เสร็จศึกฆ่าขุนพล อนาคต “แกนนำแดง” ที่ไม่มีอนาคต “นายใหญ่” ตัดหาง - ไร้เหลียวแล
นับตั้งแต่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจ เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 “แกนนำคนเสื้อแดง” หลายชีวิตเลือกที่จะระเหเร่ร่อนไปใช้ชีวิตในต่างแดน มากกว่าการอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน ที่ “คณะรัฏฐาธิปัตย์” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เข้ามาเป็นผู้บริหาร-ผู้ปกครองประเทศ
บ้างก็อ้างอุดมการณ์ “ต่อต้านเผด็จการ” ไม่ยอมรับอำนาจ และไม่ยอมไปรายงานตัวต่อ คสช. จนถูกตั้งข้อหาขัดคำสั่งคณะรัฐประหาร
บ้างก็มีชนักปักหลังเป็น “คดีร้ายแรง” จึงอาศัยจังหวะชุลมุนเตลิดไปไขว่คว้าสถานะ “ผู้ลี้ภัย” หวังเสพสุขที่เมืองนอก แทนการติดคุกตารางในเมืองไทย
หรือบางส่วนไม่ได้ถูกเพ่งเล็งอะไรมากมาย แต่ก็เฮโลไปกับเขาด้วย หวังใช้สถานการณ์ “สร้างโปรไฟล์” ความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยให้เด่นชัดมากขึ้น
4-5 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้ที่แตกกระสายซ่านเซ็นไปคนละทางสองทาง ก็ยังมี “มูฟเม้นท์” ความเคลื่อนไหวเขย่าสถานการณ์กลับมาที่มาตุภูมิกันอยู่เนืองๆ
ก่อนจะมาถึง “ดรามาเคล้าน้ำตา” คลี่ฉากชีวิตของ “แอคทิวิสต์เสื้อแดง” ที่ตกระกำลำบากอยู่ในต่างแดน จากการเปิดเผยของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตนักเคลื่อนไหวกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ที่เพิ่งพ้นโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และข้อหาหมิ่นประมาท พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร สมัยเป็นโฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เป็นดรามาที่เลือก “ไทม์มิ่ง” ได้เหมาะเจาะ ปล่อยออกมาในห้วงเดือนตุลาคม เดือนสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” โดย “สมยศ” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึง วิสา คัญทัพ อดีต 1 ใน 13 กบฎยุค 14 ตุลาคม 2516 ที่ผันตัวมาเป็นศิลปิน-กวีเพื่อชีวิต เจ้าของวรรคทอง “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ก่อนจะเข้าร่วมเป็น 1 ในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมทั้งเคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
จากบทบาทที่ว่านี่เองที่ทำให้ “วิสา” ตกเป็นบุคคลที่หลบหนีตามหมายเรียกของ คสช.หลังรัฐประหารปี 2557 เมื่อไม่ยอมไปรายงานตัวต่อ คสช.
“ผมพบกับ วิสา คัญทัพ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมัน วิสา ผอมซูบลงถนัดตาเห็น เดินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าสั่นคลอนไปมา ผมจับมือวิสา คัญทัพ แต่มือของเขาสั่นเทา ไม่ใช่เพราะความหนาวแต่เป็นด้วยอาการของโรคพาร์กินสัน ที่เกิดกับเขาเมื่อต้องไปใช้ชีวิตลำเค็ญต่างแดนในเมืองอันหนาวเหน็บ เขาใช้เวลาทั้งหมดอยู่ภายในบ้านกับภรรยา ไพจิตร อักษรณรงค์ ไม่ได้ออกไปไหนเพื่อรอคอยสถานภาพผู้ลี้ภัย จนบัดนี้เขาออกจากบ้านได้ แต่ทว่า ความชราและพากินสันกลับทำให้เขาต้องอยู่แต่ภายในบ้านอพาร์ตเมนต์สี่เหลี่ยมอุดอู้
วิสา คัญทัพ ซึ่งป่วยเป็นโรคพาร์กินสันและยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย
จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงสายวิชาการ ที่ตกอยู่ในสภาพ “นอนซม ถือถุงเยี่ยว” อันเป็นผลมาจากการเข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมากโต
