(2 สาวเพื่อนซี้) Paradise Hopping ณ Seychelles และ Mauritius 🇸🇨🇲🇺


ทริปนี้แพลนมาปีกว่า กะว่าจะมาดำน้ำที่เซเชลส์ ให้ตรงฤดูที่มีฉลามวาฬ แล้วก็แวะเที่ยวมอริเชียส เพราะตัวเกาะสวยดี ทั้งสองประเทศอยู่ในทวีป แอฟริกา อยู่ในมหาสมุทรอินเดียนะคะ

น่าเสียดายปีนี้ฝนดันหมดช้า สภาพน้ำที่ Seychelles เลยไม่ใส่ visibility 5-15 เมตร แทนที่จะ 30 เมตร ที่เกาะฝนตกตอนกลางคืนค่ะ กลางวันร้อน 30°c แดดแรง เล่นน้ำสบายๆ ถ้าใครไม่ดำน้ำมาเดือนไหนก็ได้เลยค่ะ อากาศดีตลอดยกเว้นช่วงปีใหม่

ส่วนที่ Mauritius เราเจออากาศไม่ดีไป 2 วัน กิจกรรมที่จองไว้โดนย้ายวันหมด ทุกอย่างที่แพลนเลยต้องอัดกันวันท้ายๆ เหนื่อยมากค่ะ ประเทศนี้อากาศเย็นกว่านะ ยิ่งตรงเขา เย็นสบายมาก 18-20 องศา ริมทะเลก็อุ่นขึ้นมาหน่อย สบายๆค่ะ



มายังไง
เราบินตรงกับ British Airways จากลอนดอนเข้าที่ Seychelles ใช้เวลา 12ชม ค่ะ ถ้าออกจากไทยไปต่อเครื่องที่ตะวันออกกลางน่าจะสะดวกสุด อยู่ที่ Seychelles 5 วัน แล้ววันที่ 6 บินกับ Air Seychelles ไป 3 ชมก็ถึง Mauritius แล้วค่ะ วันที่ 10 เย็นบินกลับมาที่ Seychelles เพื่อขึ้นเครื่องกลับเช้าวันรุ่งขึ้น

Island Hopping@ Seychelles

Mahe
เกาะนี้ใหญ่ที่สุดในสามเกาะ inner islands ประชากรประเทศ Seychelles มีไม่ถึง 1แสนคน แต่พอมาถึงก็งงเลยค่ะ คนเขาเจริญแล้ว มีการศึกษา สะอาด ถนนดี สัญญาณ LTE อย่างเร็ว


เราอยู่ Mahe กัน 2 คืน เพื่อที่จะขับเที่ยวให้รอบเกาะ และดำน้ำ 2 วัน ทั้งหมด 4 dives เริ่มจากขับลงใต้ค่ะ แวะหาดต่างๆไปตามทาง คนน้อย เลยให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหาดส่วนตัว เที่ยวกันไม่นาน พวกเราก็หิว กองทัพเดินด้วยท้องสินะ เราเลยไปแวะพักกันยาวๆ ที่โรงแรม Kempinski ตรงนั้นมีตัวเลือก 2 ที่คือ Kempinski กับ Four Seasons ค่ะ เท่านี้ก็หมดวันที่ 1 เหนื่อยและง่วงเกินที่จะทำอะไรต่อ ดีนะไม่จองดำน้ำตั้งแต่วันแรก

วันที่ 2 ตื่นกันตั้งแต่ 6โมงกว่า ที่ดำน้ำนัด 8โมง เตรียมตัวกันเสร็จเริ่มลงเรือก็ 9โมง ดำสอง dive กลับเข้าฝั่งเกือบบ่าย 2 แล้วค่ะ วันนี้ครื้นแรงมาก แล้วนั่งเป็นเรือเล็กออกไปประมาณ 20 นาที บางทีก็ไม่เข้าใจนะ เลือกที่ดำง่ายๆ ใกล้ๆไหม ทรมารลูกทีมสุดอะคะ แต่ก็เอาเหอะ เลือกไม่ได้ก็ต้องลุย ทั้งสอง dive ไม่เห็นอะไรมากมาย ไม่มีฉลามวาฬที่ตามหา เห็นแต่ของกิน 555+ ทั้ง กุ้ง lobster และ ปลาหมึก octopus พอดำเสร็จก็ขับรถขึ้นเหนือไป Beau Vallon Bay บอกเลยว่าทริปนี้เหนื่อยนะ นอนตายทุกคืนหลังดำน้ำ หมดสภาพค่ะ


