หวานรักต้องห้าม’ ละครเรียลๆ กับตอนจบใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีใครถูกลงโทษ หรือต้องตอบโจทย์ “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า”
จบลงไปแล้ว สำหรับละคร ‘หวานรักต้องห้าม’ ผลงานกำกับของ นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ ที่เรียกได้ว่าสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับละครทีวีไทยช่องหลักเป็นอย่างมาก ตั้งแต่รูปแบบการถ่ายทำที่เน้นซูมให้เห็นอารมณ์บนใบหน้านักแสดงกันแบบชัดๆ ฝีไม้ลายมือของนักแสดงทุกคน ไดอะล็อกที่เข้าปากนักแสดง รวมถึงมีมที่มาได้ถูกจังหวะแบบไม่แผ่ว
ที่สำคัญคือบทละครที่ตั้งใจแตะหลากหลายประเด็นสังคม แถมเล่าออกมาได้ดีจนต้องปรบมือให้ ไม่ว่าจะมุมมองที่แตกต่างของคนต่างเจเนอเรชั่น, อุดมการณ์กับเงื่อนไขในชีวิตจริง, ครอบครัว LGBTQ, เรื่อง Sex Work, เรื่องการทำแท้ง รวมถึง ท้าทายเส้นศีลธรรมเรื่องความรักความสัมพันธ์ของแทบทุกตัวละคร และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบที่ทำให้คนดูบางส่วนออกมาบ่นตามๆ กัน แต่สำหรับเรานั้น อยากบอกว่าชอบมาก
(สปอยล์ตอนจบ) โดยหลังจากที่ผกามาลินตัดสินใจเลิกกับคธาที่ต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา เพื่อให้เขาได้เติบโตในเส้นทางของตัวเอง จากนั้นละครตัดมาที่ 3 ปีให้หลัง ผกามาลินเปิดช็อปเสื้อผ้าของตัวเอง คืนดีกับมาดามเคทแล้ว ส่วนคธากลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ไทยพร้อมกับเอม เพื่อนสาวที่เคยแอบหลงรักเขาส่วนเขาก็เคยเผลอใจไปจูบเอม ทั้งคู่ดูน่าจะคบหาเป็นแฟนกันระหว่างที่อยู่เมืองนอก แต่เมื่อคธากลับมาเจอผกามาลินอีกครั้ง ดูเหมือนว่าถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น แค่เดินออกมาจากช็อปเสื้อผ้าของผกามาลินได้ไม่ทันไร เขาก็กลับเข้าไปจูบกับผกามาลิน แล้วละครก็ตัดจบ…
และขณะที่คนดูบางส่วนร้อง “ห้ะ” ไปตามๆ กัน รวมถึงแสดงความผิดหวังที่เรื่องจบอย่างไม่สมความคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันคนดูอีกจำนวนหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าตอนจบนี้ได้บอกเล่าชื่อเรื่อง ‘หวานรักต้องห้าม’ เอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงชื่อเรื่องเวอร์ชั่นเก่าอย่าง ‘บัวปริ่มน้ำ’ ด้วย เพราะนั่นหมายถึง ทั้งลินและคธายังคงวนอยู่กับความรักต้องห้าม และอยู่ในสถานะบัวปริ่มน้ำกันต่อ เพราะไม่สามารถเอาชนะอารมณ์ความรู้สึกหวานๆ ของตัวเองได้
