สวัสดีค่ะ เราค่อนข้างเป็นคนคิดมาก แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะมานั่งย้ำคิดย้ำอารมณ์ตลอด ล่าสุด เราเครียดกับคนที่รักเราที่จะเป็นหลานในไส้เลยกว่าได้ เข้าเรื่องเลยนะคะ
คนที่เรากล่าวมา ท่านคือยาย แต่ไม่ใช่ยายจริงๆ ที่จริงคือพี่เลี้ยงของเราเองค่ะ ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่ท่านเกือบจะอายุ 60 ปี จนถึงอายุ 73 ปี ท่านเลี้ยงเราตั้งแต่เด็กเข้าชั้นอนุบาล เนื่องจากย่าของเราแท้ๆ ขายพวงมาลัยตามสี่แยกตอนดึก เลยฝากให้พี่เลี้ยงเลี้ยงเรา สิ้นเดือนจะให้เงินประมาณเป็นหลายพันอยู่ ที่ย่าแท้ๆ ของเราขายพวงมาลัย เพราะเป็นรายได้เสริมหลังจากเกษียณออกจากราชการบำนาญได้ ย่าเราก็รวยแหละ มีเงินเป็นหลายล้าน แต่ท่านไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟ้อเกินความจำเป็น
การดูแลของพี่เลี้ยงเรา เขาดูแลแบบตามใจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บอกเลยค่ะ การเลี้ยงแบบตามใจของพี่เลี้ยง ไม่ได้กระทบอะไรกับนิสัยเราเลยค่ะ
ซื้ออะไรเขาก็ซื้อให้ ของเล่นก็ซื้อให้ จนเลยคำที่ว่าพี่เลี้ยงเป็นยายแทน จากนั้น เราก็เรียกยายมาตลอด ท่านนิสัยดีมาก ปกป้องเราจากคนหาเรื่อง ให้เงินซื้อขนม ขนาดเราคิดว่าเป็นยายจริงๆ เรารักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้เลย
เมื่อเราอายุ 16 เราก็ย้ายไปอยู่กับพี่เลี้ยง แต่มีไปหาดูและเป็นระยะ เพราะว่าย่าแท้ๆ ย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในหอของตัวเอง ไม่มีสิ่งอำนวยสะดวกเท่าไหร่ เงินไม่มีไถ่บ้าน เป็นหนี้เยอะจดหมดตัว เราเป็นส่วนหนึ่ง ตอนอายุ 10 ขวบ เราย้ายไปอยู่กับย่าแท้ๆ เหตุคือมีเรื่องทะเลาะกัน และเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ส่วนที่หนี้เยอะ ส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อลูกชายสุดที่รักของย่าแท้ๆ เล่นการพนันกู้ยืมเงินคนอื่น จนติดหนี้ 2 ล้านกว่าบาท ทีนี้เดือดร้อนสิ ทั้งเรา ย่า ตัวพ่อเองเดือดร้อน ต้องรับสิ่งที่ลูกชายของย่าทำไว้
เมื่อไปอยู่กับพี่เลี้ยง ท่านหาเงินให้เรา ท่านเลี้ยงเรา เลี้ยงเหลนแท้ๆ จากครอบครัวเดียวกัน ใช่สิ ค่าใช้จ่ายรายเดือนรวมทั้งหมดเกือบหมื่น ทั้งค่ากิน ค่าเน็ต ค่าของเครื่องใช้ ผ้าอ้อใฝ้ายเด็ก นมผง เราก็ช่วยเลี้ยง บางทีก็ปวดหัวกับเหลน คือเหลนสันพันธ์กับยายมาก จนดื้อกับเรา พังข้าวของบ้างไรบ้าง เราก็จับตาดู บางทีอยากรีแล็กซ์ก็เล่นโทรศัพท์ เราก็ไม่ได้โฟกัสมาก เหลนก็พังข้าวของ พอยายรู้ก็หาว่าความผิดเรา (เหลนดื้อจนพี่เลี้ยงปล่อยบ้างเป็นบางเวลา) เราเฉยๆ มาก พอผ่านไปเรื่อยๆ ล้างจาน กวาดบ้าน ทำความสะอาด ปูที่นอน ฝากซื้อยาให้ ฝากซื้อข้าวต้ม ดูแลเหลน ชงนมให้ ดูแลเครื่องแต่งกายกับทำความสะอาดให้ เราก็แทบจะไม่บ่น ฝากของซื้อล่าสุด เดินทีเกือบโลแถมเป็นเวลาตอนเที่ยง เราก็บ่นแต่ก็ไป ไม่ได้ทำใจไปหรอก เพราะว่าถ้าเราแกตัวไป ปวดเมื่อ ดูแลน้องหนักกว่าเราครึ่งนึง เลี้ยงชีพเรา ดีกับเรา เราคิดอย่างนี้ไปซื้ออย่างมีความสุข โดยไม่คิดอะไร
แต่เวลาทะเลาะ คือไม่ไหวแต่เราทนได้แหละ ท่านพูดเเต่เรามีสิทธิ์พูดน้อยจริงๆ ท่านสอนบอกเราว่าเออ คนเราต้องดูทางข้างหน้าเป็นตรงของตัวเองนะ ดูเฉลี่ยเป็นวันๆ ว่าเอ๊ะ คนเราต้องรู้นะอย่างนู้นอย่างนี้ เรื่องงานว่าเราขี้เกียจจนเกินคำว่าสันหลังยาวไปแล้ว ใช่ค่ะ เราไม่ค่อยพอใจ เรารู้ว่าท่านหวังดี อยากให้มีอนาคต อยากให้มีคุณภาพ คิดแง่มุมดีๆ แต่วิธีของท่านไหม?
