อสูรดำ (ตอนที่1)
โดยธีร์ วรรณกร
เรื่องราวที่ผมจะนำเสนอทุกท่านต่อไปนี้ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในระหว่างช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่2หรือที่เรียกกันภาษาปากว่าปิดเทอมใหญ่เมื่อราวๆ4ปีที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งในระยะเวลานั้นผมเองได้มีโอกาสไปพักอาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่าที่ต่างจังหวัดแต่ก็อยู่ในภาคอีสาน พ่อของผมเร่งให้ผมตื่นขึ้นตั้งแต่ตี5เพื่อจะได้เดินทางกันให้ไปถึงบ้านปู่เร็วที่สุด ซึ่งผมก็ทำตามอย่างเต็มใจและก็นึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้ไปเยือนบ้านปู่อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมมาก็ไม่มีโอกาสได้ไปที่บ้านท่านอีกเลยจนกระทั่งพ่อบอกกับผมว่าพ่อกับแม่มีธุระต้องไปทำงานอยู่ไกลไม่มีเวลามาบ้านบ่อยนักกลัวผมอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเหงาเลยจะส่งให้ผมไปอยู่ที่บ้านปู่แทนที่จะอยู่บ้านของตนเอง
ซึ่งเหตุก็เพราะพ่อรู้ว่าปู่รักหลานชายมาก เมื่อก่อนหน้านั้นก็โทรมาหาบ่อยๆแล้วก็ถามหาผมทุกครั้ง และนี่จึงเป็นการดีที่จะพาผมไปพบปู่และค้างที่นั่นไปตลอดจนกว่าพ่อกับแม่นั้นจะเสร็จสิ้นกิจธุระของท่านนั่นแหละ ถึงจะได้พาผมกลับ ซึ่งมานับดูแล้วมันก็หลายอาทิตย์อยู่เหมือนกันดังนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรจะขัดข้องอีกเพราะตัวผมเองก็ชอบบ้านปู่มากอยู่แล้ว ทั้งเงียบ สงบ สบาย ไม่มีอะไรรบกวนให้รำคาญคิดแล้วก็อยากจะให้ไปถึงเร็วๆเสียให้ได้เลยทีเดียว
พ่อขับรถไปส่งผมถึงบ้านปู่ก็ประมาณเวลาใกล้เที่ยงปู่ผมเห็นรถมาจอดหน้าบ้านก็จำได้ว่าเป็นรถของลูกชายตนเลยรีบเดินยิ้มร่าอย่างดีใจออกมาต้อนรับพร้อมกับเรียกย่าให้มาพบอีกด้วย พอปู่กับย่าเห็นผมก้าวลงจากรถและยังไม่ทันที่ผมจะยกมือไหว้ ท่านทั้งสองก็รีบมาโอบกอดลูบหัวอย่างตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่พลางก็พูดทักทายผมกันซะฟังไม่ได้ศัพท์ไปหมด ก็อย่างว่าแหละครับหลานรักมาเยือนทั้งทีบุพการีก็ต้องดีใจเป็นพิเศษหน่อยล่ะ
“แหม....ไอ้ธีร์หลานปู่ตกมาปีนี้โตขึ้นหล่อขึ้นเยอะเลยหลานเอ๊ย...ฮ่ะฮ่ะ” ปู่พูดพร้อมกับหัวเราะยิ้มระรื่นอย่างชื่นใจที่ได้พบหน้าหลาน
ปู่นั้นเป็นคนร่างใหญ่ชนิดบังตัวผมเองจนมิดก็ว่าได้ ร่างกายกำยำผิดกับอายุ และดูบึกบึนฉกรรจ์อยู่มากและก็แข็งแรงดีซะด้วย เส้นผมมีหงอกแซมอยู่ทั่วไปไว้หนวดเข้มอย่างกับท่านเจ้าคุณในหนังสมัยเก่า ผิวดำแดง ใส่เสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงขาสั้นเก่าๆสีดำ ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดา แต่ปู่ผมเองท่านเป็น “หมอธรรม” หรือ “พ่อกะจ้ำ” ประจำหมู่บ้านซึ่งหากจะให้ความหมายตามภาษากลางก็คือผู้ที่มีวิชาทางรักษาคนหรือปัดเป่าสิ่งไม่ดีประจำหมู่บ้านอันเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับความเคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไปนั่นเองครับ
“เออ...นี่...พล แกกับลูกได้กินข้าวกินปลากันรึยังล่ะมาถึงนี่ก็เที่ยงเศษๆแล้วนะ มาๆเดี๋ยวแม่จะยกสำรับกับข้าวมาให้ แม่ทำอาหารไว้หลายอย่าง อร่อยทั้งนั้นเลยลูก” ย่าหันหน้าไปคุยกับพ่อผมซึ่งกำลังยืนหิ้วกระเป๋าสัมภาระไม่ยอมวางอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมน่ะรีบ ต้องกลับไปบ้านแล้วจัดแจงเคลียร์งานให้เรียบร้อย ที่มาเนี่ยก็เพราะจะฝากธีร์ไว้ให้กับพ่อแม่นี่แหละครับเพราะผมกับเดือนต้องไปทำงานไกลบ้านหลายอาทิตย์ กลัวลูกมันจะเหงาเลยอยากจะให้มันมาอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ผมยังทำงานอยู่น่ะครับแม่ ถ้าแม่จะหาข้าวปลาให้กินก็หาให้เจ้าธีร์มันกินเถอะผมไม่หิว” พ่อผมตอบ
