คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
พงศาวดารกล่าวถึงการสถาปนาขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาไว้ว่า
"แล้วตรัสว่า ขุนพิเรนทรเทพเล่า บิดาเป็นพระราชวงศ์พระร่วง มารดาไซร้ได้เป็นพระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระชัยราชาธิราชเจ้า ขุนพิเรนทรเทพเป็นปฐมคิด เอาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ให้รับพระราชบัณฑูรครองเมืองพิษณุโลก จึงตรัสเรียกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราชธิดา ถวายพระนาม ชื่อ พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นตำแหน่งพระอัครมเหษีเมืองพิษณุโลก เครื่องราชาบริโภค ให้ตั้งตำแหน่งศักดิฝ่ายทหารพลเรือน เรือชัยพื้นดำพื้นแดงคู่หนึ่ง และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าทรงขึ้นไป"
จึงเห็นได้ว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาได้รับการสถาปนาให้มีสถานะเป็น "กษัตริย์" เมืองพิษณุโลก ซึ่งมีราชสำนักเป็นของตนเอง และได้รับนาม "มหาธรรมราชา" เหมือนกษัตริย์สุโขทัยในอดีต
สถานะของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ผมขอเลือกใช้คำว่า "สามนตราช" หมายถึงราชาในบริเวณรอบ ใกล้เคียงกับที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงใช้คำว่า "เจ้าขัณฑสีมา" คือทรงเป็นกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายบารมีของกรุงศรีอยุทธยาอีกต่อหนึ่ง โดยสถานะอาจจะใกล้เคียง "เจ้าประเทศราช" แต่ผมเห็นว่าสองคำที่กล่าวมานี้น่าจะมีสถานะสูงเจ้าประเทศราชทั่วไป
ทั้งนี้ประเทศราชทั่วไปเกิดจากการถูกรัฐเอกราชแผ่ขยายบารมีจนยอมอ่อนน้อม ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือถูกใช้กำลังรุกราน แต่กรณีของสมเด็จพระมหาธรรมราชานั้นไม่ใช่ เพราะอำนาจของพระองค์ได้รับการพระราชทานมาจากกษัตริย์กรุงศรีอยุทธยา ในแนวทางที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "การกระจายอำนาจ" หรือ "แบ่งอำนาจ" ทางการปกครอง โดยมอบอาณาบริเวณหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ปริมณฑลอำนาจของอยุทธยาให้กับกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะในอดีต ราชสำนักอยุทธยาพยายาม "รวบอำนาจ" โดยผนวกหัวเมืองต่างๆ ให้มาอยู่ใต้อำนาจของส่วนกลางแล้ว ดังที่พบว่าไม่มีการสถาปนา "มหาธรรมราชา" อย่างในอดีต แต่กษัตริย์อยุทธยาไปครองเมืองพิษณุโลกเองบ้าง สถาปนาพระมหาอุปราชไปปกครองบ้าง จนภายหลังก็ไม่พบหลักฐานว่ามีพระราชวงศ์ไปปกครองอีก แต่ถึงรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กลับต้องทรง "การกระจายอำนาจ" หรือ "แบ่งอำนาจ" กลับไปให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาให้มีสถานะเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง รวมถึงพระราชทานพระธิดาให้ด้วยเป็นการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์
เรื่องนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะบารมีของพระมหาธรรมราชาที่มีอยู่มากในฐานะที่เป็นผู้ช่วยให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ราชสมบัติ และยังทรงมีความชอบธรรมในฐานะพระราชวงศ์อีก จึงเป็นการบีบให้พระมหาจักรพรรดิต้องทรงกระจายอำนาจการปกครองส่วนหนึ่งกลับไป เพื่อเป็นการถ่วงดุล
สถานะของสมเด็จพระมหาธรรมราชา จึงใกล้เคียงกับบรรดา "สามนตราช" ในสมัยอยุทธยาตอนต้น ที่หัวเมืองต่างๆ ต่างมีกษัตริย์หรือพระราชวงศ์เป็นผู้ปกครอง โดยมีอำนาจเต็มในตัว โดยมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับราชสำนักอยุทธยา เช่น ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี มีพระราเมศวรพระโอรสครองเมืองลพบุรี มีสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพ่องั่ว) พี่พระมเหสีครองเมืองสุพรรณบุรี โดยที่สองเมืองนี้ไม่ได้ถูกนับเป็นประเทศราช หรือในสมัยสมเด็จพระนครอินทร์ ให้โอรสทั้งสามครองเมืองสุพรรณบุรี แพรกศรีราชา และชัยนาท (พิษณุโลก) เป็นต้น
