ผ่าตัดเนื้องอกในผนังโพรงมดลูก ขนาด 7 cm เดือนตุลาคม 2561 เบิกประกันสังคมโรงพยาบาลเอกชน
ดิฉันอายุ 35 แต่งงานมา 8 ปี แต่ยังไม่มีลูก ไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยนอนโรงพยาบาล
อาการที่พบ : อาการปวดท้องประจำเดือนมาก ปวดมาประมาณ 1 ปี ปจด.มาวัน 1-2 ปวดเกร็งช่องท้อง
ปวดเชิงกราน ไม่มีแรงจะเดิน แต่ไม่ได้ไปหาหมอ
ค่าใช้จ่าย : จ่ายส่วนต่าง 2,500.-บาท เพราะเราเปลี่ยนห้องรวม เป็นห้องคู่แทน ราคารวมอาหาร พยาบาลแล้ว
ส่วนที่เหลือประกันสังคมจ่ายทั้งหมด ราคาประมาณ 80,000.-บาท
ตรวจเจอเนื้องอกโดยบังเอิญ โดยวันนั้นปวดท้อง เริ่มจากปวดน้อย จนถึงปวดมาก เราไปถึงโรงพยาบาล
เวลา 17.00 น. อยู่จนถึง 24.00 น. เป็นเวลา 7 ชั่วโมง และเริ่มอวกเป็นระยะ นั่งบนรถเข็นไม่ได้ ต้องนอน
ให้หมอเดินมาตรวจ ฉีดยาแก้เวียนหัว ก็ยังไม่หาย จนแผนกประกันสังคมปิด บุรุษพยาบาลเข็นเราลงไปรอ
ห้องฉุกเฉิน นอนรอตรวจหาสาเหตุ ทั้งเอ๊กซเรย์ดูช่องท้อง สุดท้ายหมอตรวจภายใน เจอก้อนเนื้อนูนออกมาจากผนังโพรงมดลูก หมอก็กดว่าเจ็บมั้ย เราบอกไม่เจ็บ ก็ส่งต่อไปห้องซาวด์ต่อ ใช้กล้องซาวด์ในช่องคลอด สรุปเจอก้อนเนื้อ ขนาด 7 cm หมอเลยนัดให้ตรวจในวันรุ่งขึ้นแผนกหมอสูติอีกรอบ ว่าเป็นเพราะอะไร
แต่อาการขณะนั้น ไม่ปวดท้อง และไม่อวกแล้ว เลยกลับบ้านได้
เช้าวันรุ่งขึ้น 12 สิงหาคม 2561 พบหมอสูติโดยตรง หมอก็ตรวจภายใน คลำเจอก้อน และซาวด์ดูช่องคลอด เจอเนื้องอกจริง ๆ ขนาด 7 cm หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องเท่านั้น เพราะขนาดใหญ่ ปล่อยไว้ก็อาจจะกลายเป็นเนื้อร้าย และจะทำให้ปวดประจำเดือน แต่ที่อาการปวดท้อง และอาเจียน สาเหตุอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ หมอก็นัดวันเจาะเลือด ตรวจร่างกาย ก่อนผ่าตัด 1 อาทิตย์ และลงนัดวันผ่าตัด 12 ตุลาคม 2561
(ระยะเวลา 2 เดือน)
นอนโรงพยาบาล 4 คืน 5 วัน (ตามกำหนดระยะเวลาการผ่าตัด)
วันที่ 1 เตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทานอาหารอ่อน