เราเป็นที่ยอมรับความเป็นจริงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่ท่านพูดมาเหมือนเราเป็นภาระ เป็นเสี้ยมหนาม จนเราคิดที่จะออกจากบ้าน ดูถูกเราแต่สิ่งที่ดูถูก เราคิดว่าเป็นแรงผลักดันไปอนาคตที่สดใสได้ ท่านชอบเหมารวมว่าเราเป็นสิ่งที่ท่านพูดไปหมด คิดไปหมด หลายครั้งที่คิดว่าเรามีเป้าหมายต่ำมากๆ ทางชีวิต อาชีพ การเงิน เราก็เข้าใจท่าน แต่ท่านไม่ค่อยเข้าใจเราเลย รู้ว่าอยากได้กำลังใจ ความรัก ความสบาย แต่ยังงี้ล่ะ? เราคิดหลสยครั้งว่า ถ้ามีเงินเราจะเลี้ยงท่านเอง ถ้ามีแรงก็ช่วยทำงานบ้าน เพราะเราก็เรียนคู่ขนาด ตอนนี้ยังทำงานพาร์ทไทม์ไม่ค่อยได้
แต่บางข้อที่ท่านพูดถูก เช่น
- พูดคำหยาบ (เราพูดคำหยาบนะ แต่เคารพสิทธิคนอื่น ไม่ถึงกับพื้นที่สาธารณะนี่พูดคำหยาบเสียงดังลั่น)
- ใช้เงินเปลือง (ใช่ค่ะ เราใช้เงินวันละ 100-150 แต่เราเอาเงินใส่กระป๋องเก็บเงิน 20%-50% ตามรายรับที่ได้เงินไปร.ร.)
- พูดมาก (เราพูดมาก แต่เป็นที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นได้)
- ไม่ใส่ใจ (หมายถึงว่าคำพูดบางทีตรงเกินไป แต่ในใจแคร์มาก คิดตลอดเวลา แต่ไม่กล้าแสดงออก)
- อยู่กับเด็กไม่ได้ (ส่วนหนึ่งค่ะ คือเหลนหยิกหนังกำพร้าใต้ตา ตบหัวเรา หนักสุดคือเอามือตีจมูกเลยเจ็บ แกล้งเราด้วย ทำหน้าตาดุๆ ตีพอเบาะๆ แป๊ะเบาๆ จากนั้นเหลนร้องไห้ไปฟ้องว่าเราทำ เหลนรู้เรื่องนะคะ ถึงแม้นางจะ 2 ขวบก็ตาม)
- ชอบแกล้ง (แกล้งเหลนค่ะ เหลนแก่นมาก แต่ในใจรักมาก อ่านขีดข้างบนไม่แปลกใจเลยค่ะ)
- ขี้เกียจทำงาน (เราว่าเราขี้เกียจนะคะ แต่อยู่ได้ถ้าคนอื่นใช้หรือทำเอง ไม่ได้มีอารมณ์ถึงขนาดศิลปินค่ะ แต่ไอ้คำว่าสันหลังยาวนี่สิ แทบถอนหายใจไม่ทัน)
- เราโรคจิต (หมายถึงว่าเราชอบพูดกับท่านว่า นี่ นางแบบ, ยายปั้น, เซ็กซี่ คำพูดที่เราพูดมีที่มาที่ไปนะคะ555 บางทีตีก้นแล้วบอกกับเหลนว่า สไลม์นะ ราคา 2 แสน ท่านน่ารักดี)
- เวชสำอางเยอะ (คือใช้ทั้งยาสีฟัน แชมพู โฟมล้างหน้า สบู่ ผงมาส์คสมุนไพร น้ำเกลือ เซรั่ม ครีม โลชั่น ครีมกันแดด แป้งฝุ่นเด็ก อายครีม คือเราเป็นสิวอ่ะค่ะหลังจากสบู่ จากนั้นซื้อครีมจากเงินออมในกระปุก พอซื้อบางตัวก็ไม่ได้ใช้555)
- คนที่ทำอะไรช้า (เช่นแต่งตัวค่ะ ถ้ารวมอาบน้ำด้วยก็ เฉลี่ย 40 นาที
- เสพนม (เราเคยทะเลาเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อย ดื่มนมวันละ 3 กล่อง
จริงเยอะกว่านี้นะคะ ละเอียดเกินไปเดี๋ยวขี้เกียจ จริงๆ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