วันที่ 3 ก็เริ่มกันเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนก็แค่สถานที่ดำน้ำ คราวนี้ 2 dives ทางตอนเหนือของเหาะ ที่ Shark Bank และ Twin Barges จุดแรกเห็นเยอะมาก ปลาเล็ก ปลาใหญ่เยอะไปหมด มีทั้งกระเบนและเต่า เท่าที่ดำทริปนี้ Shark Bank ปลาเยอะสุดเลยค่ะ เสียดายที่มี incident หน้ากากหลุด แทบจมน้ำตาย เลยไม่ค่อยสนุกเท่าไร ดำต่อแบบร้องไห้ไปด้วย ตกใจมาก แต่ก็ขึ้นไม่ได้ ลงกันไปหมดแล้ว คลื่นแรงด้วย ขึ้นไปก็กลัวหาเรือไม่เจอ กัดฟันดำๆไป



แต่พอนึกย้อนไปก็ดีนะ ไม่งั้นคงได้เลิกดำน้ำ พอ dive ที่สองของวัน เราก็ไม่อยากลง เมาเรือด้วย แบบมึนมาก แล้วน้ำที่สำลักเข้าไปก็ยังออกไม่หมด แต่โดน dive lead จับลง เอาน้ำเย็นราดหัวให้หายเมาเรือ คนเรือจับใส่อุปกรณ์แล้วก็โยน back row ลงน้ำไปเลย พอตอนจะ deflate แล้วลงแค่นั้นแหละ panic เลยค่ะ แบบเห้ย ไม่ลงนะ จะขึ้นเรือ ไม่ไหว dive lead ก็ไม่ยอมจ้า ยังไงก็ต้องลง ถ้าจะต้องเกาะเขาไปตลอด 1 ชม ก็ต้องลง หืม กัดฟัน ตั้งสติลงไปอีกก็ได้ คิดว่า ใจๆละกัน บินมาถึงนี้ละ แล้วเราก็คิดถูก แค่ก้าวข้ามความกลัวไม่มีสติไปได้ ทุกอย่างก็โอเค twin barges สวนนะ มันเป็น wreck dive เรือสองลำตรงจุดนี้มีเต่าเยอะค่ะก็ดับดูเต่ากันไปเรื่อยๆ แล้วก็ประกาลังที่ติดอยู่ตามเรือ

หลังจากรอดชีวิตขึ้นฝั่งมาได้เราก็ไปคืนรถกัน ที่ท่าเรือในเมืองหลวงค่ะ แล้วเราก็ขึ้นเรือ ferry ไปเกาะที่เล็กที่สุดที่มีคนอยู่ชื่อ La Digue


La Digue
เกาะเล็กสุด ชอบสุด ไม่ต้องใช้รถ ถ้ามาใหม่จะมาอยู่เกาะนี้ยาวๆ เสียดายที่ครั้งนี้มาอยู่เกาะนี้แค่คืนเดียว เลยไม่ได้พักผ่อนชิวๆเท่าไหร่ เรามาดำน้ำกันค่ะ เห็นคนบอกว่าเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเห็น ฉลามวาฬที่นี่ แต่เราดำสองรอบก็ไม่เห็นนะ แถมไม่ค่อยมีอะไรอีกต่างหาก อีกอย่างเค้าไม่ได้พาเราไปจุด ที่ดีๆด้วยเพราะมีคนอื่นที่เคยไปแล้วเมื่อวันก่อน เซ็งมาก