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยง ก็เจาะเลือดหากรุ๊ปเลือด เพื่อสำรองเลือดในการผ่าตัด และฉีดยาหยุดเลือดประจำเดือน ประจำเดือนมาได้ 2 วัน (ปกติมา 5 วัน) เลือดไม่ได้หยุดไหลเลย แต่เลือดมาน้อยลงเท่านั้นเอง พยาบาลให้นั่งรอเอกสาร และคุยเรื่องห้อง ค่าใช้จ่าย เราจะจองห้องคู่ แต่เต็ม ห้องคู่ได้วันพรุ่งนี้ ส่วนคืนนี้นอนห้องรวม เคลียเอกสารเสร็จ ก็เข้าห้องพักรวม 6 เตียง เปลี่ยนชุดโรงพยาบาล สักพักมีพยาบาลมาส่งอาหาร เป็นอาหารอ่อน น้ำข้าว + น้ำซุป + น้ำกระเจี๊ยบ แต่เราก็ไม่ได้กินนะ ตอนหกโมง พยาบาลให้กินยาระบายลักษณะเป็นน้ำใส ๆ รสชาติเฝื่อน ๆ เท่ากับแก้วยาดอง / กับน้ำ 2 ลิตร พยาบาลแจ้งกินให้หมดทั้งสองอย่างภายใน สามทุ่ม พอเวลาสามทุ่ม มาอีกรอบ และเที่ยงคืนอีกรอบ หมดแรง แทรกนิดนะค่ะ พยาบาลแจ้ง
ให้เรานอนลงที่เตียงเพื่อโกนขนให้โดยใช้แบตตาเลี่ยน เพื่อสะดวกในการผ่าตัด และสวนทวารให้เรานอนตะแคง
งอเขาชิดหน้าอก เอาสายเสียบเข้าที่ก้น แล้วอัดน้ำอะไรสักอย่างเข้าไปจนหมด แล้วพอเสร็จอันแทบไม่อยู่
เรารีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งกินยาระบาย ทั้งสวนทวาร หมดไส้หมดพุง เพลีย ไม่มีแรง วิ่งเข้าห้องน้ำทั้งคืน พยาบาลเข้าออกห้องตลอดเพื่อวัดความดัน วัดไข้ หลายครั้ง
วันที่ 2 ผ่าตัดเวลา 08.30 น.
เวลา 07.00 น. พยาบาลให้เปลี่ยนชุดคลุมเพื่อเตรียมผ่าตัด สักพักบุรุษพยาบาลเข็นเตียงมารอรับ เข็นไปห้องพักผ่าตัด เช็คความดัน ไข้ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ชื่อ-นามสกุล ได้เวลาก็เข็นไปห้องผ่าตัดนอนบนเตียง
แยกขาออก เปิดชุดคลุมเปิดมาถึงหน้าท้อง กางแขนออก มีทีมแพทย์ 4 คน รวมหมอ1 = 5 คน อยู่ในห้องผ่าตัด ก่อนจะฉีดยา พยาบาลถามซ้ำ ชื่อ – นามสกุล ผ่าตัดอะไร แล้วก็เข้าสู่โหมดการผ่าตัด พยาบาลบอกให้นอนตะแคงเขาชิดหน้าอกแล้วหมอบอกเจ็บหน่อยนะ ฉีดยาชาเข้ากระดูกสันหลัง แล้วฉีดยานอนหลับแบบเบาให้ สักพักเริ่มชาตั้งแต่ช่วงหลังลงไป ขยับยังไงก็ไม่รู้สึก พยาบาลเอาฉากมากั้นตั้งแต่ใต้หน้าอกลงไปเพื่อไม่ให้เห็น และพยาบาลเอาท่อเป่าลมร้อน ลักษณะเหมือนถุงพลาสติกยาว วางพาดจากแขนข้างขวาไปแขนข้างซ้าย เพื่อไม่ให้เราหนาว แล้วเอาผ้าคลุมที่ตัวเราอีกที เพราะในห้องเย็นมาก วินาทีนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย กลัว ตื่นเต้น
ในชีวิตไม่เคยผ่าตัดมาก่อน สักพักก็นอนหงาย พยาบาลใส่สายสวนปัสสาวะ แต่ยังมีเลือดออกอยู่นะแต่ไม่มาก ในขณะผ่าตัดเราไม่หลับเลย ได้ยินเสียงทุกอย่าง ใช้เวลาในการผ่าตัด 1 ชั่วโมง พอผ่าตัดเสร็จเข็นเตียงไปห้องเฝ้าดูอาการ 2 ชั่วโมง ตอนนี้รู้สึกมึนหัว อวกเลยจ้า เจ็บท้องเลยจ้า แต่อวกมีแต่น้ำลายนะ ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว
บุรุษพยาบาลเข็นเราเข้าห้อง (เตียงคู่) ที่เราจองไว้ ในระหว่างเข็นเตียงไป พยาบาลบอกหลับตาไว้ค่ะ ลืมตาแล้วเดี๋ยวอวก ห้ามกินน้ำ ให้กินน้ำได้หลังบ่ายสามโมงนะค่ะ กลืนน้ำลายไปค่ะ สลับกับอวก เจ็บท้องเพราะเกร็งท้องเป็นระยะ โอ้วประสบการณ์ทรมาน พอถึงบ่ายสามโมงกินน้ำ สักพักอวก สรุปเรากินอะไรไม่ได้เลย
24 ชม. จนถึงอาหารเย็นมา อลังการมาเลย ของคาว หวาน ผลไม้ น้ำหวาน เต็มโต๊ะ กินไม่ได้เลยค่ะ เสร็จคนเฝ้าไข้ แต่เราไม่หิว ไม่ปวดนะ แต่ขยับตัวไม่ค่อยได้ พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม แต่เรายังใส่ปัสสาวะอยู่นะ พยาบาลถามว่าเราปวดท้องถ่ายมั้ย เราบอกยังไม่ได้กินอะไรเลย พอสามทุ่ม คนเฝ้าไขกลับแล้ว เตียงข้าง ๆ ยังไม่มา รอคลอดธรรมชาติ ผ่านไป 5 ทุ่ม ความดันต่ำ มีไข้อ่อน หายใจไม่ออก มีเลือดประจำเดือนไหลแต่ไม่มาก หมอให้น้ำเกลือที่มีวิตามินเลยดีขึ้น ใส่เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลเฝ้าอยู่ 2 ชั่วโมง แต่เรายังไม่หยุดอวกนะ เราก็เพลียหลับ
วันที่ 3 พักฟื้นหลังผ่าตัด
พยาบาลมาเช็ดตัว เปลี่ยนชุด อาหารเช้ามา เราจะฝืนกินข้าวต้มแต่กินได้ 2 คำ อวกเหมือนเดิม แล้วฝืนกินยา ก็อวกอีก แพ้ยาบล็อกหลัง พยาบาลฉีดยาแก้เวียนหัวให้ กว่าจะหยุดอวก 09.00 โมงเช้า แต่กินอะไรไม่ค่อยลงเลย น้ำเกลือเปลี่ยนไป 10 กระปุกได้ ทั้งตัว หน้า เราบวมมาก อาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ วันนี้พยาบาลมาเปลี่ยนที่แปะแผล เปลี่ยนแบบกันน้ำ สามารถโดนน้ำได้ อาบน้ำได้ ส่วนขนาดแผล 10 cm แต่แผลของเราเป็นการแปะแผ่นเทปสเตอไรน์ สำหรับปิดยึดแผล ปริ ฉีก ไม่กว้าง หรือใหญ่ เกินไป โดยไม่ต้องเย็บแผล ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แผลดี ไม่ปริ ไม่ฉีก มีเลือดซึมนิดหน่อย กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม ช่วงบ่ายหมอมาดูแผล อาการปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอให้ถอดสายฉี่ได้แล้ว และเริ่มลุกเข้าห้องน้ำเองได้ แต่ช้า ๆ หน่วง เจ็บ เดินหลังค่อม แต่พยามตัวตรงแต่ไม่ได้ แผลตึง เดินมาก ๆ ปวด ต้องนั่งพัก ช่วงเย็นเราเช็ดตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง สระผมเองได้ปกติ แต่ต้องช้า ๆ ก็สดชื่นมาก พอช่วงค่ำท้องระบบ ต้องกินยาแก้ปวด
วันที่ 4 พักฟื้นหลังผ่าตัด