เราเป็นคนที่คิดรอบคอบพอตัวนะคะ เป้าหมายชีวิตในความเป็นจริงสูงมาก อยากมีอาชีพเป็นจิตรกร นักเขียนนิยาย เขียนหนังสือการ์ตูน แพทย์ เขียนโปรแกรม ทำแชแนลบนสื่อ มีรายการเป็นของตัวเอง เรามีหลายอย่างมากค่ะ เพื่อนใหม่เราก็พูดเรื่องส่วนตัวแค่ 20% ถ้าเผยมากกว่านี้ เดี๋ยวคนอื่นมองเราเป็นคนให้คนอื่นเห็นใจ เราเป็นคนที่ชอบทำงานเเบบสู้ชีวิต และปิดทองหลังพระ เรายิ่งมีคนเข้าใจเรามากขึ้น ยิ่งส่งผลผลักดันให้ดีขึ้นได้ค่ะ แต่เเง่ลบ เราไม่คิดอะไรมากค่ะ ปลงบ้าง ถ้าเรื่องจริง เราจะค่อยพัฒนารับคำติดีมาล้างนิสัยเบ๊เป็นนิสัยเป็นที่ยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้น
^^
เอ๊ะ พิมพ์อะไรไป๊555
ออกทะเลเยอะ
คนรอบกายที่ดูแลเราดีที่สุด ใช่ว่าจะเข้าใจเราเสมอไป (มีนอกประเด็น)
คนที่เรากล่าวมา ท่านคือยาย แต่ไม่ใช่ยายจริงๆ ที่จริงคือพี่เลี้ยงของเราเองค่ะ ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่ท่านเกือบจะอายุ 60 ปี จนถึงอายุ 73 ปี ท่านเลี้ยงเราตั้งแต่เด็กเข้าชั้นอนุบาล เนื่องจากย่าของเราแท้ๆ ขายพวงมาลัยตามสี่แยกตอนดึก เลยฝากให้พี่เลี้ยงเลี้ยงเรา สิ้นเดือนจะให้เงินประมาณเป็นหลายพันอยู่ ที่ย่าแท้ๆ ของเราขายพวงมาลัย เพราะเป็นรายได้เสริมหลังจากเกษียณออกจากราชการบำนาญได้ ย่าเราก็รวยแหละ มีเงินเป็นหลายล้าน แต่ท่านไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟ้อเกินความจำเป็น
การดูแลของพี่เลี้ยงเรา เขาดูแลแบบตามใจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซื้ออะไรเขาก็ซื้อให้ ของเล่นก็ซื้อให้ จนเลยคำที่ว่าพี่เลี้ยงเป็นยายแทน จากนั้น เราก็เรียกยายมาตลอด ท่านนิสัยดีมาก ปกป้องเราจากคนหาเรื่อง ให้เงินซื้อขนม ขนาดเราคิดว่าเป็นยายจริงๆ เรารักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้เลย
เมื่อเราอายุ 16 เราก็ย้ายไปอยู่กับพี่เลี้ยง แต่มีไปหาดูและเป็นระยะ เพราะว่าย่าแท้ๆ ย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในหอของตัวเอง ไม่มีสิ่งอำนวยสะดวกเท่าไหร่ เงินไม่มีไถ่บ้าน เป็นหนี้เยอะจดหมดตัว เราเป็นส่วนหนึ่ง ตอนอายุ 10 ขวบ เราย้ายไปอยู่กับย่าแท้ๆ เหตุคือมีเรื่องทะเลาะกัน และเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ส่วนที่หนี้เยอะ ส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อลูกชายสุดที่รักของย่าแท้ๆ เล่นการพนันกู้ยืมเงินคนอื่น จนติดหนี้ 2 ล้านกว่าบาท ทีนี้เดือดร้อนสิ ทั้งเรา ย่า ตัวพ่อเองเดือดร้อน ต้องรับสิ่งที่ลูกชายของย่าทำไว้