“วิสา บอกกับผมด้วยเสียงสั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงมหาศาลเลย ผมแก่แล้ว ภาษาอังกฤษและเยอรมันพูดไม่ได้เลย อยู่ในสังคมต่างแดนมันโหดร้ายมาก จะเริ่มเรียนก็ไม่ได้ ไม่ใช่คนหนุ่มสาว เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ผมจับมือวิสา ให้ความมั่นใจกับเขาว่า บรรดานักต่อสู้ประชาธิปไตยในเมืองไทย ยังไม่ลืมเขา และจะต้องนำ วิสา คัญทัพและพวก กลับประเทศไทยให้ได้” สมยศ เล่าไว้เช่นนั้น
ประเด็นคือ “วิสา” เป็นโรคพาร์กินสัน ยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย และค่ารักษาพยาบาลที่ประเทศเยอรมนีแพงมาก
ไม่เท่านั้น “สมยศ” ยังไล่เรียงถึงชะตากรรมของ “แอคทิวิสต์เสื้อแดง” รายอื่นๆที่ตกระกำลำบากไม่แพ้กันด้วยว่า ทั้งรายของ “สหายแผ้ว” จรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงสายวิชาการ ที่ตกอยู่ในสภาพ “นอนซม ถือถุงเยี่ยว” อันเป็นผลมาจากการเข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
รวมทั้ง “หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีความมั่นคง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน ที่ล้มป่วยกะทันหัน และกำลังฟื้นฟูร่างกายในโรงพยาบาล หลังเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แม้มีอาการเจ็บป่วยไม่ต่างกัน แต่รายของ “จรัล-สมศักดิ์” ดีกว่า “วิสา” ตรงที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง และพลเมืองฝรั่งเศส แล้ว การรักษาจึงเข้าโปรแกรมระบบสวัสดิการของประเทศปลายทางได้
นอกจากนี้ก็ยังไม่ลืมอดีตเพื่อนร่วมคุก ที่ “สมยศ” กล่าวไปถึงอดีตศิลปินดัง ทอม ดันดี ที่ถูกตีตรวนในกรงขังจนแทบจะเป็นบ้าด้วย
สิ่งที่ “สมยศ” สื่อสารออกมาในทางสาธารณะถึงชะตากรรม “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” นั้นอาจจะฟังดูดราม่าเกินจริงไปบ้าง จนมีความพยายาม “แก้ข่าว” ว่าไม่ได้ลำบากกันขนาดนั้น อย่าง “จรัล” ก็ระบุว่า สุขภาพมีปัญหาจริง แต่ไม่ถึงขั้นนอนติดเตียงถือถุงปัสสาวะ 24 ชั่วโมง แต่อย่างใด ยังพอเดินเหินไปไหนมาไหนได้
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่เส้นโลหิตในสมองแตก
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย หนีคดีไปเสียชีวิตที่ประเทศฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตามอาการล้มหมอนนอนเสื่อในเวลาไล่เลี่ยกันของ “แกนนำ-แอคทิวิสต์เสื้อแดง” นั้น ก็ทำให้หวนนึกถึง กรณีตัวอย่างก่อนหน้ากับรายของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาฯ เจ้าของสมญานาม “รองโรมานอฟ” ที่หลบหนีคำสั่ง คสช.และต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ไม่กี่เดือนหลัง คสช.เข้ามายึดอำนาจ
หรืออย่าง “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการชุมนุม นปช.ปี 2553 รวมไปถึงการใช้ยุทธวิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ตอบโต้กับ “กลุ่ม กปปส.” ด้วยความรุนแรงเมื่อการชุมนุมปี 2557 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตหลายราย หลังรัฐประหารถูกหมายหัวเป็นบุคคลอันตรายที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายความมั่นคงไล่ล่า แต่ก็ไหวตัวทัน หลบหนีไปอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีความเคลื่อนไหวผ่าน “รายการวิทยุใต้ดิน” กับกลุ่ม “ลุงสนามหลวง” ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ในการเผยแพร่แนวคิดการจัดตั้ง “สหพันรัฐไท”
จตุพร พรหมพันธุ์ หลังจากพ้นคุก วันนี้ไม่มีที่ยืนในพรรคเพื่อไทย