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การที่คธานอกใจลินครั้งหนึ่งด้วยการไปจูบกับเอม และเมื่อมาคบกับเอม ก็นอกใจด้วยการไปจูบกับลินที่เป็นแฟนเก่า อาจเป็นต้นทางของการที่เขากำลังจะเติบโตไปซ้ำรอยกับสรรค์ ผู้เป็นพ่อ ที่มีเมียน้อยและทำให้แม่เสียใจมาตลอด ซึ่งเขาเองเคยวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้ แต่แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำมันผิดต่อความรู้สึกคนอื่น และท้ายที่สุดอาจลงเอยที่ต้องอยู่คนเดียวแบบสรรค์ แต่ใช่หรือไม่ว่า เขาเองก็ไม่สามารถฝืนสัญชาติญาณตัวเองได้ แม้จะรู้อยู่ถึงเงื่อนไขต่างๆ ในความสัมพันธ์ และท้ายที่สุดอุดมการณ์เรื่องต่างๆ ในใจก็อาจสั่นคลอนตามไปเมื่อเขาเติบโต และเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์และชีวิตจริงมากขึ้น
และอาจบอกได้ว่า แง่หนึ่งละครกำลังสะท้อนภาพความเป็น ‘ชายแทร่’ ที่พยายามกล่อมตัวเองด้วยแนวคิดแบบเสรีนิยม แต่กลับติดหล่มอารมณ์ทางเพศของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสรรค์ที่ปากบอกว่าชอบความสัมพันธ์แบบ Open Relationship แต่ก็กลับยอมให้ตัวเองโอเพ่นอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ยอมเมื่อฝ่ายหญิงจะโอเพ่นบ้าง หรือคธาที่เปิดเรื่องมาด้วยการเป็นนักกิจกรรมเจ้าหลักการ แต่กลับเต็มไปด้วยอีโก้ในตัวเอง อีกทั้งพอเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เขากลับงี่เง่า ขาดเหตุผล ไม่เผชิญหน้าความจริง และเลือกใช้การโกหกหลายครั้งจนความสัมพันธ์ถูกบ่มเอาไว้ด้วยความท็อกซิก
...
แต่อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายเล็กน้อยที่คนดูบางส่วนยังไม่ต้อนรับแนวทางเหล่านี้มากเท่าที่ควร ตลอดเส้นทางการออนแอร์หวานรักต้องห้าม เห็นได้ชัดว่ามีหลายเสียงจากคนดูที่ตั้งท่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความ “รับไม่ได้” กับพฤติกรรมต่างๆ ของตัวละคร ซึ่งอาจเป็นเพราะละครเรื่องนี้ไม่ได้ทำเลือกจะให้บทพระเอก-นางเอก ต้องขาวสะอาดไร้ที่ติตามขนบละครแบบเดิมๆ แถมไม่ได้มีตัวร้ายที่ร้ายขาดใจจนต้องโดนทุเรียนฟาดหน้า ดังนั้น การที่ทุกตัวละครล้วนแต่มีมิติและมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง ที่ดีบ้าง บ้งบ้าง ไม่ได้มีเส้นแบ่งชัดเจนว่าฝั่งไหนดีฝั่งไหนร้าย อาจทำให้ยากต่อเอาเอาใจไปวางไว้กับตัวละครใดตัวละครหนึ่งโดยเฉพาะฝั่งพระเอกนางเอกอย่างที่เคยชินกันมาตลอด
ที่สำคัญการที่ละครเลือกให้ตัวละครได้ ‘เรียนรู้’ มากกว่าจะ ‘ถูกลงโทษอย่างสาสม’ ก็ทำให้คนดูบางส่วนรู้สึกว่าละครกำลังโรแมนติไซส์พฤติกรรมที่ขัดกับศีลธรรมอันดี ทั้งที่ในชีวิตจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่างก็ดำเนินอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา ผู้คนเคยทำผิดพลาด เคยตัดสินใจบ้าๆ บอๆ เคยทำร้ายความรู้สึกคนอื่น และต่างก็ได้เรียนรู้บ้าง ไม่ได้เรียนรู้บ้าง เราทุกคนต่างก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นในละครก็คงเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องมีตอนจบที่สะใจคนดูหรือให้ข้อสรุปแบบ “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” ทุกครั้งไป
Tag :หวานรักต้องห้าม
https://mirrorthailand.com/culture/films/102053
