอีกเยอะ เช่น เอาซากจิ้งจอกที่ผูกกับม้าให้ม้าวิ่ง แล้วปล่อยเหยี่ยวจากที่สูง ให้บินมาตะบบซากจิ้งจอก, ให้เด็กเร่งม้าเร็วๆ แล้วยิงธนู สามดอกติดต่อกัน เข้าเป้าแดงหมด, ฯลฯ
จนโชว์จบ รู้สึกคุ้มค่ามาก สำหรับโปรแกรมวันนี้ ไม่เสียดายที่ตัดสินใจมา ....เปลี่ยนทัศนคติจากตอนเช้าสิ้นเชิง
*จริงๆคือในช่วงก่อนหน้านี้มีการแข่งขันkuburu แบบเดียวกันนี้ ในอีกเมืองหนึ่ง ฝรั่งที่เราเจอบอกว่าที่นั่นเข้มข้นมาก สนามยาว ม้าวิ่งเต็มความเร็ว จริงจังกว่านี้อีก อันนี้เหมือนโชว์ให้เราดูเฉยๆ
และหลังจากเรากลับได้ประมาณสองสัปดาห์ก็มีการแข่งขัน Nomad Game ที่ซึ่งทวีความเข้มข้นของKuburu จนถึงขีดสุด
ด้านหลังที่พัก (ที่เดียวกับที่จัดงาน) เป็นทุ่งหญ้าสวยมาก ด้านหลังเป็นวิวภูเขา เหมือนฉากที่เห็นในภาพวาด หลังการแสดงจบแดดเริ่มอ่อนลง จึงเป็นเวลาของการถ่ายรูป...และ กินเบียร์
วันที่ 4 ตื่นเช้าแล้วนั่งรถมาถึง Kochkor บ่ายๆ วันนี้เป็นวันว่างๆ พักเตรียมร่างกาย เตรียมจิตใจก่อนออกเดิน trek ครั้งแรกของทุกคนในทริป Kochkor เป็นเมืองเล็กๆ สามารถเดินได้ทั่วเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เหมือนเป็นเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาผจญภัยโดยเฉพาะ เห็นฝรั่งพอๆกับคนท้องถิ่น เวลาว่างช่วงบ่ายถึงเย็นเลยออกมาเดินเล่นในสวนสาธารณะตีปิงปอง เตะบอล กับผู้คนที่นี่
อินเตอร์เนตที่นี่ถูกมาก ถูกเว่อๆ ร้อย-สองร้อยเห็นจะได้
เสร็จแล้วยังไปนั่งร้านเสต๊ก กินเบียร์ ...มารู้ทีหลังว่าทำตัวเป็น "หมูสู้บังตอ" ไม่ได้ถนอมร่างกายไว้ ...และไม่เคยคิดว่าการเดินเทรคในวันพรุ่งนี้จะเหมือนเป็น บังตอ ลับคมคอย "หมู อ่อนแอ 5 ตัว"
(To Be Continue...........)