ที่เกาะนี้เราพักกันที่โรงแรม Le Nautique คือดีมากค่ะ แล้วก็อาหารอร่อยด้วยอร่อยที่สุดในสามเกาะที่อยู่มาห้าวันเลยแหละ รร มี จักรยานให้เช่าด้วยนะเรายืมไปเที่ยวหาดกันแป๊บหนึ่ง หาด Anse Source d’Argent เป็นถ่ายหาดที่ถูกถ่ายภาพเยอะที่สุดในประเทศ ก็จะเป็นหาดที่ทุกคนเห็นในรูปตามไอจีอะคะ ที่คนชอบเอาโดรนไปถ่าย แล้วทีนี้ก็ยังมีเต่ายักษ์ giant tortoise ให้ดูด้วยนะ ใครมีเวลาว่างเยอะก็สามารถอยู่แถวนี้ได้ทั้งวันเลยค่ะมีทั้งร้านอาหารและบาร์ไปนั่งชิว ส่วนเรามีเวลาแค่แวะมาถ่ายรูปเพราะต้องขึ้นเรือรอบ 5 โมงเย็นข้ามไปอีกเกาะหนึ่ง







Praslin
เกาะสุดท้ายที่ไปคือเกาะ Praslin ห่างจาก La Digue 15 นาที แวะนอน 1 คืน เพื่อเที่ยวตัวเกาะ และพักร่างค่ะ หลังจากดำน้ำมา 3 วันติด เหนื่อยมากตื่นเช้า 6-7โมงทุกวัน ในที่สุดก็ได้ตื่น 10 โมง เราจ้างรถพร้อมคนขับให้มาพาเที่ยวรอบเกาะ 4 ชม ค่ะ ลุงแกดีมาก รู้เส้นทาง รู้จักทุกคน จัดเวลาให้เป็นอย่างดี พอเที่ยวเสร็จก็ไปส่งที่ท่าเรือ เราข้ามกลับไปนอนกันที่ Mahe ก่อนที่จะบินไป Mauritius ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น


จุดเด่นของเกาะ มีหาดทรายขาว Anse Lazio ทางเหนือ เราแวะไปถ่ายรูป แต่ไม่ได้เล่นน้ำ ถึงแม้น้ำสี turquiose จะน่าเล่นมากก็ตาม แดดที่ร้อนจัดทำให้เราสู้ไม่ไหว ลุงคนขับก็พาแวะหาดไปเรื่อย แล้วก็เข้าไปที่อุทยาน Valee de Mai ซึ่งเป็น UNESCO world heritage site ด้วยนะ มันเป็นป่าต้นปาล์ม มีปาล์ม 6 ชนิดที่ไม่มีที่อื่นในโลก (endemic species) หนึ่งในนั้นก็มีต้น Coco de Mer ต้นนี้มีเมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะจะคล้ายๆก้น นอกจากนี้ในอุทยานก็ยังมี นกและสัตว์ชนิดแปลกๆด้วย


พอเที่ยวเสร็จลุงก็พาแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตออร์แกนนิคเพื่อไปนั่งกินขนมและกาแฟก่อนไปส่งที่ท่าเรือ ข้ามกลับไป Mahe อย่างที่บอกประเทศเค้าเจริญค่ะนิยมของออกแกรนิตราคาก็แบบยุโรปเลย และเพราะเป็นเกาะด้วยอาหารส่วนมากจะนำเข้าทั้งนั้นที่เกาะไม่มีใช้ถุงพลาสติกนะคะเป็นถุงผ้าทั้งหมด

คืนสุดท้ายเราพักกันที่ airbnb ไม่ไกลจากสนามบินเพื่อที่จะได้สะดวกต่อการบินในวันต่อมา

Mauritius สวรรค์บนดิน คนเลยคิดว่ามา honeymoon


ตื่นมาก็บินกันข้ามประเทศลงใต้ไป 3 ชั่วโมง พอถึงก็รับรถที่สนามบินแล้วก็ขับไปเที่ยวไร่ชา Bois Cheri ค่าเข้ามีสองราคา แบบดูโรงงานกับไม่ดู เราเลือกที่จะไม่ดูขับรถเข้าไปในไร่ชาแล้วไปลองชาเฉยๆ ตอนแรกคิดว่าไร่เล็กๆ ที่ไหนได้ใหญ่เหมือนกันสวยด้วย ใครมาเที่ยวอย่าลืมแวะมานะคะไม่ไกลจากแอร์พอร์ตมาก


