//รีวิวจากคุณหมอจิตวิทยาที่เป็นนักวิจารณ์หนังในพันทิปกับฟิล์มแม็กนะครับไอดี "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" พอดีเขาไม่มาโพสต์ลงในนี้แล้ว เห็นรีวิวนี้น่าสนใจที่คนถกเถียงเรื่องต้นฉบับกับโฮมสเตย์เยอะ ก็เลยเอามาลงให้ดูกันครับ //
เพิ่งเขียนบล็อกในประเด็นที่สนใจเกี่ยวกับ colorful กับ Homestay เสร็จไปสองบล็อกครับ แล้วก็คิดเล่นๆเป็นช็อตโน้ต(บางคนอาจบอกว่าสเตตัสนี้คือ short แล้วเรอะ 😅) ถึงความต่างของสองเรื่องนี้ได้ประมาณว่า
(1) colorful แบไต๋แต่แรกแทบจะหมดทุกอย่างแล้วว่าชีวิตพระเอก 'โดน'เรื่องอะไรมาบดขยี้
แต่ Homestay ค่อยๆเผยความลับตรงนี้ทีละอย่าง ซึ่งอันนี้ดัดแปลงได้ฉลาด ทำให้หนังน่าติดตามสมการเปลี่ยนแนวไปเป็นทริลเลอร์ที่มีปริศนาให้สืบค้น
===
(2) colorful ไม่ได้เน้นเรื่องรักเท่าไหร่แต่เน้นครอบครัว
เน้นความสำคัญกับความสัมพันธ์ของพระเอกกับคนในบ้าน มีฉากใหญ่ๆ เช่น จดหมายแม่ กิจกรรมใหม่ของแม่ , วันไปตกปลากับพ่อ ฯลฯ จนถึงตอนท้ายทำให้เรากับพระเอกสามารถเข้าใจตัวละครผู้ใหญ่แบบคนเป็นพ่อแม่มากขึ้น แม้ยังโกรธเกลียดบ้างแต่เริ่มเข้าใจ
และสุดท้ายเราก็เห็นเด็กคนหนึ่งได้เข้าใจว่า เออนะ ต่อให้พ่อแม่ของเราก็ไม่ได้ดีงามหรือสมบูรณ์แบบ บางพฤติกรรมของพ่อแม่ยังไม่โตหรือมีความเป็นเด็กกว่าเราเสียด้วยซ้ำ
นำไปสู่การเข้าใจคนสำคัญที่สุดอย่างฮิโรกะ(หรือพายในหนัง)ในตอนท้ายได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่ยอมรับได้ในพฤติกรรมนั้นๆ
เพราะชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีความเจ็บปวดที่อาจไม่ได้มีคำอธิบาย มีความไม่เข้าใจตัวเองแล้วทำร้ายคนอื่นรวมถึงทำร้ายตัวเอง
ส่วน Homestay โฟกัสไปที่ความรักมากกว่าครอบครัวอย่างชัดเจน สนุกกับกิมมิคผู้คุมมาก จนแทบไม่เหลือพื้นที่ครอบครัวคือมีเวลาให้เยอะแหละแต่แตะส่วนของครอบครัวแค่ผิวๆ ส่วนของพ่อแทบไม่คลี่คลายอะไรหรือส่วนของแม่ก็แค่บอกให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็แค่นั้น
ซึ่งในส่วนความรักของพายกับพระเอกก็ใช่ว่าจะทำได้ดีมีความเวิ่นเว้อฟุ่มเฟือยหลายฉาก ดีมากในส่วนของลีกับพระเอกซึ่งก็ดันมีน้อย
===
(3) การเฉลยไคลแมกซ์ colorful หวือหวาน้อยกว่าแต่ดี อ่านแล้วเห็นภาพแบบค่อยๆรู้ตัวดี
ส่วนการเฉลยไคลแมกซ์ของ Homestay ก็ดีไปอีกอย่างคือมันหวือหวาสมกับการมีพลุอยู่ในหนัง มีอารมณ์จี๊ดจึ๊กแบบหนังค่ายนี้รวมถึงการเล่นกับเรื่องแปรอักษรที่ก็เข้าท่ามากๆ
