15 ตุลาคม 2558
วันนี้ ไปนั่งฟังเรื่องการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการดูแลการคลอด ที่นำมาจากกรมการแพทย์ พบว่า ต่อไป เขาจะไม่สนับสนุนให้เชียร์เบ่ง ต้องการให้มารดาเจ็บครรภ์ และเบ่งเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้บุคลากรเชียร์เบ่ง เนื่องจาก เขาบอกว่าลักษณะการเบ่งคลอดเป็น Valsalva maneuver คือการกลั้นหายใจและปิดกล่องเสียงขณะเบ่งคลอด การเบ่งคลอดแบบนี้จะเพิ่มความดันในช่องอก ลดเลือดที่จะกลับมาจากส่วนล่างของร่างกาย ช่วงแรกความดันโลหิตของมารดาจะเพิ่มขึ้นต่อมาจะลดลงและส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงรกลดลง3 ซึ่งหากพิจารณาจากพื้นฐานข้อมูลนี้ การเบ่งคลอดโดยการกลั้นหายใจและปิดกล่องเสียงหากทำต่อเนื่องเป็นเวลานานน่าจะส่งผลเสียต่อทารกได้ เขาเลยไม่ให้เชียร์เบ่งนานกว่า 7วินาที
แต่ข้อมูลจากงานวิจัย พบว่า มีการศึกษาผลของการสอนเบ่งคลอดพบว่า ช่วยลดระยะเวลาของการคลอดในระยะที่สอง แต่ไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ของทารกแรกเกิด ส่วนการศึกษาในไทย ของคลอด ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่นครนายก พบว่า การเชียร์เบ่ง ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันทั้งในระยะเวลาของระยะที่สองของการคลอดและapgar score แสดงว่า ที่อุตส่าห์หัดเชียร์เบ่งกันในห้องคลอด ทั้งแพทย์และพยาบาล ทั้งประเมินการเชียร์เบ่ง ที่ผ่านมา อาจไม่ได้ให้ประโยชน์เท่าไร
แต่การเชียร์เบ่งก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร แต่ อาจจะมีผลดี เรื่องของให้การสนับสนุนด้านจิตใจจากผู้ช่วยคลอดที่ดูแลและให้กำลังใจผู้คลอดตั้งแต่ในระยะรอคลอด น่าจะส่งผลดีต่อผลของการคลอดและทำให้ผู้คลอดสามารถคลอดได้เองทางช่องคลอดมากขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการยกตัวอย่าง เคสที่ไม่ได้เชียร์เบ่งของรพ.
เคสแรก เป็นเด็กหญิงอายุ14 ปี มีโรคประจำตัวเป็นโรคซึมเศร้า มาด้วยเจ็บครรภ์คลอด ครบกำหนด ตอนเที่ยงคืน ขณะมาที่รพ. ร้องโหยหวน โวยวายตลอด จนพยาบาลต้องตามหมอเวร มาstand by แต่ ขณะที่ปากมดลูกเปิดเต็มที่ ดันมีเคสอุบัติเหตุ บาดเจ็บที่ศีรษะมาที่ห้องฉุกเฉิน ทำให้หมอเวร ต้องวุ่นวายอยู่ในER ส่วนพยาบาล ก็ช่วยกันเชียร์เบ่ง กับอีกคนนึงช่วยจับแขนขา คนไข้ไม่ยอมอยู่ที่เตียงคลอด เอาแต่ตะกายฝาผนัง ต้องไล่จับกันอย่างวุ่นวาย ในห้องคลอด ให้เบ่งก็ไม่ทำตาม หลังจากผ่านไปอย่างทุลักทุเล คนไข้อยากจะเบ่งก็ไม่เบ่ง เชียร์เบ่งก็ไม่เบ่ง เด็กก็คลอดออกมาปกติ แผลฝีเย็บก็ไม่มีhematoma แสดงว่า การไม่ต้องเชียร์เบ่ง คนไข้ก็คลอดเองได้นะ
เคสที่สอง เป็นคนพม่า มีสามีเป็นคนไทย มีโรคประจำตัวเป็นโรคจิตเภททั้งคู่ มาด้วยเจ็บครรภ์คลอดเนื่องจากครบกำหนด มาถึง ไม่ยอมแยกขา ไม่ยอมให้พยาบาลตรวจภายใน จน พยาบาลต้องเรียกกำลังเสริมมาช่วย พยาบาลคนนึงจับแยกขาซ้าย คนนึงจับแยกขาขวา พนักงานห้องบัตรจับตัว พยาบาลอีกคนทำคลอด พยาบาลอีกคนจับตรงเชิงกราน บอกให้คนไข้เบ่งก็ไม่เบ่ง ได้แต่ร้องโหยหวนตลอด สุดท้าย เจ็บท้องคนไข้ก็เบ่งเอง แล้ว คลอดออกมาเอง แสดงว่า ไม่ต้องเชียร์เบ่ง คนไข้ก็คลอดออกมาเองนะ เด็กก็ปกติดี (ก็คนไข้จิตเวชไม่เชื่อตามที่เราสั่งนี่)
สรุป ต่อไป ที่เคยเชียร์เบ่ง อาจจะกลายเป็นอดีต (ให้ผู้คลอดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นกลั้นหายใจแล้วเบ่ง โดยให้จังหวะการเบ่งยาวตามเสียงเชียร์เบ่งของผู้ช่วยคลอด(มักจะส่งเสียงอื๊ด…ยาวต่อเนื่องกัน) เมื่อหมดลมเบ่ง ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วเบ่งซ้ำในลักษณะเดียวกัน ) ต่อไป จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
