ปกติ พนักงานสอบสวนจะแม่นในข้อกฎหมาย
อะไรที่ไม่เข้าข้อกฎหาย พนักงานสอบสวนจะแนะนำและชี้แจงแนวทางที่ถูกต้องให้
เช่น โดนลักทรัพย์ ผู้เสียหาย "คิดว่า" "เชื่อว่า" "รู้สึกว่า" คน ๆ นั้นแน่ ๆ เป็นผู้ลัก
ก็เดินฉับ ๆ ขึ้นโรงพักแจ้งความ
อย่างนี้ พนักงานสอบสวนไม่แค่รับแจ้งตามที่แจ้งนะครับ แต่ต้องไถ่ถาม สอบปากคำให้ชัด
อาจสอบปากคำว่า มีหลักฐานอะไร กล้องวงจรปิดมีไหม มีคนเห็นขโมยไหม ฯลฯ
จนมีพยานหลักฐาน "น่าเชื่อว่า" ผู้ถูกแจ้งความได้กระทำความผิดจริง ๆ
หากไม่มีหลักฐานอะไรเลย หรือหลักฐานอ่อน พนักงานสอบสวนมักจะชี้แจงว่า อย่าแจ้งความเลย
เพราะโอกาสสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้องมีสูงมาก แล้วจะโดนฟ้องกลับ
นี่คือคุณสมบัติของพนักงานสอบสวนที่ดีครับ
แต่ที่แย่ ๆ ก็มี
ประเภท อยากโชว์พาว อยากอวดเก่ง หรือมีนอกมีในปั้นคดีให้
พอไม่เข้าข้อกฎหมาย ไม่มีหลักฐานเอาผิด คนซวยก็คือคนแจ้งความ โดนฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จ
โจทก์ก็กลายเป็นจำเลยเอาง่าย ๆ
แจ้งความเท็จนี่ ความผิดสำเร็จตั้งแต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งแล้วครับ
การแจ้งความเอาผิดใคร จึงต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัด มีหลักฐานที่แน่นหนา เข้าข้อกฎหมาย
ไม่ใช่แจ้งตามความรู้สึก ตามความเชื่อ หรือด้วยเหตุอื่นใด แบบว่า โดนแจ้งความเลยแจ้งความคืน ซวยซ้ำเลยครับ
หลายคดี พนักงานสอบสวนก็พลาด พลาดแบบไม่น่าเชื่อ
เคราะห์กรรมก็ไปตกกับผู้เสียหาย ที่เสียหายแล้วไม่ได้อะไรเยียวยา
อย่างคดีรถตู่คอนเทนเนอร์ล้มทับฟอร์จูนเนอร์ ที่ผู้เสียหายได้แต่กลอกตา
คือ พอเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนก็ตรวจหาหลักฐาน
พบว่า คนขับรถตู้คอนเทนเนอร์เมา เลยแจ้งข้อหาเมาแล้วขับส่งฟ้องศาลไปก่อน
ศาลก็พิพากษาลงโทษไปตามที่ฟ้อง จบข้อหาไป
แล้วพนักงานสอบสวนก็ฟ้องในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและร่างกาย
ผลก็คือ ศาลยกฟ้อง เพราะถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ ก็ฟ้องไปแล้วในข้อหาเมาแล้วขับ จะมาฟ้องซ้ำไม่ได้
กฎหมายบอกว่า ความผิดกรรมเดียว จะกี่ข้อหา ก็ต้องฟ้องพร้อมกันทีเดียว จะแยกฟ้องทีละข้อหาหลายครั้งไม่ได้
เมื่อฟ้องข้อหาเมาแล้วขับ คดีจบไปแล้ว พิพากษาไปแล้ว ถือว่าความผิดกรรมนั้นสิ้นสุดไปแล้ว
จะมาฟ้องข้อหาอื่น ๆ อีกไม่ได้ ถือว่าฟ้องซ้ำ ศาลจึงยกฟ้อง ผู้เสียหายก็ได้แต่กลอกตา
นี่เรียกว่า พนักงานสอบสวนก็พลาด ผู้เสียหายก็พลาด ที่อาจได้นักกฎหมายเห่ย ๆ มาเป็นผู้ช่วยเหลือทางคดี
จึงเป็นบทเรียนครับ ว่าทุกคนต้องรู้กฎหมาย อย่านึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว
นึกว่าตัวเองเป็นโจทก์ ได้เปรียบ เจอพนักงานสอบสวนเห่ย ๆ ก็ซวยเอาง่าย ๆ
ตัวเองเสียหาย ไว้วางใจให้พนักงานสอบสวนทำคดี เกิดการฟ้องซ้ำ ก็ทำอะไรไม่ได้
การจะแจ้งความใคร ในเรื่องใด ๆ อย่าทำไปแบบไม่รู้กฎหมาย
เพราะโทษของการแจ้งความเท็จนั้น มักไม่ได้รับการรอลงอาญา ก็มุ่งเอาคนอื่นเข้าคุก ศาลท่านเลยให้คุกเป็นรางวัล
ความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดินนั้น ยอมความไม่ได้
อย่างการหมิ่นประมาท หากผู้แจ้งความถอนแจ้งความ ถอนฟ้อง คดีก็จบไป เพราะเป็นคดีที่ยอมความได้
แต่แจ้งความเท็จ เมื่อเกิดความผิดแล้ว ยังไงคดีก็ต้องเดินไปจนสิ้นสุดกระบวนการ
ความผิดฐานแจ้งความเท็จ ไม่ใช่แค่ต้องแจ้งความเท็จแล้วถึงผิด
แต่การตอบคำถาม ให้ปากคำ การมอบเอกสาร กรอกเอกสารที่เป็นเท็จ ก็ถือเป็นการแจ้งความเท็จ
ฉะนั้น อย่านอนใจ ว่าแจ้งความแล้ว ตำรวจรับแจ้งแล้ว ก็สบายใจ
เพราะหากเรื่องที่แจ้งไม่มีองค์ประกอบทางกฎหมายที่เพียงพอ ก็กลายเป็นแจ้งความเท็จ
แทนที่คนอื่นจะโดน กลับเป็นคนแจ้งความโดนซะเอง
ใครจะแจ้งความเรื่องอะไร ปรึกษาพนักงานสอบสวนให้ดี ดูพนักงานสอบสวนให้ดี
เพราะหากเจอพนักงานสอบสวนมั่ว ๆ แทนที่คนอื่นจะเข้าคุก ก็กลายเป็นเราเข้าคุกแทน
หรือยิ่งประเภท คิดว่ามีนอกมีในกับพนักงานสอบสวนแล้ว สบายแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มาก
เพราะไม่แค่ข้อหาแจ้งความเท็จจะเกิด แต่ข้อหาหนักหนาสาหัสอื่น ๆ จะตามมาเป็นพรวน
เมื่อย จบ
เมา ๆ ยาดองเขียนทู้นี้ อาจยาวเฟ้อไปบ้าง แต่รับรองไม่มั่วในข้อกฎหมาย
ทู้หน้า จะมาร่ายเรื่องว่า แล้วอย่างไร หากไม่สั่งฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง จึงไม่เป็นการแจ้งความเท็จ
เพื่อดับฝันของตัวกร่างที่ขู่ฟ่อ ๆ ว่าจะฟ้องกลับคนนั้นคนนี้แบบไม่รู้ประสาทางกฎหมาย
บทเรียน : พนักงานสอบสวน กับ ข้อกฎหมาย ผู้เสียหายซวยซ้ำ และ โจทก์กลายเป็นจำเลย ............. โดย ตระกองขวัญ
อะไรที่ไม่เข้าข้อกฎหาย พนักงานสอบสวนจะแนะนำและชี้แจงแนวทางที่ถูกต้องให้
เช่น โดนลักทรัพย์ ผู้เสียหาย "คิดว่า" "เชื่อว่า" "รู้สึกว่า" คน ๆ นั้นแน่ ๆ เป็นผู้ลัก
ก็เดินฉับ ๆ ขึ้นโรงพักแจ้งความ
อย่างนี้ พนักงานสอบสวนไม่แค่รับแจ้งตามที่แจ้งนะครับ แต่ต้องไถ่ถาม สอบปากคำให้ชัด
อาจสอบปากคำว่า มีหลักฐานอะไร กล้องวงจรปิดมีไหม มีคนเห็นขโมยไหม ฯลฯ
จนมีพยานหลักฐาน "น่าเชื่อว่า" ผู้ถูกแจ้งความได้กระทำความผิดจริง ๆ
หากไม่มีหลักฐานอะไรเลย หรือหลักฐานอ่อน พนักงานสอบสวนมักจะชี้แจงว่า อย่าแจ้งความเลย
เพราะโอกาสสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้องมีสูงมาก แล้วจะโดนฟ้องกลับ
นี่คือคุณสมบัติของพนักงานสอบสวนที่ดีครับ
แต่ที่แย่ ๆ ก็มี
ประเภท อยากโชว์พาว อยากอวดเก่ง หรือมีนอกมีในปั้นคดีให้
พอไม่เข้าข้อกฎหมาย ไม่มีหลักฐานเอาผิด คนซวยก็คือคนแจ้งความ โดนฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จ
โจทก์ก็กลายเป็นจำเลยเอาง่าย ๆ
แจ้งความเท็จนี่ ความผิดสำเร็จตั้งแต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งแล้วครับ
การแจ้งความเอาผิดใคร จึงต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัด มีหลักฐานที่แน่นหนา เข้าข้อกฎหมาย
ไม่ใช่แจ้งตามความรู้สึก ตามความเชื่อ หรือด้วยเหตุอื่นใด แบบว่า โดนแจ้งความเลยแจ้งความคืน ซวยซ้ำเลยครับ
หลายคดี พนักงานสอบสวนก็พลาด พลาดแบบไม่น่าเชื่อ