ก่อนที่ช่วงปลายปี 2560 จะมีข่าวว่า “โกตี๋” ถูก “ชายชุดดำ” อุ้มตัวหายไป จนป่านนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมที่แน่ชัด แต่ทาง “ลุงสนามหลวง” ก็คอนเฟิร์มแล้วว่า “โกตี๋” จากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่ว่าจะชิงชัง-เห็นต่างกันเพียงใด แต่เมื่อได้ทราบถึงชะตากรรมที่น่าอดสูของ“ผู้ต้องคดีร้ายแรง-นักโทษการเมือง” แล้ว ก็อาจจะพูดได้ถึงขนาดว่า “คนเห็นต่าง” ยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่ “พวกเดียวกัน” ดูเหมือนจะไม่เหลียวแล
พูดได้ไม่ผิดว่า ความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ “เป็นคุณ”ต่อ “ระบอบทักษิณ”มาตลอด จนหลายคนอย่าง “จรัล - วิสา” ก็ได้รับบำเหน็จจากผลงานการชุมนุม นปช.ปี 2553 ทำให้มีตำแหน่งเงินกินเดือนใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มาแล้ว
แต่ในยามยากลำบากเอาชีวิตแทบไม่รอดในต่างแดน ดูเหมือนจะไม่มีสวัสดิการใดๆ จาก ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ และผู้นำจิตวิญญาณของคนเสื้อแดง แม้แต่น้อย
ที่เจ็บปวดมากกว่านั้น คือตัว “นายใหญ่ดูไบ” และน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาหลบหนีคดี เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนเช่นกัน หากแต่สภาพความเป็นอยู่แตกต่างจาก “แกนนำเสื้อแดง” ราว “ฟ้ากับเหว”
ด้วย “พี่น้องชินวัตร” ใช้ชีวิตดีดีย์ กินหรู อยู่สบาย ส่วนบรรดา “ลิ่วล้อ” ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน อย่างที่ “สมยศ” ว่าไว้
สลับฉากมาที่ “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่ยังปักหลักอยู่ในประเทศ ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากพวกที่เตลิดไปต่างประเทศเท่าไร เมื่อดูสถานการณ์ภายในระดับนำของ นปช.ชักจะทะ
ๆ ภายหลังจากที่ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. พ้นโทษออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แล้วมีความเห็น “สวนทาง” กับพี่น้องร่วมก๊วนอย่างเห็นได้ชัด
หลายครั้ง “พูดกันคนละคีย์" ปะทะจังๆกับ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. โดยเฉพาะประเด็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” ที่ “พี่ตู่” ตกพุ่มไปนั่งแถลงกับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วยังมี ธิดา ถาวรเศรษฐ์ อดีตประธาน นปช.ออกมาผสมโรงด้วย
ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงกันภายใน “แกนนำแดง” ไม่น้อย กระทั่งมีการแตกไลน์ไปร่วมก่อตั้ง “พรรคเพื่อชาติ” ที่ประกาศลั่นว่าเป็น “พรรคคนเสื้อแดง” แต่ “เสี่ยเต้น-ป้าธิดา” บอกไม่รู้เรื่อง
จังหวะเคลื่อนไหวของ “จตุพร” นั้นมี “นัย” ไม่น้อย ด้วยคงมีเวลาทบทวนใคร่ครวญบทบาทในอดีตในช่วงที่ต้องขังในเรือนจำ จนตกผลึกถึงอนาคตของ “คนเสื้อแดง” ใต้ปีก “ระบอบทักษิณ” ว่า “ไม่มีอนาคต” ทั้งที่เผชิญชะตากรรมกันอยู่ในตอนนี้ก็ดูจะไม่มีไมตรีหรือความช่วยเหลือใดๆ จาก “บิ๊กบอส” เฉกเช่นเดียวกับคดีร้ายแรงที่ยังเข้าคิวรออยู่
ตามคอนเซปต์ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
อีกทั้ง “นายกฯ ประยุทธ์” เคยประกาศชัดว่า “ต้องไม่มีการชุมนุม” นั่นก็เท่ากับตัดความสำคัญ นปช.-คนเสื้อแดง ที่มีต่อ “ระบอบทักษิณ” ไปในทันที อันเป็นที่มาของการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวภายใต้ไอเดีย “รวมกันแพ้ แยกชนะ” ของ “จตุพร” ที่หมายหา “ที่ยืน” ให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมก๊วนในนาม “พรรคเพื่อชาติ” แต่อย่างที่ทราบ “เสี่ยเต้น-ป้าธิดา” ไม่เอาด้วย
ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ใช้ชีวิตที่ “โคตร” สุขสบายอยู่ในต่างประเทศ
https://mgronline.com/daily/detail/9610000104442
⚡~มาลาริน~อภิโธ่ ! เวรกรรม..เสร็จศึกฆ่าขุนพล อนาคต “แกนนำแดง” ที่ไม่มีอนาคต “นายใหญ่” ตัดหาง - ไร้เหลียวแล