เมื่อไปอยู่กับพี่เลี้ยง ท่านหาเงินให้เรา ท่านเลี้ยงเรา เลี้ยงเหลนแท้ๆ จากครอบครัวเดียวกัน ใช่สิ ค่าใช้จ่ายรายเดือนรวมทั้งหมดเกือบหมื่น ทั้งค่ากิน ค่าเน็ต ค่าของเครื่องใช้ ผ้าอ้อใฝ้ายเด็ก นมผง เราก็ช่วยเลี้ยง บางทีก็ปวดหัวกับเหลน คือเหลนสันพันธ์กับยายมาก จนดื้อกับเรา พังข้าวของบ้างไรบ้าง เราก็จับตาดู บางทีอยากรีแล็กซ์ก็เล่นโทรศัพท์ เราก็ไม่ได้โฟกัสมาก เหลนก็พังข้าวของ พอยายรู้ก็หาว่าความผิดเรา (เหลนดื้อจนพี่เลี้ยงปล่อยบ้างเป็นบางเวลา) เราเฉยๆ มาก พอผ่านไปเรื่อยๆ ล้างจาน กวาดบ้าน ทำความสะอาด ปูที่นอน ฝากซื้อยาให้ ฝากซื้อข้าวต้ม ดูแลเหลน ชงนมให้ ดูแลเครื่องแต่งกายกับทำความสะอาดให้ เราก็แทบจะไม่บ่น ฝากของซื้อล่าสุด เดินทีเกือบโลแถมเป็นเวลาตอนเที่ยง เราก็บ่นแต่ก็ไป ไม่ได้ทำใจไปหรอก เพราะว่าถ้าเราแกตัวไป ปวดเมื่อ ดูแลน้องหนักกว่าเราครึ่งนึง เลี้ยงชีพเรา ดีกับเรา เราคิดอย่างนี้ไปซื้ออย่างมีความสุข โดยไม่คิดอะไร
แต่เวลาทะเลาะ คือไม่ไหวแต่เราทนได้แหละ ท่านพูดเเต่เรามีสิทธิ์พูดน้อยจริงๆ ท่านสอนบอกเราว่าเออ คนเราต้องดูทางข้างหน้าเป็นตรงของตัวเองนะ ดูเฉลี่ยเป็นวันๆ ว่าเอ๊ะ คนเราต้องรู้นะอย่างนู้นอย่างนี้ เรื่องงานว่าเราขี้เกียจจนเกินคำว่าสันหลังยาวไปแล้ว ใช่ค่ะ เราไม่ค่อยพอใจ เรารู้ว่าท่านหวังดี อยากให้มีอนาคต อยากให้มีคุณภาพ คิดแง่มุมดีๆ แต่วิธีของท่านไหม?
เราเป็นที่ยอมรับความเป็นจริงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่ท่านพูดมาเหมือนเราเป็นภาระ เป็นเสี้ยมหนาม จนเราคิดที่จะออกจากบ้าน ดูถูกเราแต่สิ่งที่ดูถูก เราคิดว่าเป็นแรงผลักดันไปอนาคตที่สดใสได้ ท่านชอบเหมารวมว่าเราเป็นสิ่งที่ท่านพูดไปหมด คิดไปหมด หลายครั้งที่คิดว่าเรามีเป้าหมายต่ำมากๆ ทางชีวิต อาชีพ การเงิน เราก็เข้าใจท่าน แต่ท่านไม่ค่อยเข้าใจเราเลย รู้ว่าอยากได้กำลังใจ ความรัก ความสบาย แต่ยังงี้ล่ะ? เราคิดหลสยครั้งว่า ถ้ามีเงินเราจะเลี้ยงท่านเอง ถ้ามีแรงก็ช่วยทำงานบ้าน เพราะเราก็เรียนคู่ขนาด ตอนนี้ยังทำงานพาร์ทไทม์ไม่ค่อยได้
แต่บางข้อที่ท่านพูดถูก เช่น
- พูดคำหยาบ (เราพูดคำหยาบนะ แต่เคารพสิทธิคนอื่น ไม่ถึงกับพื้นที่สาธารณะนี่พูดคำหยาบเสียงดังลั่น)
- ใช้เงินเปลือง (ใช่ค่ะ เราใช้เงินวันละ 100-150 แต่เราเอาเงินใส่กระป๋องเก็บเงิน 20%-50% ตามรายรับที่ได้เงินไปร.ร.)