หวานรักต้องห้าม’ ละครเรียลๆ กับตอนจบใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีใครถูกลงโทษ หรือต้องตอบโจทย์ “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า”
จบลงไปแล้ว สำหรับละคร ‘หวานรักต้องห้าม’ ผลงานกำกับของ นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ ที่เรียกได้ว่าสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับละครทีวีไทยช่องหลักเป็นอย่างมาก ตั้งแต่รูปแบบการถ่ายทำที่เน้นซูมให้เห็นอารมณ์บนใบหน้านักแสดงกันแบบชัดๆ ฝีไม้ลายมือของนักแสดงทุกคน ไดอะล็อกที่เข้าปากนักแสดง รวมถึงมีมที่มาได้ถูกจังหวะแบบไม่แผ่ว
ที่สำคัญคือบทละครที่ตั้งใจแตะหลากหลายประเด็นสังคม แถมเล่าออกมาได้ดีจนต้องปรบมือให้ ไม่ว่าจะมุมมองที่แตกต่างของคนต่างเจเนอเรชั่น, อุดมการณ์กับเงื่อนไขในชีวิตจริง, ครอบครัว LGBTQ, เรื่อง Sex Work, เรื่องการทำแท้ง รวมถึง ท้าทายเส้นศีลธรรมเรื่องความรักความสัมพันธ์ของแทบทุกตัวละคร และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบที่ทำให้คนดูบางส่วนออกมาบ่นตามๆ กัน แต่สำหรับเรานั้น อยากบอกว่าชอบมาก
(สปอยล์ตอนจบ) โดยหลังจากที่ผกามาลินตัดสินใจเลิกกับคธาที่ต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา เพื่อให้เขาได้เติบโตในเส้นทางของตัวเอง จากนั้นละครตัดมาที่ 3 ปีให้หลัง ผกามาลินเปิดช็อปเสื้อผ้าของตัวเอง คืนดีกับมาดามเคทแล้ว ส่วนคธากลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ไทยพร้อมกับเอม เพื่อนสาวที่เคยแอบหลงรักเขาส่วนเขาก็เคยเผลอใจไปจูบเอม ทั้งคู่ดูน่าจะคบหาเป็นแฟนกันระหว่างที่อยู่เมืองนอก แต่เมื่อคธากลับมาเจอผกามาลินอีกครั้ง ดูเหมือนว่าถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น แค่เดินออกมาจากช็อปเสื้อผ้าของผกามาลินได้ไม่ทันไร เขาก็กลับเข้าไปจูบกับผกามาลิน แล้วละครก็ตัดจบ…
และขณะที่คนดูบางส่วนร้อง “ห้ะ” ไปตามๆ กัน รวมถึงแสดงความผิดหวังที่เรื่องจบอย่างไม่สมความคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันคนดูอีกจำนวนหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าตอนจบนี้ได้บอกเล่าชื่อเรื่อง ‘หวานรักต้องห้าม’ เอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงชื่อเรื่องเวอร์ชั่นเก่าอย่าง ‘บัวปริ่มน้ำ’ ด้วย เพราะนั่นหมายถึง ทั้งลินและคธายังคงวนอยู่กับความรักต้องห้าม และอยู่ในสถานะบัวปริ่มน้ำกันต่อ เพราะไม่สามารถเอาชนะอารมณ์ความรู้สึกหวานๆ ของตัวเองได้