===
(4)'เงื่อนไข'
colorful มีโจทย์แค่ว่าจงเรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตให้ราบรื่นแล้วพระเอกก็ใช้ชีวิตในร่างใหม่อยู่เป็นปี
แต่ Homestay เน้นธีมระทึกกำหนดเส้นตายกับโจทย์ชัดคือต้องหาคำตอบว่าตายเพราะอะไรภายในกำหนดระบุจำนวนวัน
ทำให้ colorful อาจไม่เร้าใจ แต่พอเน้นการใช้ชีวิตภายใต้ปัญหารายล้อม พระเอกเหมือนตาบอดคลำช้างคือใช้ชีวิตไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าต้องหาอะไร จึงมีความหลากหลายที่เขาได้เห็นตัวเองผ่านสายตาคนมากมาย ได้เพื่อนใหม่
เมื่อถึงตอนท้ายที่ตัวละครค่อยๆเข้าใจอะไรมากขึ้น จึงพอรับได้ในการจบแบบมีรสติดฟีลกู๊ดช่วงท้ายบ้างเพราะมันเชื่อว่าเขาเติบโตจริง
แต่ Homestay พอใช้ชีวิตโดยเน้นการสืบสวนกับลั้ลลากับคนรักซะเยอะเพราะมีเงื่อนไขมาบังคับทำให้ขาดความหลากหลาย เมื่อถึงตอนท้ายจึงยอมรับการเปลี่ยนแปลงของพระเอกที่มีรสฟีลกู๊ดไม่ค่อยได้เท่าไหร่
===
(5) ชื่อ
- colorful ตรงตัวในส่วนของสีน้ำ สุดท้ายการเรียนรู้แล้วเข้าใจเกิดจาก 'สี' ทั้งภาพวาดสีฟ้า ทั้งกลิ่นสี ทั้งสีที่ใช้วาดที่เปลี่ยนไป และตอนจบสีที่ถูกใช้อธิบายความหลากหลายของชีวิตของตัวละครแต่ละคนไม่ใช่แค่ของพระเอก คือบทสรุปของชีวิตที่เกี่ยวดองกับชื่อนิยายได้ดีมาก
- Homestay ทิ้งเรื่องของสี ซึ่งก็เข้าใจเพราะชื่อหนังคือโฮมสเตย์ เพียงแต่พอถึงตอนจบความเป็นโฮมสเตย์ตามชื่อที่ต้องการใช้เรื่องการยืมร่างมาอธิบายความหมายของชีวิต ไม่หนักแน่นน่าเชื่อถือเท่าการใช้สีมาอธิบายชีวิตแบบนิยาย
===
(6) พายกับฮิโรกะ - ส่วนนี้ colorful ดีกว่ามาก มีประเด็นที่อยากเขียนยาวๆลงในบล้อกชื่อ 'การพาสเจอไรซ์ด้านมืดของชีวิต'ไปแล้วครับ เดี๋ยวว่างๆจะเอามาลงเพจ
===
(7) ความเข้าใจชีวิตและบทสรุป
❗*** ถัดจากนี้สปอยล์ ***❗
*****
*****
- ถ้ามองในแง่บทเรียนชีวิต
colorful ชนะ Homestay ที่เรียบเรียงไล่ตั้งแต่ประวัติอดีตวัยเด็กของพระเอก , การถูก bully ต่อมาถึงภาวะซึมเศร้าไปจนถึงวันวิปโยคในชีวิต
ต่อด้วยการกำเนิดใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วได้เพื่อนใหม่ไปจนรู้ความจริง
มันอาจไม่หวือหวาหรือพยายามมอบบทเรียนชัดๆแต่มันแสดงความเข้าใจชีวิต แล้วทำให้เห็นว่า second chance นั้นทำให้พระเอกเรียนรู้อะไรจริงๆ