- พูดมาก (เราพูดมาก แต่เป็นที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นได้)
- ไม่ใส่ใจ (หมายถึงว่าคำพูดบางทีตรงเกินไป แต่ในใจแคร์มาก คิดตลอดเวลา แต่ไม่กล้าแสดงออก)
- อยู่กับเด็กไม่ได้ (ส่วนหนึ่งค่ะ คือเหลนหยิกหนังกำพร้าใต้ตา ตบหัวเรา หนักสุดคือเอามือตีจมูกเลยเจ็บ แกล้งเราด้วย ทำหน้าตาดุๆ ตีพอเบาะๆ แป๊ะเบาๆ จากนั้นเหลนร้องไห้ไปฟ้องว่าเราทำ เหลนรู้เรื่องนะคะ ถึงแม้นางจะ 2 ขวบก็ตาม)
- ชอบแกล้ง (แกล้งเหลนค่ะ เหลนแก่นมาก แต่ในใจรักมาก อ่านขีดข้างบนไม่แปลกใจเลยค่ะ)
- ขี้เกียจทำงาน (เราว่าเราขี้เกียจนะคะ แต่อยู่ได้ถ้าคนอื่นใช้หรือทำเอง ไม่ได้มีอารมณ์ถึงขนาดศิลปินค่ะ แต่ไอ้คำว่าสันหลังยาวนี่สิ แทบถอนหายใจไม่ทัน)
- เราโรคจิต (หมายถึงว่าเราชอบพูดกับท่านว่า นี่ นางแบบ, ยายปั้น, เซ็กซี่ คำพูดที่เราพูดมีที่มาที่ไปนะคะ555 บางทีตีก้นแล้วบอกกับเหลนว่า สไลม์นะ ราคา 2 แสน ท่านน่ารักดี)
- เวชสำอางเยอะ (คือใช้ทั้งยาสีฟัน แชมพู โฟมล้างหน้า สบู่ ผงมาส์คสมุนไพร น้ำเกลือ เซรั่ม ครีม โลชั่น ครีมกันแดด แป้งฝุ่นเด็ก อายครีม คือเราเป็นสิวอ่ะค่ะหลังจากสบู่ จากนั้นซื้อครีมจากเงินออมในกระปุก พอซื้อบางตัวก็ไม่ได้ใช้555)
- คนที่ทำอะไรช้า (เช่นแต่งตัวค่ะ ถ้ารวมอาบน้ำด้วยก็ เฉลี่ย 40 นาที
- เสพนม (เราเคยทะเลาเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อย ดื่มนมวันละ 3 กล่อง
จริงเยอะกว่านี้นะคะ ละเอียดเกินไปเดี๋ยวขี้เกียจ จริงๆ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
เราเป็นคนที่คิดรอบคอบพอตัวนะคะ เป้าหมายชีวิตในความเป็นจริงสูงมาก อยากมีอาชีพเป็นจิตรกร นักเขียนนิยาย เขียนหนังสือการ์ตูน แพทย์ เขียนโปรแกรม ทำแชแนลบนสื่อ มีรายการเป็นของตัวเอง เรามีหลายอย่างมากค่ะ เพื่อนใหม่เราก็พูดเรื่องส่วนตัวแค่ 20% ถ้าเผยมากกว่านี้ เดี๋ยวคนอื่นมองเราเป็นคนให้คนอื่นเห็นใจ เราเป็นคนที่ชอบทำงานเเบบสู้ชีวิต และปิดทองหลังพระ เรายิ่งมีคนเข้าใจเรามากขึ้น ยิ่งส่งผลผลักดันให้ดีขึ้นได้ค่ะ แต่เเง่ลบ เราไม่คิดอะไรมากค่ะ ปลงบ้าง ถ้าเรื่องจริง เราจะค่อยพัฒนารับคำติดีมาล้างนิสัยเบ๊เป็นนิสัยเป็นที่ยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้น
^^
เอ๊ะ พิมพ์อะไรไป๊555
ออกทะเลเยอะ