“เออ...ก็ได้ๆแม่เข้าใจแล้ว งั้นแกก็รีบๆเอาข้าวของขนขึ้นไปบนเรือนให้หมด แล้วก็จะให้หลานได้มากินข้าว มันใกล้จะบ่ายเต็มทีแล้ว”
พ่อผมพยักหน้าแล้วรีบชวนให้ผมขนของขึ้นไปไว้บนเรือนอย่างเร่งด่วน ซึ่งของแต่ละอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมากมายหรือหนักหนานัก ก็จำพวกของใช้ส่วนตัวนั่นแหละครับ มีเสื้อผ้าก็หลายชุดแล้วก็พวกหมอนผ้าห่มจิปาถะนั่นและครับ แต่ที่ขาดไม่ได้คือโน้ตบุ๊คครับเพราะอย่างไรก็ดีมันก็เป็นเครื่องคลายเหงาสำหรับผมได้ และที่สำคัญช่วงนั้นงานเขียนนิยายก็กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นฝึกฝนฝีมือทีเดียวครับและมันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะต้องทำเพื่อเปิดเทอมไปจะได้ไม่มีงานสมทบกันให้มากปนเปกันซะจนเรียนไม่รู้เรื่อง
เมื่อคุณพ่อของผมกลับไปแล้วผมเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคุณปู่อย่างปกติสุขเป็นที่สุด ไม่ว่าจะการกินการนอนหรือทำอะไรมันก็อิสระไปเสียหมด ปู่กับย่าพาผมไปทำบุญเกือบทุกเช้า และตอนว่างๆปู่ก็จะชอบเล่าเรื่องหรือนิทานแปลกๆให้ผมฟังอยู่เรื่อยซึ่งผมเองก็สนใจเพราะบางเรื่องมันก็สามารถนำมาเสริมจินตนาการในการเขียนนิยายของผมได้
บ้านของปู่นั้นเป็นแบบเรือนอีสานโบราณ คือ ยกถุนสูงปล่อยด้านล่างโล่ง มีชานเรือนยื่นออกมาด้านหน้าพร้อมกับบันไดที่มีลูกกรงกลึงเป็นรูปทรงสวยงาม และก็จะมีประตูสำหรับเปิด-ปิดอยู่ที่ทางขึ้น-ลงบ้านซึ่งอยู่ด้านบนทำด้วยไม้ กั้นเป็นประตูเตี้ยๆคล้ายๆประตูกรง และที่ตรงนี้แหละครับที่ปู่มักจะมานั่งบนเก้าอี้ไม้ตรงชานเรือนแล้วเล่าเรื่องแปลกๆให้ผมฟังเสมอตามโอกาสที่เท่าที่จะมีได้ ส่วนทัศนียภาพรอบด้านก็เป็นพื้นที่กว้างมากพอควร และก็ปลูกต้นไม้ให้เป็นเงาร่มครึ้มไปในบางส่วน และด้านข้างเรือนก็จะมีแปลงผักสำหรับปลูกไว้กินเอง และรอบๆอาณาเขตที่ดินนั้นก็เรียกว่า “รั้วกินได้” นั่นเองครับ
แต่แล้วการที่ผมได้มาพักอาศัยที่บ้านคุณปู่ในครั้งนี้นั้นมันกลับมีเหตุการณ์ที่จะต้องทำให้ผมลืมไม่ลงแทบจะเรียกได้ว่าตลอดชีวิตเลยทีเดียวครับ เรื่องมันเริ่มต้นที่ในวันหนึ่งขณะที่ปู่นั้นท่านมีกิจต้องออกไปดูไร่ข้าวโพดและก็มีผมกับย่าเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่บ้าน
ในเวลานั้นผมกำลังนั่งพิมพ์ต้นฉบับอยู่บนเรือนและย่าท่านก็กำลังล้างถ้วยชามอยู่ด้านล่าง ในระหว่างที่ผมกำลังสมองลื่นพิมพ์ต้นฉบับอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นเอง จู่ๆผมก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจที่ดังฟืดฟาดเหมือนกับเสียงวัวควายมันหายใจแรงๆ และรับได้ถึงขั้นกระทั่งลมหายใจอุ่นๆปะทะกับท้ายทอยของผม ผมชะงักหยุดนิ่งไปในทันทีนั้น หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างฉงนใจ รวบรวมสติควบคุมตนเองให้ไม่ให้คิดอะไรเลยเถิด สะกดลมหายใจตนเองให้คงมั่น แล้วตัดสินใจค่อยๆหันหลังกลับไปมองช้าๆ แต่ให้ตายเถอะมันว่างเปล่าไม่พบอะไรเลย เห็นแต่สิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่สงบเป็นดุษณีอยู่เช่นนั้น