เสร็จศึกฆ่าขุนพล อนาคต “แกนนำแดง” ที่ไม่มีอนาคต “นายใหญ่” ตัดหาง - ไร้เหลียวแล
นับตั้งแต่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจ เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 “แกนนำคนเสื้อแดง” หลายชีวิตเลือกที่จะระเหเร่ร่อนไปใช้ชีวิตในต่างแดน มากกว่าการอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน ที่ “คณะรัฏฐาธิปัตย์” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เข้ามาเป็นผู้บริหาร-ผู้ปกครองประเทศ
บ้างก็อ้างอุดมการณ์ “ต่อต้านเผด็จการ” ไม่ยอมรับอำนาจ และไม่ยอมไปรายงานตัวต่อ คสช. จนถูกตั้งข้อหาขัดคำสั่งคณะรัฐประหาร
บ้างก็มีชนักปักหลังเป็น “คดีร้ายแรง” จึงอาศัยจังหวะชุลมุนเตลิดไปไขว่คว้าสถานะ “ผู้ลี้ภัย” หวังเสพสุขที่เมืองนอก แทนการติดคุกตารางในเมืองไทย
หรือบางส่วนไม่ได้ถูกเพ่งเล็งอะไรมากมาย แต่ก็เฮโลไปกับเขาด้วย หวังใช้สถานการณ์ “สร้างโปรไฟล์” ความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยให้เด่นชัดมากขึ้น
4-5 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้ที่แตกกระสายซ่านเซ็นไปคนละทางสองทาง ก็ยังมี “มูฟเม้นท์” ความเคลื่อนไหวเขย่าสถานการณ์กลับมาที่มาตุภูมิกันอยู่เนืองๆ
ก่อนจะมาถึง “ดรามาเคล้าน้ำตา” คลี่ฉากชีวิตของ “แอคทิวิสต์เสื้อแดง” ที่ตกระกำลำบากอยู่ในต่างแดน จากการเปิดเผยของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตนักเคลื่อนไหวกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ที่เพิ่งพ้นโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และข้อหาหมิ่นประมาท พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร สมัยเป็นโฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เป็นดรามาที่เลือก “ไทม์มิ่ง” ได้เหมาะเจาะ ปล่อยออกมาในห้วงเดือนตุลาคม เดือนสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” โดย “สมยศ” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุถึง วิสา คัญทัพ อดีต 1 ใน 13 กบฎยุค 14 ตุลาคม 2516 ที่ผันตัวมาเป็นศิลปิน-กวีเพื่อชีวิต เจ้าของวรรคทอง “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ก่อนจะเข้าร่วมเป็น 1 ในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมทั้งเคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
จากบทบาทที่ว่านี่เองที่ทำให้ “วิสา” ตกเป็นบุคคลที่หลบหนีตามหมายเรียกของ คสช.หลังรัฐประหารปี 2557 เมื่อไม่ยอมไปรายงานตัวต่อ คสช.
“ผมพบกับ วิสา คัญทัพ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมัน วิสา ผอมซูบลงถนัดตาเห็น เดินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าสั่นคลอนไปมา ผมจับมือวิสา คัญทัพ แต่มือของเขาสั่นเทา ไม่ใช่เพราะความหนาวแต่เป็นด้วยอาการของโรคพาร์กินสัน ที่เกิดกับเขาเมื่อต้องไปใช้ชีวิตลำเค็ญต่างแดนในเมืองอันหนาวเหน็บ เขาใช้เวลาทั้งหมดอยู่ภายในบ้านกับภรรยา ไพจิตร อักษรณรงค์ ไม่ได้ออกไปไหนเพื่อรอคอยสถานภาพผู้ลี้ภัย จนบัดนี้เขาออกจากบ้านได้ แต่ทว่า ความชราและพากินสันกลับทำให้เขาต้องอยู่แต่ภายในบ้านอพาร์ตเมนต์สี่เหลี่ยมอุดอู้
วิสา คัญทัพ ซึ่งป่วยเป็นโรคพาร์กินสันและยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย
จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงสายวิชาการ ที่ตกอยู่ในสภาพ “นอนซม ถือถุงเยี่ยว” อันเป็นผลมาจากการเข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมากโต
“วิสา บอกกับผมด้วยเสียงสั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงมหาศาลเลย ผมแก่แล้ว ภาษาอังกฤษและเยอรมันพูดไม่ได้เลย อยู่ในสังคมต่างแดนมันโหดร้ายมาก จะเริ่มเรียนก็ไม่ได้ ไม่ใช่คนหนุ่มสาว เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ผมจับมือวิสา ให้ความมั่นใจกับเขาว่า บรรดานักต่อสู้ประชาธิปไตยในเมืองไทย ยังไม่ลืมเขา และจะต้องนำ วิสา คัญทัพและพวก กลับประเทศไทยให้ได้” สมยศ เล่าไว้เช่นนั้น
ประเด็นคือ “วิสา” เป็นโรคพาร์กินสัน ยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย และค่ารักษาพยาบาลที่ประเทศเยอรมนีแพงมาก
ไม่เท่านั้น “สมยศ” ยังไล่เรียงถึงชะตากรรมของ “แอคทิวิสต์เสื้อแดง” รายอื่นๆที่ตกระกำลำบากไม่แพ้กันด้วยว่า ทั้งรายของ “สหายแผ้ว” จรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงสายวิชาการ ที่ตกอยู่ในสภาพ “นอนซม ถือถุงเยี่ยว” อันเป็นผลมาจากการเข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
รวมทั้ง “หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีความมั่นคง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน ที่ล้มป่วยกะทันหัน และกำลังฟื้นฟูร่างกายในโรงพยาบาล หลังเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แม้มีอาการเจ็บป่วยไม่ต่างกัน แต่รายของ “จรัล-สมศักดิ์” ดีกว่า “วิสา” ตรงที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง และพลเมืองฝรั่งเศส แล้ว การรักษาจึงเข้าโปรแกรมระบบสวัสดิการของประเทศปลายทางได้
นอกจากนี้ก็ยังไม่ลืมอดีตเพื่อนร่วมคุก ที่ “สมยศ” กล่าวไปถึงอดีตศิลปินดัง ทอม ดันดี ที่ถูกตีตรวนในกรงขังจนแทบจะเป็นบ้าด้วย
สิ่งที่ “สมยศ” สื่อสารออกมาในทางสาธารณะถึงชะตากรรม “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” นั้นอาจจะฟังดูดราม่าเกินจริงไปบ้าง จนมีความพยายาม “แก้ข่าว” ว่าไม่ได้ลำบากกันขนาดนั้น อย่าง “จรัล” ก็ระบุว่า สุขภาพมีปัญหาจริง แต่ไม่ถึงขั้นนอนติดเตียงถือถุงปัสสาวะ 24 ชั่วโมง แต่อย่างใด ยังพอเดินเหินไปไหนมาไหนได้
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่เส้นโลหิตในสมองแตก
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย หนีคดีไปเสียชีวิตที่ประเทศฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตามอาการล้มหมอนนอนเสื่อในเวลาไล่เลี่ยกันของ “แกนนำ-แอคทิวิสต์เสื้อแดง” นั้น ก็ทำให้หวนนึกถึง กรณีตัวอย่างก่อนหน้ากับรายของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาฯ เจ้าของสมญานาม “รองโรมานอฟ” ที่หลบหนีคำสั่ง คสช.และต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ไม่กี่เดือนหลัง คสช.เข้ามายึดอำนาจ
หรืออย่าง “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในการชุมนุม นปช.ปี 2553 รวมไปถึงการใช้ยุทธวิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ตอบโต้กับ “กลุ่ม กปปส.” ด้วยความรุนแรงเมื่อการชุมนุมปี 2557 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตหลายราย หลังรัฐประหารถูกหมายหัวเป็นบุคคลอันตรายที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายความมั่นคงไล่ล่า แต่ก็ไหวตัวทัน หลบหนีไปอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีความเคลื่อนไหวผ่าน “รายการวิทยุใต้ดิน” กับกลุ่ม “ลุงสนามหลวง” ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ในการเผยแพร่แนวคิดการจัดตั้ง “สหพันรัฐไท”
จตุพร พรหมพันธุ์ หลังจากพ้นคุก วันนี้ไม่มีที่ยืนในพรรคเพื่อไทย