เคราะห์กรรมก็ไปตกกับผู้เสียหาย ที่เสียหายแล้วไม่ได้อะไรเยียวยา
อย่างคดีรถตู่คอนเทนเนอร์ล้มทับฟอร์จูนเนอร์ ที่ผู้เสียหายได้แต่กลอกตา
คือ พอเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนก็ตรวจหาหลักฐาน
พบว่า คนขับรถตู้คอนเทนเนอร์เมา เลยแจ้งข้อหาเมาแล้วขับส่งฟ้องศาลไปก่อน
ศาลก็พิพากษาลงโทษไปตามที่ฟ้อง จบข้อหาไป
แล้วพนักงานสอบสวนก็ฟ้องในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและร่างกาย
ผลก็คือ ศาลยกฟ้อง เพราะถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ ก็ฟ้องไปแล้วในข้อหาเมาแล้วขับ จะมาฟ้องซ้ำไม่ได้
กฎหมายบอกว่า ความผิดกรรมเดียว จะกี่ข้อหา ก็ต้องฟ้องพร้อมกันทีเดียว จะแยกฟ้องทีละข้อหาหลายครั้งไม่ได้
เมื่อฟ้องข้อหาเมาแล้วขับ คดีจบไปแล้ว พิพากษาไปแล้ว ถือว่าความผิดกรรมนั้นสิ้นสุดไปแล้ว
จะมาฟ้องข้อหาอื่น ๆ อีกไม่ได้ ถือว่าฟ้องซ้ำ ศาลจึงยกฟ้อง ผู้เสียหายก็ได้แต่กลอกตา
นี่เรียกว่า พนักงานสอบสวนก็พลาด ผู้เสียหายก็พลาด ที่อาจได้นักกฎหมายเห่ย ๆ มาเป็นผู้ช่วยเหลือทางคดี
จึงเป็นบทเรียนครับ ว่าทุกคนต้องรู้กฎหมาย อย่านึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว
นึกว่าตัวเองเป็นโจทก์ ได้เปรียบ เจอพนักงานสอบสวนเห่ย ๆ ก็ซวยเอาง่าย ๆ
ตัวเองเสียหาย ไว้วางใจให้พนักงานสอบสวนทำคดี เกิดการฟ้องซ้ำ ก็ทำอะไรไม่ได้
การจะแจ้งความใคร ในเรื่องใด ๆ อย่าทำไปแบบไม่รู้กฎหมาย
เพราะโทษของการแจ้งความเท็จนั้น มักไม่ได้รับการรอลงอาญา ก็มุ่งเอาคนอื่นเข้าคุก ศาลท่านเลยให้คุกเป็นรางวัล
ความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดินนั้น ยอมความไม่ได้
อย่างการหมิ่นประมาท หากผู้แจ้งความถอนแจ้งความ ถอนฟ้อง คดีก็จบไป เพราะเป็นคดีที่ยอมความได้
แต่แจ้งความเท็จ เมื่อเกิดความผิดแล้ว ยังไงคดีก็ต้องเดินไปจนสิ้นสุดกระบวนการ
ความผิดฐานแจ้งความเท็จ ไม่ใช่แค่ต้องแจ้งความเท็จแล้วถึงผิด
แต่การตอบคำถาม ให้ปากคำ การมอบเอกสาร กรอกเอกสารที่เป็นเท็จ ก็ถือเป็นการแจ้งความเท็จ
ฉะนั้น อย่านอนใจ ว่าแจ้งความแล้ว ตำรวจรับแจ้งแล้ว ก็สบายใจ
เพราะหากเรื่องที่แจ้งไม่มีองค์ประกอบทางกฎหมายที่เพียงพอ ก็กลายเป็นแจ้งความเท็จ
แทนที่คนอื่นจะโดน กลับเป็นคนแจ้งความโดนซะเอง
ใครจะแจ้งความเรื่องอะไร ปรึกษาพนักงานสอบสวนให้ดี ดูพนักงานสอบสวนให้ดี
เพราะหากเจอพนักงานสอบสวนมั่ว ๆ แทนที่คนอื่นจะเข้าคุก ก็กลายเป็นเราเข้าคุกแทน
หรือยิ่งประเภท คิดว่ามีนอกมีในกับพนักงานสอบสวนแล้ว สบายแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มาก
เพราะไม่แค่ข้อหาแจ้งความเท็จจะเกิด แต่ข้อหาหนักหนาสาหัสอื่น ๆ จะตามมาเป็นพรวน
เมื่อย จบ
เมา ๆ ยาดองเขียนทู้นี้ อาจยาวเฟ้อไปบ้าง แต่รับรองไม่มั่วในข้อกฎหมาย
ทู้หน้า จะมาร่ายเรื่องว่า แล้วอย่างไร หากไม่สั่งฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง จึงไม่เป็นการแจ้งความเท็จ
เพื่อดับฝันของตัวกร่างที่ขู่ฟ่อ ๆ ว่าจะฟ้องกลับคนนั้นคนนี้แบบไม่รู้ประสาทางกฎหมาย