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและหันกลับมาทำงานต่อโดยไม่สนใจอะไรอีก ภายในใจก็ได้แต่กล่าวหาตนเองว่าคิดมากและรู้สึกไปเองอยู่เช่นนั้น และเวลาก็เลยผ่านมาอีกสัก5นาทีได้ อีกแล้วครับท่านมันมาอีกแล้วเสียงกับลมหายใจนั่นมันเกิดขึ้นอีกแล้ว คราวนี้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมอีกเสียด้วยซ้ำ ผมหงุดหงิดมากในตอนนั้น ผีบ้านผีเรือนแกล้งกันหรือไง ขอร้องล่ะคนกำลังยุ่ง
ผมพยายามไม่สนใจนั่งพิมพ์ต้นฉบับต่อไปอย่างเคืองๆ ในทันทีนั้นเองหน้าจอโน้ตบุ๊คของผมก็ดับวูบลงไปอย่างไม่มีสาเหตุ บอกได้เลยครับว่าขณะนั้นหัวร้อนอย่างที่สุดเลยครับ
“เฮ้ย!!!อะไรกันวะ? เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ยงานก็ยังไม่ได้เซฟ มาดับหาพระแสงอะไรตอนนี้
โธ่เว้ย!!!” ผมโพล่งอยู่ในใจแทบอยากจะทุบไอ้โน้ตบุ๊คเวรนี่ให้แหลกคาที่เสียรู้แล้วรู้รอด ตอนแรกก็คิดว่าไฟดับแต่เมื่อหันไปมองพัดลมที่เปิดไว้ด้านข้างก็เห็นว่ามันยังทำงานอยู่ ก้มมองดูสวิตช์ไฟที่ปลั๊กก็เห็นยังแดงอยู่เช่นกัน สงสัยคอมพ์ฯผมมันคงจะม่องเท่งเข้าจริงๆเสียแล้วกระมัง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเคลื่อนไหวกายใดๆเพื่อที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ พลันก็มีแรงอันมหาศาลจากไหนก็ไม่ทราบพุ่งเข้ามาปะทะกับตัวผมอย่างจังจนทำให้ตัวผมหงายผลึ่งล้มลงทั้งคนทั้งเก้าอี้ ผมตกใจมากหน้าตื่นเลิ่กลั่ก กำลังจะพยุงตัวลุกขึ้น แต่แล้วในหัวของผมมันก็มึนตึ้บไปหมด หูอื้อ ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆอยู่ในหู และทันใดนั้นเองในห้วงภวังค์ก็บังเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นในโสตประสาทของผม มันเป็นเสียงขู่คำราม ฮึ่มแฮ่...คล้ายๆเสียงสุนัขขู่ แต่เล็กและแหลมกว่า พร้อมกับเสียงหัวเราะซึ่งน่าจะเป็นเสียงของผู้ชายดังแทรกอยู่ด้วย เสียงหัวเราะนั่นทุ้มกังวานก้องอยู่ในหัวของผมอย่างน่าสะพรึง มันทั้งกังวานและเยือกเย็นอะไรเช่นนี้ ผมขนลุกขนชันไปทั่วร่างกายทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะและหลังจากนั้น ทุกอย่างก็ค่อยๆซาลงและจางหายไปจนดับเงียบเป็นดุษณีดังเดิม
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วโคลงศีรษะแรงๆเพื่อจะไล่อาการตื่นงงนั้นออกไปให้สิ้น แล้วเท้ากายลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆก็เห็นทุกอย่างเป็นปกติ ผมจึงเดินไปจับเก้าอี้ขึ้นมาตั้งไว้ดังเดิมและมองไปที่โต๊ะซึ่งตั้งโน้ตบุ๊คไว้อยู่ และผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม่เจ้า!!ผมอุทานลั่นในใจ
ไอ้คอมพ์ฯบ้านี่ดันหน้าจอสว่างและเป็นหน้าต่างโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดอยู่เหมือนเมื่อตอนที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่เป๊ะๆเลยครับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ตรวจดูตัวอักษรทุกตัวก็พบว่ามันก็ยังเป็นปกติไม่มีอะไรตกหล่นขาดหายอยู่เช่นเดิม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกดเซฟงานแล้วปิดเครื่องพร้อมกับเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วนำไปวางไว้ข้างๆหีบเสื้อผ้าของผมอันเป็นที่อยู่ประจำของมันและเดินลงมาหาย่าที่ข้างล่างเรือนเสีย
“อ้าว!!ลงมาแล้วเหรอธีร์? เมื่อกี้ย่าได้ยินเสียงโครมครามอยู่บนบ้านมีอะไรหรือเปล่า?”