ทั้งตัว หน้าบวม น้ำหนังขึ้น แผลหน่วงปกติ เดินหลังค่อมเหมือนเดิม กินได้น้อย แต่อั้นฉี่ไม่ค่อยอยู่ หลังจากที่ใส่ท่อฉี่มา 2 วันกว่า เจ็บแผล เดินต้องอุ้มหน้าท้อง เพราะท้องบวมอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามเดิน ลุก นั่ง กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และตามด้วยฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม แต่ยังไม่ถ่ายหนักนะ
วันที่ 5 ออกจากโรงพยาบาล
กินข้าวเช้า กินยาแก้อักเสบ แก้ปวด เช็ดตัวเอง แผลปกติ เลือดที่ซึมมีเท่าเดิม ดูแล้วอาการดีขึ้น ก็ออกจากโรงพยาล ช่วง 10 โมง หมอให้ยา แก้อักเสบ แก้ปวด และยาลดกรดในกระเพาะ พยาบาลให้กินผลไม้ พยายามเดิน ห้ามยกของหนัก ห้ามแช่น้ำ อาบน้ำได้ และให้รีบเช็ดแผล ช่วงนี้ให้กินอาหารอ่อน ๆ และหมอนัด ดูแผลถัดไปอีก 7 วัน
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วควรปฏิบัติตัว
1. พยายามลุกเดินตัวตรง ถ้านอน พยายามพลิกตัว ซ้าย-ขวา อย่าอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน เอาเท่าที่ร่างการไหว ส่วนตัวเราเดินมามีเลือดซึมทางช่องคลอด ต้องหยุดเดินและพัก ร่างกายคนเราไมเหมือนกัน การเย็บแผลข้างในช่องท้องก็ไม่เหมือนกัน ของเราพักและทำแบบนี้ทุกวัน และอาการดีขึ้นเรื่อย เป็นเวลา 20 วัน แล้วไปทำงานค่อย ๆ เดิน แฟนเราคอยรับ-ส่ง (แต่เราคาดเบ้วไม่ได้นะเจ็บท้องเพราะรัดหน้าท้อง) แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นไร
2. พยายามเดินพื้นราบ อย่าเดินขึ้นลงบันได อาจจะทำให้แผลฉีก
3. อย่าเบ่งอุจจาระ อาจจะทำให้แผลข้างในปริ หรือฉีกได้
4. กินยาที่หมอจนครบตามกำหนด
5. พยายามกินผลไม้ เพื่อระบายในการขับได้โดยไม่ต้องเบ่ง
6. ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม ทุกมื้อเพื่อให้ง่ายต่อระบบย่อย
(ลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หมักดอง ไม่สุก แผลอาจติดเชื่อได้)
7. เห็นบางคนถามว่าขับรถได้มั้ย ควรถามหมอค่ะ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของเราหมอบอก
ให้ครบ 3 อาทิตย์ ก่อนถึงจะขับได้
8.ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 เดือน
9.ควรหากางเกงใน ไว้สำหรับหลังผ่าตัด ควรเป็นเอวสูงถึงสะดือ ใส่สบาย ไม่รัดแน่น หรือหลวมจนเกินไป เพื่อไว้คอยช่วยผยุงแผล ควรซื้อสัก หลายตัว ๆ ยังมี เลือดออกบ้าง และตกขาว แต่สีออกเหลืองอ่อน มีกลิ่นแรงส์