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การที่คธานอกใจลินครั้งหนึ่งด้วยการไปจูบกับเอม และเมื่อมาคบกับเอม ก็นอกใจด้วยการไปจูบกับลินที่เป็นแฟนเก่า อาจเป็นต้นทางของการที่เขากำลังจะเติบโตไปซ้ำรอยกับสรรค์ ผู้เป็นพ่อ ที่มีเมียน้อยและทำให้แม่เสียใจมาตลอด ซึ่งเขาเองเคยวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้ แต่แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำมันผิดต่อความรู้สึกคนอื่น และท้ายที่สุดอาจลงเอยที่ต้องอยู่คนเดียวแบบสรรค์ แต่ใช่หรือไม่ว่า เขาเองก็ไม่สามารถฝืนสัญชาติญาณตัวเองได้ แม้จะรู้อยู่ถึงเงื่อนไขต่างๆ ในความสัมพันธ์ และท้ายที่สุดอุดมการณ์เรื่องต่างๆ ในใจก็อาจสั่นคลอนตามไปเมื่อเขาเติบโต และเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์และชีวิตจริงมากขึ้น
และอาจบอกได้ว่า แง่หนึ่งละครกำลังสะท้อนภาพความเป็น ‘ชายแทร่’ ที่พยายามกล่อมตัวเองด้วยแนวคิดแบบเสรีนิยม แต่กลับติดหล่มอารมณ์ทางเพศของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสรรค์ที่ปากบอกว่าชอบความสัมพันธ์แบบ Open Relationship แต่ก็กลับยอมให้ตัวเองโอเพ่นอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ยอมเมื่อฝ่ายหญิงจะโอเพ่นบ้าง หรือคธาที่เปิดเรื่องมาด้วยการเป็นนักกิจกรรมเจ้าหลักการ แต่กลับเต็มไปด้วยอีโก้ในตัวเอง อีกทั้งพอเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เขากลับงี่เง่า ขาดเหตุผล ไม่เผชิญหน้าความจริง และเลือกใช้การโกหกหลายครั้งจนความสัมพันธ์ถูกบ่มเอาไว้ด้วยความท็อกซิก
...
แต่อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายเล็กน้อยที่คนดูบางส่วนยังไม่ต้อนรับแนวทางเหล่านี้มากเท่าที่ควร ตลอดเส้นทางการออนแอร์หวานรักต้องห้าม เห็นได้ชัดว่ามีหลายเสียงจากคนดูที่ตั้งท่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความ “รับไม่ได้” กับพฤติกรรมต่างๆ ของตัวละคร ซึ่งอาจเป็นเพราะละครเรื่องนี้ไม่ได้ทำเลือกจะให้บทพระเอก-นางเอก ต้องขาวสะอาดไร้ที่ติตามขนบละครแบบเดิมๆ แถมไม่ได้มีตัวร้ายที่ร้ายขาดใจจนต้องโดนทุเรียนฟาดหน้า ดังนั้น การที่ทุกตัวละครล้วนแต่มีมิติและมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง ที่ดีบ้าง บ้งบ้าง ไม่ได้มีเส้นแบ่งชัดเจนว่าฝั่งไหนดีฝั่งไหนร้าย อาจทำให้ยากต่อเอาเอาใจไปวางไว้กับตัวละครใดตัวละครหนึ่งโดยเฉพาะฝั่งพระเอกนางเอกอย่างที่เคยชินกันมาตลอด
ที่สำคัญการที่ละครเลือกให้ตัวละครได้ ‘เรียนรู้’ มากกว่าจะ ‘ถูกลงโทษอย่างสาสม’ ก็ทำให้คนดูบางส่วนรู้สึกว่าละครกำลังโรแมนติไซส์พฤติกรรมที่ขัดกับศีลธรรมอันดี ทั้งที่ในชีวิตจริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่างก็ดำเนินอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา ผู้คนเคยทำผิดพลาด เคยตัดสินใจบ้าๆ บอๆ เคยทำร้ายความรู้สึกคนอื่น และต่างก็ได้เรียนรู้บ้าง ไม่ได้เรียนรู้บ้าง เราทุกคนต่างก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นในละครก็คงเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องมีตอนจบที่สะใจคนดูหรือให้ข้อสรุปแบบ “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” ทุกครั้งไป
Tag :หวานรักต้องห้าม
https://mirrorthailand.com/culture/films/102053