ผมชะงักไปชั่วขณะกับคำถามของย่าแต่ก็อ้อมแอ้มตอบไปว่า
“พอดีผมทำของตกน่ะครับย่าไม่มีอะไรหรอก”
“อ๋อเหรอ..นึกว่ามีอะไร เอ้า!!มาๆ ย่าล้างจานเสร็จแล้ว เมื่อกี้เลยไปสอยมะม่วงฟ้าลั่นมาผลใหญ่ทีเดียวนะ นี่ย่าทำน้ำพริกแล้วก็ฝานไว้ให้แล้วมากินๆ เดี๋ยวปู่ก็กลับแล้วเดี๋ยวจะได้ไปดูอะไรกัน”
ผมนั่งลงแล้วนำชิ้นมะม่วงที่ฝานออกเป็นชิ้นเล็กๆนั้นจิ้มน้ำพริกยัดเข้าปากเคี้ยวกรอบๆพลางปากก็ถามย่าว่า
“ไปดูอะไรงั้นเหรอครับย่า?”
“อ๋อ..พอดีป้าน้อยชาวบ้านที่นี่เขามาบอกกับย่าเมื่อไม่นานนี่เองว่ามีเรื่องที่จะให้ปู่ช่วยน่ะเห็นว่ามีตัวอะไรก็ไม่รู้มากินเป็ดกินไก่เขาตายเกลี้ยงเล้าเลย เขาสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของผีปอบ เลยให้ปู่ไปดูให้น่ะ”
“โห...ขนาดนั้นเลยเหรอครับย่า?”
“ใช่...นี่ว่าแต่ธีร์เองเถอะอยากไปดูด้วยมั้ยล่ะถ้าอยากย่าจะขอปู่ให้”
“ก็...น่าสนใจดีครับ”
“อืม...งั้นก็รอปู่กลับจากไร่ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวย่าจะพูดกับปู่ให้ ปู่เขารักหลานยังไงๆเขาก็ให้ไปด้วยอยู่แล้ว” ประโยคหลังย่าพูดพร้อมกับหัวเราะ แล้วก็ชวนผมกินมะม่วงต่อรอดูทางว่าปู่จะมาเมื่อไหร่อยู่เรื่อยไป
จนในที่สุดเมื่อปู่กลับมาถึงบ้านย่าก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้รับรู้จากป้าน้อยให้ฟังแล้วเอ่ยขอให้ผมไปกับท่านด้วยซึ่งปู่ท่านก็เต็มใจแต่โดยดี ปู่อาบน้ำอาบท่าและแต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนสะอาดตา เสื้อแขนสั้นกางเกงขายาว กับรองเท้าแตะธรรมดาๆ ห้อยลูกประคำพวงใหญ่ สะพายย่ามสีเลือดหมูหม่นๆเฉียงไปทางขวาใบหนึ่ง และตัวผมเองก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่เช่นกัน
เมื่อต่างพากันรับประทานอาหารเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ปู่ก็พยักหน้าชวนผมตรงรี่ไปยังบ้านที่เกิดเหตุทันที ในช่วงเวลานั้นประมาณ5โมงเย็นท้องฟ้าก็จะเริ่มครึ้มๆลงสักหน่อยแล้ว แต่ผมมองดูปู่ในวันนี้ท่านดูเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาอะไรนัก ผิดกับนิสัยที่มักพูดกระเซ้าเย้าหัวอยู่เป็นประจำ ตลอดทางนั้นปู่หันมามองหน้าผมอยู่เป็นระยะๆแล้วก็จ้ำอ้าวๆเหมือนตามควายหายลูกเดียวไม่สนใจกับสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้น
จะทำอย่างไรเมื่อในวันหยุดของคุณต้องใช้ชีวิตแบบผู้ถูกล่าเพื่อคร่าชีวิตด้วยน้ำมือของภูตอวิชชา "อสูรดำ" โดย:ธีร์ วรรณกร
โดยธีร์ วรรณกร
เรื่องราวที่ผมจะนำเสนอทุกท่านต่อไปนี้ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในระหว่างช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่2หรือที่เรียกกันภาษาปากว่าปิดเทอมใหญ่เมื่อราวๆ4ปีที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งในระยะเวลานั้นผมเองได้มีโอกาสไปพักอาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่าที่ต่างจังหวัดแต่ก็อยู่ในภาคอีสาน พ่อของผมเร่งให้ผมตื่นขึ้นตั้งแต่ตี5เพื่อจะได้เดินทางกันให้ไปถึงบ้านปู่เร็วที่สุด ซึ่งผมก็ทำตามอย่างเต็มใจและก็นึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้ไปเยือนบ้านปู่อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมมาก็ไม่มีโอกาสได้ไปที่บ้านท่านอีกเลยจนกระทั่งพ่อบอกกับผมว่าพ่อกับแม่มีธุระต้องไปทำงานอยู่ไกลไม่มีเวลามาบ้านบ่อยนักกลัวผมอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเหงาเลยจะส่งให้ผมไปอยู่ที่บ้านปู่แทนที่จะอยู่บ้านของตนเอง
