สมัยก่อน ซัก 20-30 ปีที่แล้ว ใครซื้อ ptt, scc, bbl, top ฯลฯ แล้วถือยาวๆ หุ้นก็จะสะสมมูลค่าเพิ่มขึ้นๆ นักลงทุนได้ทั้งเงินปันผลทุกๆ ปี พร้อมทั้งส่วนต่างมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น เป็นหลายเท่าตัว  แต่ส

มันเหมือนทฤษฎีหุ้นปั่น มากๆ แค่คนจำหน่ายจ่ายแจกเป็นผู้รับตึ๊ง  เจ้าของได้เงินไปแล้วก็กลับมารับหุ้นต่ำๆ เผลอๆก๊วนเจ้าของเองนะแหละที่กดหุ้นลงมาให้ ถูกบังคับขาย ให้ผู้บริหารหน้าม้าบางคนในกลุ่มรับหน้

https://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=14944578042061&language=th&country=TH เห็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด โตเอ๊า โตเอา หุ้น PE ต่ำ 10 เต็มตลาด ผมอ่านสินธร จนหลงเชื่อไปจริ

ปล ลอกข้อความ ดร นิเวศ มาอ่าน กันเล่นๆ http://portal.settrade.com/blog/nivate/2011/04/20/1008 Wednesday, 20 April 2011 เกมเทคโอเวอร์ « ราคาหุ้นที่เหมาะสม | Main | ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์ »

สอบถามตามหัวข้อครับ ผมกับภรรยา จดทะเบียนกันมา 10 กว่าปีแล้ว และพบว่านิสัยทางการเงินของเราไม่ไปด้วยกัน ภรรยาชอบเสี่ยง เงินสำรองไม่เคยเก็บ ประกันไม่ทำ ชอบเปิดกิจการใหม่ ลงทุนใหม่ พร้อมเป็นหนี้ แต่ก็ทำ

การซื้อหุ้น pbvสูงเช่นเกิน3หรือpeสูงเมื่อเทียบอุตสาหกรรม อันไหนจะเสี่ยงกว่ากันครับ เพราะอะไร ถ้าผมชอบหุ้น pbv สูง แต่ roeสูงจากอัตรากำไรสุทธิสูง และ peต่ำ ผมจะเล่นเสี่ยงไปเพราะแม้ peต่

เนื่องจากช่วงนี้ผมและเพื่อนสมาชิกหลาย ๆ ท่าน  ได้เผชิญกับภาวะ PM 2.5 ในอากาศสูง เป็นพิษต่อร่างกาย  บ้างมีอาการ บ้างไม่มีอาการ และผมจำได้ว่าหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล เขียนในหนังสือ สู้ดิวะ ว่า PM