เล่าได้เล่าดี ตอนเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในอเมริกาของฉัน

สวัสดีค่ะ อาทิตย์นี้ฉันจะเล่าเรื่องอะไร ไปไม่ได้นอกจากเทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า หรือที่รู้จักกันว่า Thanksgiving Day

เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ถือว่าเป็นวันหยุดประจำชาติของคนอเมริกัน จะเฉลิมฉลองกันในวันพฤหัสบดี ที่สี่ของเดือนพฤษจิกายน เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เริ่มต้นมาจากการเฉลิมฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในฤดูใบไม้ผลิ หรือที่เรียกว่า Harvest Festival เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้านี้ จัดให้เป็นวันหยุดแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 1789 ในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน แต่ครั้นในสมัยประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้มีการยกเลิกให้วันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันหยุดแห่งชาติ จนกระทั่งในสมัยของประธานาธิบดีอับบลาฮัม ลินคอร์น ได้ฟื้นฟูและบรรจุให้ วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดแห่งชาติ ในปี 1863 อีกครั้ง ซึ่งจะเฉลิมฉลองในวันพฤหัส สุดท้ายของเดือน พฤษจิกายน แต่ประธาธิบดีแฟร้งคลิ้น รุสเซอร์เวลท์ ได้เปลี่ยนวันจากวันพฤหัส สุดท้ายของเดือนพฤษจิกายน มาเป็นวันพฤหัสที่สี่ ของเดือนพฤษจิกายนแทน เพื่อรวมเข้ากับเทศกาลคริสต์มาสต์ และปีใหม่ ที่เรียกว่า เทศการแห่งความสุข หรือ Holiday Season ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   

ทั้งนี้เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จะมีการระรำลึกถึง ประวัติและการจัดงานในครั้งแรกเริ่มเดิมที ของวันขอบคุณพระเจ้า ที่มารู้จักกันใน First Thanksgiving ที่เล่าขานกันมาว่า งานเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เริ่มแรกเมื่อครั้งที่ นักบวชกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า Pilgrims ได้เดินทางจากอังกฤษ เพื่อเดินทางแสวงหาแผ่นดินใหม่ ที่รู้จักกันในนามว่า The New World และในเดือนตุลาคน ปี 1621 นักบวช และกลุ่มคนกลุ่มนี้ จัดงานเฉลิมฉลองกินเลี้ยง และได้เชิญชาวเผ่าอินเดียนแดง มาร่วมงานฉลองมากถึง 90 คน พร้อมกับคนของตัวเองที่มีมากถึง 53 คน ซึ่งถือว่าการเฉลิมฉลองนี้แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ มิตรภาพที่ดีของคนมาใหม่ และคนพื้นเมือง ที่เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน และพร้อมใจกันเรียกเทศกาลนี้ว่า Thanksgiving หมายถึงการขอบคุณพระเจ้า สำหรับพืชพันธ์ ธัญญาหาร และมิตรภาพของผู้คนที่มีให้กัน   



ภาพวาดของนักแสวงบุญชาว Pilgrims และชาวพื้นเมือง ในการร่วมกินอาหารด้วยกันครั้งแรก

ฉันรู้จักกับเทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า ในครั้งแรกเมื่อปี 1997 ปีแรกที่ฉันได้มาที่ประเทศอเมริกา สำหรับนักเรียนต่างชาติ เทศกาลวันครอบคุณพระเจ้า ก็เหมือนวันหยุดทั่วไป เพราะเราจะไม่คุ้นชินกับ ประเพณีและวัฒนธรรมของคนที่นี่  เทศกาลวันของคุณพระเจ้าสำหรับนักเรียนต่างชาติ แทนที่จะเป็นวันชื่นคืนสุข เฉลิมฉลอง แต่กลับเป็นวันที่เหงาหงอยหดหู่ที่สุด ของนักเรียนต่างชาติก็ว่าได้ เพราะในเทศกาลนี้ทางมหาวิทยาลัย เขาจะปิด เพื่อให้นักเรียน ได้เดินทางกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว แบบว่าประมาณเทศกาลวันสงกรานต์ของเมืองไทย อย่างไร อย่างนั้น ที่ผู้คนจะพากันกลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัว นักเรียนชาวอเมริกัน ก็จะเริ่มเดินทางกลับบ้านกันตั้งแต่วันจันทร์ และอย่างช้าที่สุดคือวันพุธ เพื่อไปให้ทันฉลองและกินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า ในวันพฤหัส