ซึ่งเหตุก็เพราะพ่อรู้ว่าปู่รักหลานชายมาก เมื่อก่อนหน้านั้นก็โทรมาหาบ่อยๆแล้วก็ถามหาผมทุกครั้ง และนี่จึงเป็นการดีที่จะพาผมไปพบปู่และค้างที่นั่นไปตลอดจนกว่าพ่อกับแม่นั้นจะเสร็จสิ้นกิจธุระของท่านนั่นแหละ ถึงจะได้พาผมกลับ ซึ่งมานับดูแล้วมันก็หลายอาทิตย์อยู่เหมือนกันดังนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรจะขัดข้องอีกเพราะตัวผมเองก็ชอบบ้านปู่มากอยู่แล้ว ทั้งเงียบ สงบ สบาย ไม่มีอะไรรบกวนให้รำคาญคิดแล้วก็อยากจะให้ไปถึงเร็วๆเสียให้ได้เลยทีเดียว
พ่อขับรถไปส่งผมถึงบ้านปู่ก็ประมาณเวลาใกล้เที่ยงปู่ผมเห็นรถมาจอดหน้าบ้านก็จำได้ว่าเป็นรถของลูกชายตนเลยรีบเดินยิ้มร่าอย่างดีใจออกมาต้อนรับพร้อมกับเรียกย่าให้มาพบอีกด้วย พอปู่กับย่าเห็นผมก้าวลงจากรถและยังไม่ทันที่ผมจะยกมือไหว้ ท่านทั้งสองก็รีบมาโอบกอดลูบหัวอย่างตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่พลางก็พูดทักทายผมกันซะฟังไม่ได้ศัพท์ไปหมด ก็อย่างว่าแหละครับหลานรักมาเยือนทั้งทีบุพการีก็ต้องดีใจเป็นพิเศษหน่อยล่ะ
“แหม....ไอ้ธีร์หลานปู่ตกมาปีนี้โตขึ้นหล่อขึ้นเยอะเลยหลานเอ๊ย...ฮ่ะฮ่ะ” ปู่พูดพร้อมกับหัวเราะยิ้มระรื่นอย่างชื่นใจที่ได้พบหน้าหลาน
ปู่นั้นเป็นคนร่างใหญ่ชนิดบังตัวผมเองจนมิดก็ว่าได้ ร่างกายกำยำผิดกับอายุ และดูบึกบึนฉกรรจ์อยู่มากและก็แข็งแรงดีซะด้วย เส้นผมมีหงอกแซมอยู่ทั่วไปไว้หนวดเข้มอย่างกับท่านเจ้าคุณในหนังสมัยเก่า ผิวดำแดง ใส่เสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงขาสั้นเก่าๆสีดำ ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดา แต่ปู่ผมเองท่านเป็น “หมอธรรม” หรือ “พ่อกะจ้ำ” ประจำหมู่บ้านซึ่งหากจะให้ความหมายตามภาษากลางก็คือผู้ที่มีวิชาทางรักษาคนหรือปัดเป่าสิ่งไม่ดีประจำหมู่บ้านอันเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับความเคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไปนั่นเองครับ
“เออ...นี่...พล แกกับลูกได้กินข้าวกินปลากันรึยังล่ะมาถึงนี่ก็เที่ยงเศษๆแล้วนะ มาๆเดี๋ยวแม่จะยกสำรับกับข้าวมาให้ แม่ทำอาหารไว้หลายอย่าง อร่อยทั้งนั้นเลยลูก” ย่าหันหน้าไปคุยกับพ่อผมซึ่งกำลังยืนหิ้วกระเป๋าสัมภาระไม่ยอมวางอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมน่ะรีบ ต้องกลับไปบ้านแล้วจัดแจงเคลียร์งานให้เรียบร้อย ที่มาเนี่ยก็เพราะจะฝากธีร์ไว้ให้กับพ่อแม่นี่แหละครับเพราะผมกับเดือนต้องไปทำงานไกลบ้านหลายอาทิตย์ กลัวลูกมันจะเหงาเลยอยากจะให้มันมาอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ผมยังทำงานอยู่น่ะครับแม่ ถ้าแม่จะหาข้าวปลาให้กินก็หาให้เจ้าธีร์มันกินเถอะผมไม่หิว” พ่อผมตอบ
“เออ...ก็ได้ๆแม่เข้าใจแล้ว งั้นแกก็รีบๆเอาข้าวของขนขึ้นไปบนเรือนให้หมด แล้วก็จะให้หลานได้มากินข้าว มันใกล้จะบ่ายเต็มทีแล้ว”