(ไม่ใช่แค่เปลี่ยนการมองโลกแล้ว ผ่างงงงง เป็นคนใหม่ , ไม่ใช่แค่มองเห็นหญิงสาวคนที่เขารักเราแต่เรามองข้ามไปแล้ว ‘ว้าบบบบ เข้าใจชีวิต’)
ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในนิยายคือการพยายาม ‘เข้าใจผู้อื่น’ ผ่านการพูดคุย ผ่านการมีเวลาให้กัน ผ่านการยอมรับความเป็นมนุษย์ที่มีหลากหลายสีสันไม่เว้นแม้แต่คนเป็นพ่อแม่
และข้อสำคัญผ่านการ 'เปลี่ยนแปลงตัวเอง'
และสุดท้ายคือการอยู่ร่วมกับสีของชีวิตที่หลากหลายในโลก คือสีของคนทุกคนล้วนมีความเจ็บปวดและบาดแผลเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว
==
ส่วน Homestay ดีในแง่การเป็นหนังสนุกน่าติดตาม แต่ไม่น่าพอใจในแง่การจะเพิ่มบทบาทเป็นหนังให้บทเรียนชีวิต
ไล่ตั้งแต่แม้เฉลยทุกอย่างแล้ว ขนาดบอกอย่างโจ่งแจ้งก็ยังทำให้อินไปกับเหตุผลที่นำไปสู่การตายของพระเอกได้น้อยกว่าใน Colorful
หรือเหตุการณ์ช่วง Homestay ที่หากจะบอกว่าหนังมอบบทเรียนชีวิตผ่านพระเอกในตอนจบไม่ว่าจะการมองโลก การเข้าใจชีวิตฯลฯ อันนี้ระหว่างทางมาหนังทำได้ไม่ดีพอ
เวลาส่วนใหญ่ในหนังของพระเอกใช้ไปกับกิมมิค (เช่น พลุ , แปรอักษร , ผู้คุม ฯลฯ) มากกว่าแก่นสำคัญคือการพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นจนเข้าใจชีวิตมากขึ้น
และก็ให้ความสำคัญกับช่วงเวลากับพายมาก ซึ่งมันไม่ได้ช่วยพัฒนาตัวละครพระเอกเลย
ส่วนตัวรู้สึกเหมือนพระเอกตอนท้ายคล้ายกับได้อ่านคำคมจี๊ดๆหรืออ่านหนังสือฮาวทูสูตรสำเร็จตื้นเขินเสริมด้วยการพยายามขี้โกงด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ที่แข็งแรงมาบิวต์ให้เราอินในแง่ 'คุณค่าชีวิต'
เพราะ second chance ของพระเอกที่ผ่านมาก็มีเวลาจำกัดน้อยแสนน้อยไม่กี่วัน ใช้เวลาไปกับอะไรที่ไม่น่าช่วยให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น , แถมยังต้องสืบหาความจริง , แถมเจออิทธิฤทธิ์อภินิหารจากผู้คุม , แถมยังต้องนั่งรถไประยอง , แถมยังต้องมีแอคชั่นลุ้นระทึกแอบเข้าหอพี่ชาย ฯลฯ
แต่ด้วยการเขียนบทสร้างสถานการณ์ให้แม่ต้องเฉียดตายผสมโรงกับพลังของทุเรียน 😅 , การรู้ว่าพี่เสียสละไม่ไปเรียนต่อ , รู้ว่าเพื่อนสาวแอบชอบเขากับคำพูดจี๊ดๆว่าอย่าคิดว่าไม่มีใครรักแก และรู้ว่า อ๋อ ที่แท้พายเป็นเหยื่อ
... สิ่งเหล่านี้เหมือนมนต์วิเศษที่ทำลายเหตุผลของการอยากตายในตอนแรกไปได้ง่ายแล้วกลายเป็นคนใหม่ในร่างเดิม จนไม่ค่อยคล้อยตามเท่าไหร่นัก
ที่มา