พอเสร็จจากตรงนี้เราก็ขับรถไปเที่ยวธรรมชาติต่อ ขับผ่านอุทยาน Black River Gorge แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวแล้วก็ขับไป Chamarel 7 colors Earth ต่อ

หลังจากนั้นก็ขับตรงไปที่โรงแรม Les 2 Canons ที่ Flic en Flac (อยู่ฝั่ง west) เราเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ 2 คืนเพราะสามารถขับรถไปเล่นกิจกรรมได้สะดวก แล้วพระอาทิตย์ตกยังฝั่งนี้ด้วย สวยมาก สวยแบบให้อภัยเลยว่าอากาศไม่ดี เล่นกิจกรรมในน้ำไม่ได้ ไป 1 วัน แล้วหลังจากนั้นน้ำก็ยัง visibility ตำ่อีก




เวลาว่างบนบกเราก็มีไปเที่ยว Maison Eureka  ซึ่งเป็นบ้านยุค colonial สร้างเมื่อปี 1830 บ้านหลังนี้มีน้ำตกในสวนหลังบ้านด้วย เดินลงไปเล่นน้ำได้ ใครอยากทานอาหารเที่ยงที่นี้ต้องจองนะคะ เราไม่ได้จอง มาถึงเต็มจ้า ใครจะไปรู้ละ นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เยอะ เราเลยขับไปห้างใกล้เพื่อกินข้าว ร้านที่ห้างก็เยอะดีค่ะ มีร้าน Paul bakery ด้วยนะ พวกเราเลยได้กินขนมถูกใจเลย


นอกจากนี้เราก็มีขับขึ้นเหนือไปพักแถว Grand Baie ตรงนี้จะอาหารอร่อยกว่า แล้วที่พักเป็น apartment ก็ถูกกว่าด้วย เราเช่า 2 ห้องนอนเลย เราชอบกินร้าน อิตาเลียน ชื่อ 1974 restaurant เส้นพาสต้าสดอร่อยมาก ราคาย่อมเยาด้วย

เพราะปัญหากับอากาศ และกิจกรรมที่โดนเปลี่ยนวัน เราเลยไม่มีเวลาขับรถไปเที่ยวฝั่ง east ของเกาะเลย วันสุดท้ายก่อนบินออกเล่น subscooter เสร็จ ก็เลยขับลงใต้ไปที่ Outrigger hotel เลย เพื่อที่จะได้ไปทัน afternoon tea และ happy hour ที่ The Plantation Club ซึ่งเป็น private club กลางวันจะเข้าได้ เฉพาะคนที่พักวิลล่าและห้องสวีท หรือจองผ่าน รร โดยตรง เราชอบคลับนี้มาก เงียบสงบ มีสระว่ายน้ำ แล้วก็ที่นั่งพักสบายๆ จิบชาตอนบ่าย ถ่ายรูปเล่นสวยๆ กับตึกแนว French Colonial ก่อนที่จะนั่งดื่ม cocktail รอ พระอาทิตย์ตก พอใกล้ถึงเวลาเราก็ค่อยเดินไปถ่ายรูปหน้าหาด พระอาทิตย์ตกตรงนี้จะสู้ตรง Flic en Flac ไม่ได้นะคะ แต่ก็ต้องมาเพราะตัว รร นี้แหละ


กิจกรรม Water activities
Scuba diving
เราดำกันตรง Flic en Flac เลย ตอนแรกจะต้องดำสองรอบ แต่เพราะอากาศเลยได้ดำรอบเดียว แต่ก็ดีแล้วเพราะมองไม่เห็น visibility แค่ 5 เมตร ยังดีที่เขาเลือกพาไปดำจุดที่สนุกๆ ให้มุดขึ้น มุดลงอุโมงถ้ำไปเรื่อย

[img]https://f.ptcdn.[b][/b]info/898/060/000/piann732nxN2XXLQvD1P-o.jpg[/img]




Seychelles Vlog
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Mauritius Vlog
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่