ขอบคุณสำหรับที่เข้ามาอ่านค่ะ
ผ่าตัดเนื้องอกในผนังโพรงมดลูก ขนาด 7 cm เดือนตุลาคม 2561 เบิกประกันสังคมโรงพยาบาลเอกชน
ดิฉันอายุ 35 แต่งงานมา 8 ปี แต่ยังไม่มีลูก ไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยนอนโรงพยาบาล
อาการที่พบ : อาการปวดท้องประจำเดือนมาก ปวดมาประมาณ 1 ปี ปจด.มาวัน 1-2 ปวดเกร็งช่องท้อง
ปวดเชิงกราน ไม่มีแรงจะเดิน แต่ไม่ได้ไปหาหมอ
ค่าใช้จ่าย : จ่ายส่วนต่าง 2,500.-บาท เพราะเราเปลี่ยนห้องรวม เป็นห้องคู่แทน ราคารวมอาหาร พยาบาลแล้ว
ส่วนที่เหลือประกันสังคมจ่ายทั้งหมด ราคาประมาณ 80,000.-บาท
ตรวจเจอเนื้องอกโดยบังเอิญ โดยวันนั้นปวดท้อง เริ่มจากปวดน้อย จนถึงปวดมาก เราไปถึงโรงพยาบาล
เวลา 17.00 น. อยู่จนถึง 24.00 น. เป็นเวลา 7 ชั่วโมง และเริ่มอวกเป็นระยะ นั่งบนรถเข็นไม่ได้ ต้องนอน
ให้หมอเดินมาตรวจ ฉีดยาแก้เวียนหัว ก็ยังไม่หาย จนแผนกประกันสังคมปิด บุรุษพยาบาลเข็นเราลงไปรอ
ห้องฉุกเฉิน นอนรอตรวจหาสาเหตุ ทั้งเอ๊กซเรย์ดูช่องท้อง สุดท้ายหมอตรวจภายใน เจอก้อนเนื้อนูนออกมาจากผนังโพรงมดลูก หมอก็กดว่าเจ็บมั้ย เราบอกไม่เจ็บ ก็ส่งต่อไปห้องซาวด์ต่อ ใช้กล้องซาวด์ในช่องคลอด สรุปเจอก้อนเนื้อ ขนาด 7 cm หมอเลยนัดให้ตรวจในวันรุ่งขึ้นแผนกหมอสูติอีกรอบ ว่าเป็นเพราะอะไร
แต่อาการขณะนั้น ไม่ปวดท้อง และไม่อวกแล้ว เลยกลับบ้านได้
เช้าวันรุ่งขึ้น 12 สิงหาคม 2561 พบหมอสูติโดยตรง หมอก็ตรวจภายใน คลำเจอก้อน และซาวด์ดูช่องคลอด เจอเนื้องอกจริง ๆ ขนาด 7 cm หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องเท่านั้น เพราะขนาดใหญ่ ปล่อยไว้ก็อาจจะกลายเป็นเนื้อร้าย และจะทำให้ปวดประจำเดือน แต่ที่อาการปวดท้อง และอาเจียน สาเหตุอาจจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ หมอก็นัดวันเจาะเลือด ตรวจร่างกาย ก่อนผ่าตัด 1 อาทิตย์ และลงนัดวันผ่าตัด 12 ตุลาคม 2561
(ระยะเวลา 2 เดือน)
นอนโรงพยาบาล 4 คืน 5 วัน (ตามกำหนดระยะเวลาการผ่าตัด)
วันที่ 1 เตรียมตัวก่อนผ่าตัด ทานอาหารอ่อน