https://www.facebook.com/IbehindYou/photos/a.286053878317/10156129073323318/?type=3&theater
รีวิว Homestay vs. Colorful โดยคุณหมอ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
เพิ่งเขียนบล็อกในประเด็นที่สนใจเกี่ยวกับ colorful กับ Homestay เสร็จไปสองบล็อกครับ แล้วก็คิดเล่นๆเป็นช็อตโน้ต(บางคนอาจบอกว่าสเตตัสนี้คือ short แล้วเรอะ 😅) ถึงความต่างของสองเรื่องนี้ได้ประมาณว่า
(1) colorful แบไต๋แต่แรกแทบจะหมดทุกอย่างแล้วว่าชีวิตพระเอก 'โดน'เรื่องอะไรมาบดขยี้
แต่ Homestay ค่อยๆเผยความลับตรงนี้ทีละอย่าง ซึ่งอันนี้ดัดแปลงได้ฉลาด ทำให้หนังน่าติดตามสมการเปลี่ยนแนวไปเป็นทริลเลอร์ที่มีปริศนาให้สืบค้น
===
(2) colorful ไม่ได้เน้นเรื่องรักเท่าไหร่แต่เน้นครอบครัว
เน้นความสำคัญกับความสัมพันธ์ของพระเอกกับคนในบ้าน มีฉากใหญ่ๆ เช่น จดหมายแม่ กิจกรรมใหม่ของแม่ , วันไปตกปลากับพ่อ ฯลฯ จนถึงตอนท้ายทำให้เรากับพระเอกสามารถเข้าใจตัวละครผู้ใหญ่แบบคนเป็นพ่อแม่มากขึ้น แม้ยังโกรธเกลียดบ้างแต่เริ่มเข้าใจ
และสุดท้ายเราก็เห็นเด็กคนหนึ่งได้เข้าใจว่า เออนะ ต่อให้พ่อแม่ของเราก็ไม่ได้ดีงามหรือสมบูรณ์แบบ บางพฤติกรรมของพ่อแม่ยังไม่โตหรือมีความเป็นเด็กกว่าเราเสียด้วยซ้ำ
นำไปสู่การเข้าใจคนสำคัญที่สุดอย่างฮิโรกะ(หรือพายในหนัง)ในตอนท้ายได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่ยอมรับได้ในพฤติกรรมนั้นๆ
เพราะชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีความเจ็บปวดที่อาจไม่ได้มีคำอธิบาย มีความไม่เข้าใจตัวเองแล้วทำร้ายคนอื่นรวมถึงทำร้ายตัวเอง
ส่วน Homestay โฟกัสไปที่ความรักมากกว่าครอบครัวอย่างชัดเจน สนุกกับกิมมิคผู้คุมมาก จนแทบไม่เหลือพื้นที่ครอบครัวคือมีเวลาให้เยอะแหละแต่แตะส่วนของครอบครัวแค่ผิวๆ ส่วนของพ่อแทบไม่คลี่คลายอะไรหรือส่วนของแม่ก็แค่บอกให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็แค่นั้น
ซึ่งในส่วนความรักของพายกับพระเอกก็ใช่ว่าจะทำได้ดีมีความเวิ่นเว้อฟุ่มเฟือยหลายฉาก ดีมากในส่วนของลีกับพระเอกซึ่งก็ดันมีน้อย
===
(3) การเฉลยไคลแมกซ์ colorful หวือหวาน้อยกว่าแต่ดี อ่านแล้วเห็นภาพแบบค่อยๆรู้ตัวดี
ส่วนการเฉลยไคลแมกซ์ของ Homestay ก็ดีไปอีกอย่างคือมันหวือหวาสมกับการมีพลุอยู่ในหนัง มีอารมณ์จี๊ดจึ๊กแบบหนังค่ายนี้รวมถึงการเล่นกับเรื่องแปรอักษรที่ก็เข้าท่ามากๆ
===
(4)'เงื่อนไข'