การเชียร์เบ่งตอนคลอด
วันนี้ ไปนั่งฟังเรื่องการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการดูแลการคลอด ที่นำมาจากกรมการแพทย์ พบว่า ต่อไป เขาจะไม่สนับสนุนให้เชียร์เบ่ง ต้องการให้มารดาเจ็บครรภ์ และเบ่งเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้บุคลากรเชียร์เบ่ง เนื่องจาก เขาบอกว่าลักษณะการเบ่งคลอดเป็น Valsalva maneuver คือการกลั้นหายใจและปิดกล่องเสียงขณะเบ่งคลอด การเบ่งคลอดแบบนี้จะเพิ่มความดันในช่องอก ลดเลือดที่จะกลับมาจากส่วนล่างของร่างกาย ช่วงแรกความดันโลหิตของมารดาจะเพิ่มขึ้นต่อมาจะลดลงและส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงรกลดลง3 ซึ่งหากพิจารณาจากพื้นฐานข้อมูลนี้ การเบ่งคลอดโดยการกลั้นหายใจและปิดกล่องเสียงหากทำต่อเนื่องเป็นเวลานานน่าจะส่งผลเสียต่อทารกได้ เขาเลยไม่ให้เชียร์เบ่งนานกว่า 7วินาที
แต่ข้อมูลจากงานวิจัย พบว่า มีการศึกษาผลของการสอนเบ่งคลอดพบว่า ช่วยลดระยะเวลาของการคลอดในระยะที่สอง แต่ไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ของทารกแรกเกิด ส่วนการศึกษาในไทย ของคลอด ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่นครนายก พบว่า การเชียร์เบ่ง ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันทั้งในระยะเวลาของระยะที่สองของการคลอดและapgar score แสดงว่า ที่อุตส่าห์หัดเชียร์เบ่งกันในห้องคลอด ทั้งแพทย์และพยาบาล ทั้งประเมินการเชียร์เบ่ง ที่ผ่านมา อาจไม่ได้ให้ประโยชน์เท่าไร
แต่การเชียร์เบ่งก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร แต่ อาจจะมีผลดี เรื่องของให้การสนับสนุนด้านจิตใจจากผู้ช่วยคลอดที่ดูแลและให้กำลังใจผู้คลอดตั้งแต่ในระยะรอคลอด น่าจะส่งผลดีต่อผลของการคลอดและทำให้ผู้คลอดสามารถคลอดได้เองทางช่องคลอดมากขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการยกตัวอย่าง เคสที่ไม่ได้เชียร์เบ่งของรพ.
เคสแรก เป็นเด็กหญิงอายุ14 ปี มีโรคประจำตัวเป็นโรคซึมเศร้า มาด้วยเจ็บครรภ์คลอด ครบกำหนด ตอนเที่ยงคืน ขณะมาที่รพ. ร้องโหยหวน โวยวายตลอด จนพยาบาลต้องตามหมอเวร มาstand by แต่ ขณะที่ปากมดลูกเปิดเต็มที่ ดันมีเคสอุบัติเหตุ บาดเจ็บที่ศีรษะมาที่ห้องฉุกเฉิน ทำให้หมอเวร ต้องวุ่นวายอยู่ในER ส่วนพยาบาล ก็ช่วยกันเชียร์เบ่ง กับอีกคนนึงช่วยจับแขนขา คนไข้ไม่ยอมอยู่ที่เตียงคลอด เอาแต่ตะกายฝาผนัง ต้องไล่จับกันอย่างวุ่นวาย ในห้องคลอด ให้เบ่งก็ไม่ทำตาม หลังจากผ่านไปอย่างทุลักทุเล คนไข้อยากจะเบ่งก็ไม่เบ่ง เชียร์เบ่งก็ไม่เบ่ง เด็กก็คลอดออกมาปกติ แผลฝีเย็บก็ไม่มีhematoma แสดงว่า การไม่ต้องเชียร์เบ่ง คนไข้ก็คลอดเองได้นะ
เคสที่สอง เป็นคนพม่า มีสามีเป็นคนไทย มีโรคประจำตัวเป็นโรคจิตเภททั้งคู่ มาด้วยเจ็บครรภ์คลอดเนื่องจากครบกำหนด มาถึง ไม่ยอมแยกขา ไม่ยอมให้พยาบาลตรวจภายใน จน พยาบาลต้องเรียกกำลังเสริมมาช่วย พยาบาลคนนึงจับแยกขาซ้าย คนนึงจับแยกขาขวา พนักงานห้องบัตรจับตัว พยาบาลอีกคนทำคลอด พยาบาลอีกคนจับตรงเชิงกราน บอกให้คนไข้เบ่งก็ไม่เบ่ง ได้แต่ร้องโหยหวนตลอด สุดท้าย เจ็บท้องคนไข้ก็เบ่งเอง แล้ว คลอดออกมาเอง แสดงว่า ไม่ต้องเชียร์เบ่ง คนไข้ก็คลอดออกมาเองนะ เด็กก็ปกติดี (ก็คนไข้จิตเวชไม่เชื่อตามที่เราสั่งนี่)
สรุป ต่อไป ที่เคยเชียร์เบ่ง อาจจะกลายเป็นอดีต (ให้ผู้คลอดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นกลั้นหายใจแล้วเบ่ง โดยให้จังหวะการเบ่งยาวตามเสียงเชียร์เบ่งของผู้ช่วยคลอด(มักจะส่งเสียงอื๊ด…ยาวต่อเนื่องกัน) เมื่อหมดลมเบ่ง ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วเบ่งซ้ำในลักษณะเดียวกัน ) ต่อไป จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้