ส่วนนักเรียนต่างชาติอย่างเรา ก็ได้แต่เฝ้าดูแคมปัส เงียบเหงาลงทีละน้อยๆ จากสถานที่ที่เคยมีผู้คนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ก็ค่อยๆเงียบลงๆๆ จนน่าใจหาย บางครั้งเดินๆอยู่ในแคมปัส ในวันหนาวๆ มองใบไม้ปลิดปลิวล่วงจากต้น สู่พื้นดินอย่างช้าๆ มองไปรอบๆตัวไม่มีใคร ร้านค้า ร้านอาหาร ก็พากันปิด เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานไปใช้เวลากับครอบครัว ดังนั้นมันก็มีแต่เรายืนโด่เด่ มันช่างได้อารมณ์ ประมาณ นางเอกใน MV ตอนอกหักรักคุด โอ๊ย... มันช่างเหงาอะไรอย่างนี้ เหงาจนอยากแทบจะร้องไห้ จะโทรหาพ่อกับแม่ก็ทำไม่ได้ เพราะการติดต่าสื่อสารในตอนนั้นมีแต่ทางโทรศัพท์ ที่โทรกลับบ้านหาพ่อแม่ ทีก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะค่าโทรศัพท์แพงเหลือเกิน

แต่ก็อย่างว่า การมาเป็นนักเรียนต่างชาติ เราต้องอึด ถึก ทน ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อไม่ให้เจ้าความเหงาทำร้ายเราได้ และวิธีการอย่างหนึ่งที่เราจะทำลายความเหงา ในวันนี้ให้ได้ คือการรวมตัวกันของนักเรียนต่างชาติ ของฉันกับเพื่อน ที่มีทั้ง ไทย จีน ญี่ปุ่น แขก รัสเซีย เยอรมัน และชาติอื่น ที่ไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ก็มารวมตัวกันที่บ้านฉันบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง ก็มีการกินเลี้ยง สังสรรกันตามประสา ผู้ที่ไม่มีอะไรจะทำมากไปกว่านี้แล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เราได้คลายความเหงาในการคิดถึงบ้าน ไปได้เยอะเลยทีเดียว แต่สำหรับบางปี ที่เราเบื่อกับการกินเหล้า สังสรรกันในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า เราก็เปลี่ยนมาเป็นพากันไปเที่ยว ในที่ไกลๆ ขับรถไปบ้าง นั่งเครื่องบินไปเที่ยวบ้าง เพราะเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า โรงเรียนเขาหยุดตั้งแต่วันพฤหัสบดี จนถึงวันอาทิตย์ ก็มีโอกาสได้เที่ยวกันยาวๆไป

Fast Forward อีกสิบปีต่อมา เมื่อฉันได้รู้จักและแต่งงานกับคุณสามีชาวอเมริกัน เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า จึงมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของฉัน ทำให้ฉันเข้าใจถึงประเพณี และวัฒนธรรมของชาวอเมริกัน ในวันขอบคุณพระเจ้ามากขึ้น

ชาวอเมริกัน จะถือว่าวันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันครอบครัว เขาจะให้ความสำคัญ และเวลากับครอบครัว พบประสังสรรกัน อีกทั้งจะให้ความสำคัญกับการทำ และการกินอาหารเป็นอย่างมากใน เทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า และโดยส่วนใหญ่แล้ว ทางฝ่ายผู้หญิงจะเป็นทำอาหาร และเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานเลี้ยง ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวสามีของฉันด้วย ที่ทางคุณแม่สามี พี่สาว และน้องสาวของสามีฉัน รวมถึงคุณยาย และคุณน้าสะใภ้ ก็มีบทบาทสำคัญในการทำอาหารเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่งเราไม่ได้พูดถึงจำนวนคน สามสี่ห้าคนในครอบครัว เราพูดถึงจำนวนยี่สิบถึงสามสิบคนกันเลยทีเดียว เพราะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกในครอบครัวเยอะแยะมากค่ะ การจัดงานเลี้ยงจะเริ่มจากทางฝ่ายหญิงจะตกลงกันว่า ปีนี้จะไปจัดงานที่บ้านใคร ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่สามีของฉัน จะอาสาบ้านตัวเอง เป็นสถานที่จัดเลี้ยง เพราะเธอเป็นพี่สาวคนโต แต่บางปีก็สลับไปบ้าน น้าชายบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ปีนี้น้องสาวของสามีฉัน อาสาขอจัดงานที่บ้านของเธอ