colorful มีโจทย์แค่ว่าจงเรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตให้ราบรื่นแล้วพระเอกก็ใช้ชีวิตในร่างใหม่อยู่เป็นปี
แต่ Homestay เน้นธีมระทึกกำหนดเส้นตายกับโจทย์ชัดคือต้องหาคำตอบว่าตายเพราะอะไรภายในกำหนดระบุจำนวนวัน
ทำให้ colorful อาจไม่เร้าใจ แต่พอเน้นการใช้ชีวิตภายใต้ปัญหารายล้อม พระเอกเหมือนตาบอดคลำช้างคือใช้ชีวิตไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าต้องหาอะไร จึงมีความหลากหลายที่เขาได้เห็นตัวเองผ่านสายตาคนมากมาย ได้เพื่อนใหม่
เมื่อถึงตอนท้ายที่ตัวละครค่อยๆเข้าใจอะไรมากขึ้น จึงพอรับได้ในการจบแบบมีรสติดฟีลกู๊ดช่วงท้ายบ้างเพราะมันเชื่อว่าเขาเติบโตจริง
แต่ Homestay พอใช้ชีวิตโดยเน้นการสืบสวนกับลั้ลลากับคนรักซะเยอะเพราะมีเงื่อนไขมาบังคับทำให้ขาดความหลากหลาย เมื่อถึงตอนท้ายจึงยอมรับการเปลี่ยนแปลงของพระเอกที่มีรสฟีลกู๊ดไม่ค่อยได้เท่าไหร่
===
(5) ชื่อ
- colorful ตรงตัวในส่วนของสีน้ำ สุดท้ายการเรียนรู้แล้วเข้าใจเกิดจาก 'สี' ทั้งภาพวาดสีฟ้า ทั้งกลิ่นสี ทั้งสีที่ใช้วาดที่เปลี่ยนไป และตอนจบสีที่ถูกใช้อธิบายความหลากหลายของชีวิตของตัวละครแต่ละคนไม่ใช่แค่ของพระเอก คือบทสรุปของชีวิตที่เกี่ยวดองกับชื่อนิยายได้ดีมาก
- Homestay ทิ้งเรื่องของสี ซึ่งก็เข้าใจเพราะชื่อหนังคือโฮมสเตย์ เพียงแต่พอถึงตอนจบความเป็นโฮมสเตย์ตามชื่อที่ต้องการใช้เรื่องการยืมร่างมาอธิบายความหมายของชีวิต ไม่หนักแน่นน่าเชื่อถือเท่าการใช้สีมาอธิบายชีวิตแบบนิยาย
===
(6) พายกับฮิโรกะ - ส่วนนี้ colorful ดีกว่ามาก มีประเด็นที่อยากเขียนยาวๆลงในบล้อกชื่อ 'การพาสเจอไรซ์ด้านมืดของชีวิต'ไปแล้วครับ เดี๋ยวว่างๆจะเอามาลงเพจ
===
(7) ความเข้าใจชีวิตและบทสรุป
❗*** ถัดจากนี้สปอยล์ ***❗
*****
*****
- ถ้ามองในแง่บทเรียนชีวิต
colorful ชนะ Homestay ที่เรียบเรียงไล่ตั้งแต่ประวัติอดีตวัยเด็กของพระเอก , การถูก bully ต่อมาถึงภาวะซึมเศร้าไปจนถึงวันวิปโยคในชีวิต
ต่อด้วยการกำเนิดใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วได้เพื่อนใหม่ไปจนรู้ความจริง
มันอาจไม่หวือหวาหรือพยายามมอบบทเรียนชัดๆแต่มันแสดงความเข้าใจชีวิต แล้วทำให้เห็นว่า second chance นั้นทำให้พระเอกเรียนรู้อะไรจริงๆ
(ไม่ใช่แค่เปลี่ยนการมองโลกแล้ว ผ่างงงงง เป็นคนใหม่ , ไม่ใช่แค่มองเห็นหญิงสาวคนที่เขารักเราแต่เรามองข้ามไปแล้ว ‘ว้าบบบบ เข้าใจชีวิต’)
ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในนิยายคือการพยายาม ‘เข้าใจผู้อื่น’ ผ่านการพูดคุย ผ่านการมีเวลาให้กัน ผ่านการยอมรับความเป็นมนุษย์ที่มีหลากหลายสีสันไม่เว้นแม้แต่คนเป็นพ่อแม่
และข้อสำคัญผ่านการ 'เปลี่ยนแปลงตัวเอง'
และสุดท้ายคือการอยู่ร่วมกับสีของชีวิตที่หลากหลายในโลก คือสีของคนทุกคนล้วนมีความเจ็บปวดและบาดแผลเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว
==
ส่วน Homestay ดีในแง่การเป็นหนังสนุกน่าติดตาม แต่ไม่น่าพอใจในแง่การจะเพิ่มบทบาทเป็นหนังให้บทเรียนชีวิต
ไล่ตั้งแต่แม้เฉลยทุกอย่างแล้ว ขนาดบอกอย่างโจ่งแจ้งก็ยังทำให้อินไปกับเหตุผลที่นำไปสู่การตายของพระเอกได้น้อยกว่าใน Colorful
หรือเหตุการณ์ช่วง Homestay ที่หากจะบอกว่าหนังมอบบทเรียนชีวิตผ่านพระเอกในตอนจบไม่ว่าจะการมองโลก การเข้าใจชีวิตฯลฯ อันนี้ระหว่างทางมาหนังทำได้ไม่ดีพอ
เวลาส่วนใหญ่ในหนังของพระเอกใช้ไปกับกิมมิค (เช่น พลุ , แปรอักษร , ผู้คุม ฯลฯ) มากกว่าแก่นสำคัญคือการพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นจนเข้าใจชีวิตมากขึ้น
และก็ให้ความสำคัญกับช่วงเวลากับพายมาก ซึ่งมันไม่ได้ช่วยพัฒนาตัวละครพระเอกเลย
ส่วนตัวรู้สึกเหมือนพระเอกตอนท้ายคล้ายกับได้อ่านคำคมจี๊ดๆหรืออ่านหนังสือฮาวทูสูตรสำเร็จตื้นเขินเสริมด้วยการพยายามขี้โกงด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ที่แข็งแรงมาบิวต์ให้เราอินในแง่ 'คุณค่าชีวิต'
เพราะ second chance ของพระเอกที่ผ่านมาก็มีเวลาจำกัดน้อยแสนน้อยไม่กี่วัน ใช้เวลาไปกับอะไรที่ไม่น่าช่วยให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น , แถมยังต้องสืบหาความจริง , แถมเจออิทธิฤทธิ์อภินิหารจากผู้คุม , แถมยังต้องนั่งรถไประยอง , แถมยังต้องมีแอคชั่นลุ้นระทึกแอบเข้าหอพี่ชาย ฯลฯ
แต่ด้วยการเขียนบทสร้างสถานการณ์ให้แม่ต้องเฉียดตายผสมโรงกับพลังของทุเรียน 😅 , การรู้ว่าพี่เสียสละไม่ไปเรียนต่อ , รู้ว่าเพื่อนสาวแอบชอบเขากับคำพูดจี๊ดๆว่าอย่าคิดว่าไม่มีใครรักแก และรู้ว่า อ๋อ ที่แท้พายเป็นเหยื่อ
... สิ่งเหล่านี้เหมือนมนต์วิเศษที่ทำลายเหตุผลของการอยากตายในตอนแรกไปได้ง่ายแล้วกลายเป็นคนใหม่ในร่างเดิม จนไม่ค่อยคล้อยตามเท่าไหร่นัก
ที่มา https://www.facebook.com/IbehindYou/photos/a.286053878317/10156129073323318/?type=3&theater