พ่อผมพยักหน้าแล้วรีบชวนให้ผมขนของขึ้นไปไว้บนเรือนอย่างเร่งด่วน ซึ่งของแต่ละอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมากมายหรือหนักหนานัก ก็จำพวกของใช้ส่วนตัวนั่นแหละครับ มีเสื้อผ้าก็หลายชุดแล้วก็พวกหมอนผ้าห่มจิปาถะนั่นและครับ แต่ที่ขาดไม่ได้คือโน้ตบุ๊คครับเพราะอย่างไรก็ดีมันก็เป็นเครื่องคลายเหงาสำหรับผมได้ และที่สำคัญช่วงนั้นงานเขียนนิยายก็กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นฝึกฝนฝีมือทีเดียวครับและมันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะต้องทำเพื่อเปิดเทอมไปจะได้ไม่มีงานสมทบกันให้มากปนเปกันซะจนเรียนไม่รู้เรื่อง
เมื่อคุณพ่อของผมกลับไปแล้วผมเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านคุณปู่อย่างปกติสุขเป็นที่สุด ไม่ว่าจะการกินการนอนหรือทำอะไรมันก็อิสระไปเสียหมด ปู่กับย่าพาผมไปทำบุญเกือบทุกเช้า และตอนว่างๆปู่ก็จะชอบเล่าเรื่องหรือนิทานแปลกๆให้ผมฟังอยู่เรื่อยซึ่งผมเองก็สนใจเพราะบางเรื่องมันก็สามารถนำมาเสริมจินตนาการในการเขียนนิยายของผมได้
บ้านของปู่นั้นเป็นแบบเรือนอีสานโบราณ คือ ยกถุนสูงปล่อยด้านล่างโล่ง มีชานเรือนยื่นออกมาด้านหน้าพร้อมกับบันไดที่มีลูกกรงกลึงเป็นรูปทรงสวยงาม และก็จะมีประตูสำหรับเปิด-ปิดอยู่ที่ทางขึ้น-ลงบ้านซึ่งอยู่ด้านบนทำด้วยไม้ กั้นเป็นประตูเตี้ยๆคล้ายๆประตูกรง และที่ตรงนี้แหละครับที่ปู่มักจะมานั่งบนเก้าอี้ไม้ตรงชานเรือนแล้วเล่าเรื่องแปลกๆให้ผมฟังเสมอตามโอกาสที่เท่าที่จะมีได้ ส่วนทัศนียภาพรอบด้านก็เป็นพื้นที่กว้างมากพอควร และก็ปลูกต้นไม้ให้เป็นเงาร่มครึ้มไปในบางส่วน และด้านข้างเรือนก็จะมีแปลงผักสำหรับปลูกไว้กินเอง และรอบๆอาณาเขตที่ดินนั้นก็เรียกว่า “รั้วกินได้” นั่นเองครับ
แต่แล้วการที่ผมได้มาพักอาศัยที่บ้านคุณปู่ในครั้งนี้นั้นมันกลับมีเหตุการณ์ที่จะต้องทำให้ผมลืมไม่ลงแทบจะเรียกได้ว่าตลอดชีวิตเลยทีเดียวครับ เรื่องมันเริ่มต้นที่ในวันหนึ่งขณะที่ปู่นั้นท่านมีกิจต้องออกไปดูไร่ข้าวโพดและก็มีผมกับย่าเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่บ้าน
ในเวลานั้นผมกำลังนั่งพิมพ์ต้นฉบับอยู่บนเรือนและย่าท่านก็กำลังล้างถ้วยชามอยู่ด้านล่าง ในระหว่างที่ผมกำลังสมองลื่นพิมพ์ต้นฉบับอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นเอง จู่ๆผมก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจที่ดังฟืดฟาดเหมือนกับเสียงวัวควายมันหายใจแรงๆ และรับได้ถึงขั้นกระทั่งลมหายใจอุ่นๆปะทะกับท้ายทอยของผม ผมชะงักหยุดนิ่งไปในทันทีนั้น หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างฉงนใจ รวบรวมสติควบคุมตนเองให้ไม่ให้คิดอะไรเลยเถิด สะกดลมหายใจตนเองให้คงมั่น แล้วตัดสินใจค่อยๆหันหลังกลับไปมองช้าๆ แต่ให้ตายเถอะมันว่างเปล่าไม่พบอะไรเลย เห็นแต่สิ่งแวดล้อมภายในบ้านที่สงบเป็นดุษณีอยู่เช่นนั้น