ก่อนที่ช่วงปลายปี 2560 จะมีข่าวว่า “โกตี๋” ถูก “ชายชุดดำ” อุ้มตัวหายไป จนป่านนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมที่แน่ชัด แต่ทาง “ลุงสนามหลวง” ก็คอนเฟิร์มแล้วว่า “โกตี๋” จากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่ว่าจะชิงชัง-เห็นต่างกันเพียงใด แต่เมื่อได้ทราบถึงชะตากรรมที่น่าอดสูของ“ผู้ต้องคดีร้ายแรง-นักโทษการเมือง” แล้ว ก็อาจจะพูดได้ถึงขนาดว่า “คนเห็นต่าง” ยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่ “พวกเดียวกัน” ดูเหมือนจะไม่เหลียวแล
พูดได้ไม่ผิดว่า ความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ “เป็นคุณ”ต่อ “ระบอบทักษิณ”มาตลอด จนหลายคนอย่าง “จรัล - วิสา” ก็ได้รับบำเหน็จจากผลงานการชุมนุม นปช.ปี 2553 ทำให้มีตำแหน่งเงินกินเดือนใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มาแล้ว
แต่ในยามยากลำบากเอาชีวิตแทบไม่รอดในต่างแดน ดูเหมือนจะไม่มีสวัสดิการใดๆ จาก ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ และผู้นำจิตวิญญาณของคนเสื้อแดง แม้แต่น้อย
ที่เจ็บปวดมากกว่านั้น คือตัว “นายใหญ่ดูไบ” และน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาหลบหนีคดี เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนเช่นกัน หากแต่สภาพความเป็นอยู่แตกต่างจาก “แกนนำเสื้อแดง” ราว “ฟ้ากับเหว”
ด้วย “พี่น้องชินวัตร” ใช้ชีวิตดีดีย์ กินหรู อยู่สบาย ส่วนบรรดา “ลิ่วล้อ” ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน อย่างที่ “สมยศ” ว่าไว้
สลับฉากมาที่ “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่ยังปักหลักอยู่ในประเทศ ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากพวกที่เตลิดไปต่างประเทศเท่าไร เมื่อดูสถานการณ์ภายในระดับนำของ นปช.ชักจะทะๆ ภายหลังจากที่ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. พ้นโทษออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แล้วมีความเห็น “สวนทาง” กับพี่น้องร่วมก๊วนอย่างเห็นได้ชัด
หลายครั้ง “พูดกันคนละคีย์" ปะทะจังๆกับ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. โดยเฉพาะประเด็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” ที่ “พี่ตู่” ตกพุ่มไปนั่งแถลงกับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วยังมี ธิดา ถาวรเศรษฐ์ อดีตประธาน นปช.ออกมาผสมโรงด้วย
ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงกันภายใน “แกนนำแดง” ไม่น้อย กระทั่งมีการแตกไลน์ไปร่วมก่อตั้ง “พรรคเพื่อชาติ” ที่ประกาศลั่นว่าเป็น “พรรคคนเสื้อแดง” แต่ “เสี่ยเต้น-ป้าธิดา” บอกไม่รู้เรื่อง
จังหวะเคลื่อนไหวของ “จตุพร” นั้นมี “นัย” ไม่น้อย ด้วยคงมีเวลาทบทวนใคร่ครวญบทบาทในอดีตในช่วงที่ต้องขังในเรือนจำ จนตกผลึกถึงอนาคตของ “คนเสื้อแดง” ใต้ปีก “ระบอบทักษิณ” ว่า “ไม่มีอนาคต” ทั้งที่เผชิญชะตากรรมกันอยู่ในตอนนี้ก็ดูจะไม่มีไมตรีหรือความช่วยเหลือใดๆ จาก “บิ๊กบอส” เฉกเช่นเดียวกับคดีร้ายแรงที่ยังเข้าคิวรออยู่
ตามคอนเซปต์ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
อีกทั้ง “นายกฯ ประยุทธ์” เคยประกาศชัดว่า “ต้องไม่มีการชุมนุม” นั่นก็เท่ากับตัดความสำคัญ นปช.-คนเสื้อแดง ที่มีต่อ “ระบอบทักษิณ” ไปในทันที อันเป็นที่มาของการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวภายใต้ไอเดีย “รวมกันแพ้ แยกชนะ” ของ “จตุพร” ที่หมายหา “ที่ยืน” ให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมก๊วนในนาม “พรรคเพื่อชาติ” แต่อย่างที่ทราบ “เสี่ยเต้น-ป้าธิดา” ไม่เอาด้วย
ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ใช้ชีวิตที่ “โคตร” สุขสบายอยู่ในต่างประเทศ
https://mgronline.com/daily/detail/9610000104442