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยง ก็เจาะเลือดหากรุ๊ปเลือด เพื่อสำรองเลือดในการผ่าตัด และฉีดยาหยุดเลือดประจำเดือน ประจำเดือนมาได้ 2 วัน (ปกติมา 5 วัน) เลือดไม่ได้หยุดไหลเลย แต่เลือดมาน้อยลงเท่านั้นเอง พยาบาลให้นั่งรอเอกสาร และคุยเรื่องห้อง ค่าใช้จ่าย เราจะจองห้องคู่ แต่เต็ม ห้องคู่ได้วันพรุ่งนี้ ส่วนคืนนี้นอนห้องรวม เคลียเอกสารเสร็จ ก็เข้าห้องพักรวม 6 เตียง เปลี่ยนชุดโรงพยาบาล สักพักมีพยาบาลมาส่งอาหาร เป็นอาหารอ่อน น้ำข้าว + น้ำซุป + น้ำกระเจี๊ยบ แต่เราก็ไม่ได้กินนะ ตอนหกโมง พยาบาลให้กินยาระบายลักษณะเป็นน้ำใส ๆ รสชาติเฝื่อน ๆ เท่ากับแก้วยาดอง / กับน้ำ 2 ลิตร พยาบาลแจ้งกินให้หมดทั้งสองอย่างภายใน สามทุ่ม พอเวลาสามทุ่ม มาอีกรอบ และเที่ยงคืนอีกรอบ หมดแรง แทรกนิดนะค่ะ พยาบาลแจ้ง
ให้เรานอนลงที่เตียงเพื่อโกนขนให้โดยใช้แบตตาเลี่ยน เพื่อสะดวกในการผ่าตัด และสวนทวารให้เรานอนตะแคง
งอเขาชิดหน้าอก เอาสายเสียบเข้าที่ก้น แล้วอัดน้ำอะไรสักอย่างเข้าไปจนหมด แล้วพอเสร็จอันแทบไม่อยู่
เรารีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งกินยาระบาย ทั้งสวนทวาร หมดไส้หมดพุง เพลีย ไม่มีแรง วิ่งเข้าห้องน้ำทั้งคืน พยาบาลเข้าออกห้องตลอดเพื่อวัดความดัน วัดไข้ หลายครั้ง
วันที่ 2 ผ่าตัดเวลา 08.30 น.
เวลา 07.00 น. พยาบาลให้เปลี่ยนชุดคลุมเพื่อเตรียมผ่าตัด สักพักบุรุษพยาบาลเข็นเตียงมารอรับ เข็นไปห้องพักผ่าตัด เช็คความดัน ไข้ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ชื่อ-นามสกุล ได้เวลาก็เข็นไปห้องผ่าตัดนอนบนเตียง
แยกขาออก เปิดชุดคลุมเปิดมาถึงหน้าท้อง กางแขนออก มีทีมแพทย์ 4 คน รวมหมอ1 = 5 คน อยู่ในห้องผ่าตัด ก่อนจะฉีดยา พยาบาลถามซ้ำ ชื่อ – นามสกุล ผ่าตัดอะไร แล้วก็เข้าสู่โหมดการผ่าตัด พยาบาลบอกให้นอนตะแคงเขาชิดหน้าอกแล้วหมอบอกเจ็บหน่อยนะ ฉีดยาชาเข้ากระดูกสันหลัง แล้วฉีดยานอนหลับแบบเบาให้ สักพักเริ่มชาตั้งแต่ช่วงหลังลงไป ขยับยังไงก็ไม่รู้สึก พยาบาลเอาฉากมากั้นตั้งแต่ใต้หน้าอกลงไปเพื่อไม่ให้เห็น และพยาบาลเอาท่อเป่าลมร้อน ลักษณะเหมือนถุงพลาสติกยาว วางพาดจากแขนข้างขวาไปแขนข้างซ้าย เพื่อไม่ให้เราหนาว แล้วเอาผ้าคลุมที่ตัวเราอีกที เพราะในห้องเย็นมาก วินาทีนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย กลัว ตื่นเต้น
ในชีวิตไม่เคยผ่าตัดมาก่อน สักพักก็นอนหงาย พยาบาลใส่สายสวนปัสสาวะ แต่ยังมีเลือดออกอยู่นะแต่ไม่มาก ในขณะผ่าตัดเราไม่หลับเลย ได้ยินเสียงทุกอย่าง ใช้เวลาในการผ่าตัด 1 ชั่วโมง พอผ่าตัดเสร็จเข็นเตียงไปห้องเฝ้าดูอาการ 2 ชั่วโมง ตอนนี้รู้สึกมึนหัว อวกเลยจ้า เจ็บท้องเลยจ้า แต่อวกมีแต่น้ำลายนะ ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว