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและหันกลับมาทำงานต่อโดยไม่สนใจอะไรอีก ภายในใจก็ได้แต่กล่าวหาตนเองว่าคิดมากและรู้สึกไปเองอยู่เช่นนั้น และเวลาก็เลยผ่านมาอีกสัก5นาทีได้ อีกแล้วครับท่านมันมาอีกแล้วเสียงกับลมหายใจนั่นมันเกิดขึ้นอีกแล้ว คราวนี้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมอีกเสียด้วยซ้ำ ผมหงุดหงิดมากในตอนนั้น ผีบ้านผีเรือนแกล้งกันหรือไง ขอร้องล่ะคนกำลังยุ่ง
ผมพยายามไม่สนใจนั่งพิมพ์ต้นฉบับต่อไปอย่างเคืองๆ ในทันทีนั้นเองหน้าจอโน้ตบุ๊คของผมก็ดับวูบลงไปอย่างไม่มีสาเหตุ บอกได้เลยครับว่าขณะนั้นหัวร้อนอย่างที่สุดเลยครับ
“เฮ้ย!!!อะไรกันวะ? เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ยงานก็ยังไม่ได้เซฟ มาดับหาพระแสงอะไรตอนนี้
โธ่เว้ย!!!” ผมโพล่งอยู่ในใจแทบอยากจะทุบไอ้โน้ตบุ๊คเวรนี่ให้แหลกคาที่เสียรู้แล้วรู้รอด ตอนแรกก็คิดว่าไฟดับแต่เมื่อหันไปมองพัดลมที่เปิดไว้ด้านข้างก็เห็นว่ามันยังทำงานอยู่ ก้มมองดูสวิตช์ไฟที่ปลั๊กก็เห็นยังแดงอยู่เช่นกัน สงสัยคอมพ์ฯผมมันคงจะม่องเท่งเข้าจริงๆเสียแล้วกระมัง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเคลื่อนไหวกายใดๆเพื่อที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ พลันก็มีแรงอันมหาศาลจากไหนก็ไม่ทราบพุ่งเข้ามาปะทะกับตัวผมอย่างจังจนทำให้ตัวผมหงายผลึ่งล้มลงทั้งคนทั้งเก้าอี้ ผมตกใจมากหน้าตื่นเลิ่กลั่ก กำลังจะพยุงตัวลุกขึ้น แต่แล้วในหัวของผมมันก็มึนตึ้บไปหมด หูอื้อ ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆอยู่ในหู และทันใดนั้นเองในห้วงภวังค์ก็บังเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นในโสตประสาทของผม มันเป็นเสียงขู่คำราม ฮึ่มแฮ่...คล้ายๆเสียงสุนัขขู่ แต่เล็กและแหลมกว่า พร้อมกับเสียงหัวเราะซึ่งน่าจะเป็นเสียงของผู้ชายดังแทรกอยู่ด้วย เสียงหัวเราะนั่นทุ้มกังวานก้องอยู่ในหัวของผมอย่างน่าสะพรึง มันทั้งกังวานและเยือกเย็นอะไรเช่นนี้ ผมขนลุกขนชันไปทั่วร่างกายทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะและหลังจากนั้น ทุกอย่างก็ค่อยๆซาลงและจางหายไปจนดับเงียบเป็นดุษณีดังเดิม
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วโคลงศีรษะแรงๆเพื่อจะไล่อาการตื่นงงนั้นออกไปให้สิ้น แล้วเท้ากายลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆก็เห็นทุกอย่างเป็นปกติ ผมจึงเดินไปจับเก้าอี้ขึ้นมาตั้งไว้ดังเดิมและมองไปที่โต๊ะซึ่งตั้งโน้ตบุ๊คไว้อยู่ และผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม่เจ้า!!ผมอุทานลั่นในใจ
ไอ้คอมพ์ฯบ้านี่ดันหน้าจอสว่างและเป็นหน้าต่างโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดอยู่เหมือนเมื่อตอนที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่เป๊ะๆเลยครับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ตรวจดูตัวอักษรทุกตัวก็พบว่ามันก็ยังเป็นปกติไม่มีอะไรตกหล่นขาดหายอยู่เช่นเดิม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกดเซฟงานแล้วปิดเครื่องพร้อมกับเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วนำไปวางไว้ข้างๆหีบเสื้อผ้าของผมอันเป็นที่อยู่ประจำของมันและเดินลงมาหาย่าที่ข้างล่างเรือนเสีย
“อ้าว!!ลงมาแล้วเหรอธีร์? เมื่อกี้ย่าได้ยินเสียงโครมครามอยู่บนบ้านมีอะไรหรือเปล่า?”