ถึงแม้ว่าสามีฉันจะเป็นเชฟ และมีบริษัทเคเทอริ่งเป็นของตัวเอง แต่เราไม่เคยอาสาจัดงานที่บ้านฉันเลย เพราะหนึ่ง คุณสามีเชฟ จะต้องทำงานในวันขอบคุณพระเจ้า เพราะมีงานเคเทอริ่งทำอาหารให้ลูกค้ารายหนึ่ง ในวันนี้  ทุกปี เป็นเวลาติดต่อกันมาถึงเก้าปี บางปีคุณสามีเหนื่อยมากกับการทำอาหาร ให้คนในบริษัทนี้ จนบางครั้งเขาก็ไม่อยากกินอาหาร หรือแม้แต่ไปร่วมงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าที่ไหน หรือกับใครก็ตาม และสอง ถึงแม้ฉันจะเป็นผู้หญิง ที่ทำอาหารไทยเป็นอยู่บ้าง แต่การทำอาหารฝรั่ง เลี้ยงคนในวันขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่เอาดีกว่า เพราะอาหารฝรั่งฉันไม่ถนัดที่จะทำ กลัวทำไปแล้ว คนอื่นกินไม่ได้ หรือไม่ถูกปาก อีกทั้งการไปร่วมงานครอบครัวของสามี แต่ไม่มีสามีไปด้วย หรือไปถึงทีหลัง บางทีฉันก็ไม่ค่อยสนิทใจนักที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดงาน ดังนั้นครอบครัวของฉันถึงไม่เคยเป็นตั้งตั้งตัวตีในการจัดงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ที่บ้านของฉันเลย และส่วนใหญ่ครอบครัวของเราจะไปในฐานะคนกินมากกว่าคนทำ  ซึ่งทางครอบครัวของคุณสามี เขาก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร กับฉันเพราะเขาเข้าใจ ว่าฉันไม่คุ้นชิน กับการทำอาหารฝรั่ง

ในเมื่อผู้หญิงทำอาหาร และผู้ชายทำอะไร ในสมัยโบราณ การทำอาหารเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้า ผู้ชายในสมัยก่อน จะไม่มีบทบาทในการทำอาหาร หรือจัดงานเลี้ยงมากนัก เมื่อทางฝ่ายสาวๆ มานัดรวมตัวกันแต่เช้าตรู่ ในวันขอบคุณพระเจ้า เพื่อมาลงมือทำอาหาร บรรดาฝ่ายหญิงก็จะคลุกกันอยู่ในครัว โดยที่ฝ่ายชายบ้างก็จะนั่งดูทีวี เริ่มจากการชมขบวนพาเรท วันขอบคุณพระเจ้าซึ่งจัดโดยห้างเมซี่ ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อว่า Macy’s Thanksgiving Day Parade ที่จัดกันทุกปีในวันขอบคุณพระเจ้า ในเมืองนิวยอร์ค และออกอากาศทางโทรทัศน์ ครั้งแรกเมื่อปี 1924 นอกจากนี้ทางฝั่งผู้ชาย ก็ชอบดูกีฬาอเมริกันฟุตบอลนัดสำคัญ ที่เลือกมาแข่งขันกันในวันขอบคุณพระเจ้าอีกด้วย สำหรับผู้ชายบางคนอาจจะพากันไปล่าสัตว์ ตกปลา หาเรื่องออกจากบ้าน เพื่อปล่อยให้สาวๆ ยึดครอบห้องครัว และเพิ่มความสะดวกสบายในการทำอาหารมากขึ้น และกลับมาบ้านอีกทีก็ตอน ได้เวลากินอาหารกัน  ซึ่งเวลากินอาหารนั้น ก็แล้วแต่ทางบ้านของแต่ละคนจะ กำหนดกันเอง แต่ส่วนใหญ่จะนิยม กินกันตอนกลางวัน เวลาเที่ยง หรือบ่ายหนึ่ง เพราะเมื่อกินกันเสร็จกล้ว จะได้มีเวลากลับบ้านใครบ้านมัน ไปนอนตีพุง กันตอนเย็นๆ ค่ำๆ แต่บางบ้านอาจจะ อยากกินกันตอนเย็น เป็นอาหารเย็น ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัว


ขบวนพาเรด Macy's Thanksgiving Day Parade เมื่อวานนี้

ขบวนพาเรด Macy's Thanksgiving Day Parade ในอดีต

หากแต่ในสมัยนี้ ฝ่ายชายมีบทบาทมากขึ้นในการทำอาหารเลี้ยงในวันขอบคุณพระเจ้า แต่ส่วนมากฝ่ายชายจะเลือกที่จะอบไก่งวง มากกว่าการทำอาหารตัวอื่นๆ อย่างเช่นปีนี้ น้องสาวของคุณสามี เขามีการแข่งขันกันทำไก่งวงกับสามีของเธอ คุณน้องสามี เขาอบไก่งวงในเตาอบ ส่วนสามีของเธอ เขาใช้วิธีอบรมควัน ซึ่งผลออกมา ฉันว่ามันอร่อยเท่ากัน แต่อบรมควัน จะมีกลิ่นหอมของไม้หอม ที่น้องเขยเขาใส่เข้าไปด้วยในเครื่องอบรมควันไฟฟ้า ที่เรียกว่า Smoker ส่วนทางคุณสามีของฉัน ถึงแม้ปีนี้คุณเขาจะได้หยุดงาน เพราะบริษัทที่เขาทำอาหารให้พนักงานของบริษัทนั้นนั้น เขาบอกว่าปีนี้เขาไม่มีงบ เขาเลยไม่จ้างเรา ทำให้คุณสามี ได้หยุดงาน ในวันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันแรก ในรอบเก้าปี แต่ทั้งนี้คุณสามีก็ยังอาสาอบรมควันปลาซาลมอน เพื่อเอาไปให้ครอบครัวได้กิน เป็น Applitiser กินเรียกน้ำย่อย ก่อนการกินไก่งวงอีกด้วย

อาหารที่คนอเมริกันนิยมกินกันในวันขอบคุณพระเจ้าก็คือ ไก่งวง ซึ่งเชื่อกันว่า เมื่อครั้นที่กลุ่มแสวงบุญชาว Pilgrims เดินทางมาถึงฝั่งอเมริกาแล้ว ก็อดอยาก ไม่รู้จักการปลูกพืชและล่าสัตว์ ในสภาพอากาศหนาว ของประเทศอเมริกา ทำให้มีผู้คนล้มตายด้วย ความอดอยากจำนวนหนึ่ง ในช่วงเวลาเลวร้ายนั้น ชาวอินเดียนแดง ผู้อาศัยในแถบนั้น เกิดความสงสาร จึงนำไก่งวง และพืชผัก ผลไม้ มาให้พวกเขา ดังนั้น ไก่งวงจึงเป็นอาหารอันดับหนึ่ง ในวันขอบคุณพระเจ้า


ไก่งวงอบตัวโตน่ากิน

ส่วนใหญ่คนอเมริกันจะอบไก่งวงทั้งตัว การเตรียมไก่งวงก่อนอบนั้น มีวิธีทำอยู่หลายแบบ บางคนเอาเครื่องปรุงยัดใส่ในท้องของไก่งวง บางคนก็เอาเครื่องปรุงแบบน้ำอัดฉีดเข้าเนื้อไก่งวง ด้วยหลอดฉีด ที่คล้ายๆ เข็มฉีดยา ส่วนสูตรของบ้านคุณสามี คุณแม่สามี คุณพี่สามีและคุณน้องสามี เขามีวิธีเดียวกัน คือเอาไปแช่ในน้ำเครื่องปรุง ที่ผสมไว้ ก่อนที่จะเอามาอบหนึ่งคืน

อาหารจานที่สองที่จะต้องมีควบคู่ไปกับไก่งวงก็คือ Stuffing หรือ Dressing ซึ่งเป็นส่วนผสมของขนมปังและเครื่องปรุ่งต่างๆตามแต่คนปรุง จากนั้นก็เอาไปยัดใส่ในตัวไก่งวงก่อนที่จะเอาไปอบ เมื่ออบไก่งวงได้สุกแล้ว ก็เอาสตั๊ฟฟิ่งออกมา เพื่อใช้กินควบคู่ไปกับไก่งวง ในสมัยนี้สตั๊ฟฟิ้ง สามารถทำได้ง่ายๆ โดยทำแยกและไม่ต้องเอาใส่เข้าไปในไก่งวง เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก ที่ไม่อบไก่วงวทั้งตัว แต่เลือกแต่จะอบไก่งวงช่วงเนื้อหน้าอกแทน


Stuffing / Dressing
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่