บุรุษพยาบาลเข็นเราเข้าห้อง (เตียงคู่) ที่เราจองไว้ ในระหว่างเข็นเตียงไป พยาบาลบอกหลับตาไว้ค่ะ ลืมตาแล้วเดี๋ยวอวก ห้ามกินน้ำ ให้กินน้ำได้หลังบ่ายสามโมงนะค่ะ กลืนน้ำลายไปค่ะ สลับกับอวก เจ็บท้องเพราะเกร็งท้องเป็นระยะ โอ้วประสบการณ์ทรมาน พอถึงบ่ายสามโมงกินน้ำ สักพักอวก สรุปเรากินอะไรไม่ได้เลย
24 ชม. จนถึงอาหารเย็นมา อลังการมาเลย ของคาว หวาน ผลไม้ น้ำหวาน เต็มโต๊ะ กินไม่ได้เลยค่ะ เสร็จคนเฝ้าไข้ แต่เราไม่หิว ไม่ปวดนะ แต่ขยับตัวไม่ค่อยได้ พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม แต่เรายังใส่ปัสสาวะอยู่นะ พยาบาลถามว่าเราปวดท้องถ่ายมั้ย เราบอกยังไม่ได้กินอะไรเลย พอสามทุ่ม คนเฝ้าไขกลับแล้ว เตียงข้าง ๆ ยังไม่มา รอคลอดธรรมชาติ ผ่านไป 5 ทุ่ม ความดันต่ำ มีไข้อ่อน หายใจไม่ออก มีเลือดประจำเดือนไหลแต่ไม่มาก หมอให้น้ำเกลือที่มีวิตามินเลยดีขึ้น ใส่เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลเฝ้าอยู่ 2 ชั่วโมง แต่เรายังไม่หยุดอวกนะ เราก็เพลียหลับ
วันที่ 3 พักฟื้นหลังผ่าตัด
พยาบาลมาเช็ดตัว เปลี่ยนชุด อาหารเช้ามา เราจะฝืนกินข้าวต้มแต่กินได้ 2 คำ อวกเหมือนเดิม แล้วฝืนกินยา ก็อวกอีก แพ้ยาบล็อกหลัง พยาบาลฉีดยาแก้เวียนหัวให้ กว่าจะหยุดอวก 09.00 โมงเช้า แต่กินอะไรไม่ค่อยลงเลย น้ำเกลือเปลี่ยนไป 10 กระปุกได้ ทั้งตัว หน้า เราบวมมาก อาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ วันนี้พยาบาลมาเปลี่ยนที่แปะแผล เปลี่ยนแบบกันน้ำ สามารถโดนน้ำได้ อาบน้ำได้ ส่วนขนาดแผล 10 cm แต่แผลของเราเป็นการแปะแผ่นเทปสเตอไรน์ สำหรับปิดยึดแผล ปริ ฉีก ไม่กว้าง หรือใหญ่ เกินไป โดยไม่ต้องเย็บแผล ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ แผลดี ไม่ปริ ไม่ฉีก มีเลือดซึมนิดหน่อย กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม ช่วงบ่ายหมอมาดูแผล อาการปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอให้ถอดสายฉี่ได้แล้ว และเริ่มลุกเข้าห้องน้ำเองได้ แต่ช้า ๆ หน่วง เจ็บ เดินหลังค่อม แต่พยามตัวตรงแต่ไม่ได้ แผลตึง เดินมาก ๆ ปวด ต้องนั่งพัก ช่วงเย็นเราเช็ดตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง สระผมเองได้ปกติ แต่ต้องช้า ๆ ก็สดชื่นมาก พอช่วงค่ำท้องระบบ ต้องกินยาแก้ปวด
วันที่ 4 พักฟื้นหลังผ่าตัด