ผมชะงักไปชั่วขณะกับคำถามของย่าแต่ก็อ้อมแอ้มตอบไปว่า
“พอดีผมทำของตกน่ะครับย่าไม่มีอะไรหรอก”
“อ๋อเหรอ..นึกว่ามีอะไร เอ้า!!มาๆ ย่าล้างจานเสร็จแล้ว เมื่อกี้เลยไปสอยมะม่วงฟ้าลั่นมาผลใหญ่ทีเดียวนะ นี่ย่าทำน้ำพริกแล้วก็ฝานไว้ให้แล้วมากินๆ เดี๋ยวปู่ก็กลับแล้วเดี๋ยวจะได้ไปดูอะไรกัน”
ผมนั่งลงแล้วนำชิ้นมะม่วงที่ฝานออกเป็นชิ้นเล็กๆนั้นจิ้มน้ำพริกยัดเข้าปากเคี้ยวกรอบๆพลางปากก็ถามย่าว่า
“ไปดูอะไรงั้นเหรอครับย่า?”
“อ๋อ..พอดีป้าน้อยชาวบ้านที่นี่เขามาบอกกับย่าเมื่อไม่นานนี่เองว่ามีเรื่องที่จะให้ปู่ช่วยน่ะเห็นว่ามีตัวอะไรก็ไม่รู้มากินเป็ดกินไก่เขาตายเกลี้ยงเล้าเลย เขาสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของผีปอบ เลยให้ปู่ไปดูให้น่ะ”
“โห...ขนาดนั้นเลยเหรอครับย่า?”
“ใช่...นี่ว่าแต่ธีร์เองเถอะอยากไปดูด้วยมั้ยล่ะถ้าอยากย่าจะขอปู่ให้”
“ก็...น่าสนใจดีครับ”
“อืม...งั้นก็รอปู่กลับจากไร่ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวย่าจะพูดกับปู่ให้ ปู่เขารักหลานยังไงๆเขาก็ให้ไปด้วยอยู่แล้ว” ประโยคหลังย่าพูดพร้อมกับหัวเราะ แล้วก็ชวนผมกินมะม่วงต่อรอดูทางว่าปู่จะมาเมื่อไหร่อยู่เรื่อยไป
จนในที่สุดเมื่อปู่กลับมาถึงบ้านย่าก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้รับรู้จากป้าน้อยให้ฟังแล้วเอ่ยขอให้ผมไปกับท่านด้วยซึ่งปู่ท่านก็เต็มใจแต่โดยดี ปู่อาบน้ำอาบท่าและแต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนสะอาดตา เสื้อแขนสั้นกางเกงขายาว กับรองเท้าแตะธรรมดาๆ ห้อยลูกประคำพวงใหญ่ สะพายย่ามสีเลือดหมูหม่นๆเฉียงไปทางขวาใบหนึ่ง และตัวผมเองก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่เช่นกัน
เมื่อต่างพากันรับประทานอาหารเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ปู่ก็พยักหน้าชวนผมตรงรี่ไปยังบ้านที่เกิดเหตุทันที ในช่วงเวลานั้นประมาณ5โมงเย็นท้องฟ้าก็จะเริ่มครึ้มๆลงสักหน่อยแล้ว แต่ผมมองดูปู่ในวันนี้ท่านดูเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาอะไรนัก ผิดกับนิสัยที่มักพูดกระเซ้าเย้าหัวอยู่เป็นประจำ ตลอดทางนั้นปู่หันมามองหน้าผมอยู่เป็นระยะๆแล้วก็จ้ำอ้าวๆเหมือนตามควายหายลูกเดียวไม่สนใจกับสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้น