ทั้งตัว หน้าบวม น้ำหนังขึ้น แผลหน่วงปกติ เดินหลังค่อมเหมือนเดิม กินได้น้อย แต่อั้นฉี่ไม่ค่อยอยู่ หลังจากที่ใส่ท่อฉี่มา 2 วันกว่า เจ็บแผล เดินต้องอุ้มหน้าท้อง เพราะท้องบวมอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามเดิน ลุก นั่ง กินยาแก้อักเสบ เช้า กลางวัน เย็น และตามด้วยฉีดยาแก้ปวดวันละ 1 เข็ม แต่ยังไม่ถ่ายหนักนะ
วันที่ 5 ออกจากโรงพยาบาล
กินข้าวเช้า กินยาแก้อักเสบ แก้ปวด เช็ดตัวเอง แผลปกติ เลือดที่ซึมมีเท่าเดิม ดูแล้วอาการดีขึ้น ก็ออกจากโรงพยาล ช่วง 10 โมง หมอให้ยา แก้อักเสบ แก้ปวด และยาลดกรดในกระเพาะ พยาบาลให้กินผลไม้ พยายามเดิน ห้ามยกของหนัก ห้ามแช่น้ำ อาบน้ำได้ และให้รีบเช็ดแผล ช่วงนี้ให้กินอาหารอ่อน ๆ และหมอนัด ดูแผลถัดไปอีก 7 วัน
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วควรปฏิบัติตัว
1. พยายามลุกเดินตัวตรง ถ้านอน พยายามพลิกตัว ซ้าย-ขวา อย่าอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน เอาเท่าที่ร่างการไหว ส่วนตัวเราเดินมามีเลือดซึมทางช่องคลอด ต้องหยุดเดินและพัก ร่างกายคนเราไมเหมือนกัน การเย็บแผลข้างในช่องท้องก็ไม่เหมือนกัน ของเราพักและทำแบบนี้ทุกวัน และอาการดีขึ้นเรื่อย เป็นเวลา 20 วัน แล้วไปทำงานค่อย ๆ เดิน แฟนเราคอยรับ-ส่ง (แต่เราคาดเบ้วไม่ได้นะเจ็บท้องเพราะรัดหน้าท้อง) แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นไร
2. พยายามเดินพื้นราบ อย่าเดินขึ้นลงบันได อาจจะทำให้แผลฉีก
3. อย่าเบ่งอุจจาระ อาจจะทำให้แผลข้างในปริ หรือฉีกได้
4. กินยาที่หมอจนครบตามกำหนด
5. พยายามกินผลไม้ เพื่อระบายในการขับได้โดยไม่ต้องเบ่ง
6. ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม ทุกมื้อเพื่อให้ง่ายต่อระบบย่อย
(ลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หมักดอง ไม่สุก แผลอาจติดเชื่อได้)
7. เห็นบางคนถามว่าขับรถได้มั้ย ควรถามหมอค่ะ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของเราหมอบอก
ให้ครบ 3 อาทิตย์ ก่อนถึงจะขับได้
8.ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 เดือน
9.ควรหากางเกงใน ไว้สำหรับหลังผ่าตัด ควรเป็นเอวสูงถึงสะดือ ใส่สบาย ไม่รัดแน่น หรือหลวมจนเกินไป เพื่อไว้คอยช่วยผยุงแผล ควรซื้อสัก หลายตัว ๆ ยังมี เลือดออกบ้าง และตกขาว แต่สีออกเหลืองอ่อน มีกลิ่นแรงส์
ขอบคุณสำหรับที่เข้ามาอ่านค่ะ