รูปแบบนี้ใกล้เคียงกับการปกครองในสมัยหงสาวดี ที่พระเจ้าหงสาวดีกระจายอำนาจการปกครองให้เหล่าพระญาติวงศ์ระดับสูง ครอบครองหัวเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางอำนาจระดับรองจากหงสาวดี เช่น ตองอู อังวะ แปร เมาะตะมะ ในสถานะ กษัตริย์ (ဘုရင့် Bayin) ซึ่งหัวเมืองเหล่านี้แม้จะอยู่ใต้ปริมณฑลอำนาจของหงสาวดีเหมือนประเทศราชก็จริง แต่โดยสถานะย่อมมีศักดิ์สูงกว่าประเทศราชทั่วไป
ส่วนที่หลักฐานบางชิ้น เช่น จดหมายเหตุของฟาน ฟลีต หรือพงศาวดารพม่า เรียกขานพระองค์ว่า ออกญาธรรมราชาบ้าง ออกญาพิษณุโลกบ้าง ผมขอแสดงความเห็นว่า คำว่า ออกญา หรือ พญา/พระยา ในยุคนั้นยังใช้ในความหมายถึง "เจ้า" อยู่
แต่โบราณมาคำว่า พรญา หรือที่สมัยหลังเขียนว่า พญา/พระยา ก็เป็นคำที่ใช้เรียกเจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ อยู่แล้ว ดังที่พบหลักฐานในจารึกของทั้งสุโขทัยและล้านนา บรรดากษัตริย์เมืองออกที่เป็นเจ้าหัวเมืองฝ่ายเหนือ ในเอกสารสมัยอยุทธยาก็ยังใช้ พญา/พระยา อยู่ เช่น พระยาบาลเมืองแห่งสองแคว พระยารามราชแห่งสุโขทัย พระยาแสนสอยดาวเมืองกำแพงเพชร ฯลฯ
แม้จะมีหลักฐานว่าอยุทธยามีบรรดาศักดิ์ พญา/พระยา ใช้กับขุนนางแล้ว แต่ก็ยังพบหลักฐานว่าคำนี้ถูกใช้เรียกกษัตริย์อยู่หลายครั้ง เช่น พระยาตองอู พระยาละแวก พระยากัมพูชาธิบดี พระยาล้านช้าง
เช่นเดียวกับคำว่า ออกญา หรือ ออกพญา ในสมัยโบราณใช้เป็นคำเรียกขานกษัตริย์ ดังที่ปรากฏในมหาชาติคำหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งพบว่ามีการใช้คำว่า "ออก" นำหน้ากษัตริย์และพระราชวงศ์จำนวนมาก ได้เรียกพระเวสสันดรว่า ออกญา อยู่หลายตอน นอกจากนี้ยังปรากฏในจารึกวัดสรศักดิ์เมืองสุโขทัย สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระญา) เรียก "พ่ออยู่หัว" หรือกษัตริย์ของสุโขทัยในเวลานั้นว่า "พ่ออยู่หัวเจ้าธออกญาธรรมราชา"
มีข้อควรสังเกตอยู่ว่า คำว่า พญา/พระยา หรือ ออกญา นี้ ปรากฏในหลักฐานฝ่ายอยุทธยาเป็นหลัก แต่สำหรับหลักฐานของรัฐอื่นๆ เมื่อจะเรียกขานกษัตริย์ของตนเองจะพบว่ามีการใช้พระนามที่มีความพิสดารและดูสูงส่งมากกว่า เช่น อาจเพิ่มคำนำหน้าเป็น เจ้าพญาบ้าง มีสมเด็จนำหน้าบ้าง
ออกญาธรรมราชา ในจารึกวัดสรศักดิ์ที่น่าจะทำโดยอยุทธยา ในจารึกของสุโขทัยที่มีอายุไล่เลี่ยกัน เช่น จารึกวัดบูรพารามและจารึกวัดอโสการาม เรียกกษัตริย์สุโขทัยว่า สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช
พระยาแสนสอยดาว ผู้ครองเมืองกำแพงเพชรในพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีก พบจารึกลานเงินเมืองกำแพงเพชรระบุศักราช พ.ศ. ๑๙๖๓ ระบุว่า "สเดจพพฺรญาสอย" (สมเด็จพ่อพรญาสอย) และระบุว่าพระองค์ได้ "เสวยราชย์ในบุรีศรีกำแพงเพชร เสด็จฤกษ์ (บูรพคุณินักษัตร) ได้ขึ้นราชาอาสน์อภิรมย์ สมกอปรคลามาสู่ อยู่เสวยมโนรมย์..." แสดงว่าเป็นกษัตริย์อย่างชัดเจน
แม้แต่สมเด็จพระมหาธรรมราชาองค์นี้เอง ก็พบหลักฐานคือ จารึกพระครูธรรมเถียร พ.ศ. ๒๑๐๘ ได้กล่าวถึง "เสด็จมหาธรรมราชาธิบดี ศรียุท...บรมบพิตร สุจริต" ก็น่าจะบ่งบอกถึงสถานะ "กษัตริย์" ของพระองค์ได้อย่างชัดเจนครับ
"แล้วตรัสว่า ขุนพิเรนทรเทพเล่า บิดาเป็นพระราชวงศ์พระร่วง มารดาไซร้ได้เป็นพระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระชัยราชาธิราชเจ้า ขุนพิเรนทรเทพเป็นปฐมคิด เอาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ให้รับพระราชบัณฑูรครองเมืองพิษณุโลก จึงตรัสเรียกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราชธิดา ถวายพระนาม ชื่อ พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นตำแหน่งพระอัครมเหษีเมืองพิษณุโลก เครื่องราชาบริโภค ให้ตั้งตำแหน่งศักดิฝ่ายทหารพลเรือน เรือชัยพื้นดำพื้นแดงคู่หนึ่ง และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าทรงขึ้นไป"
จึงเห็นได้ว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาได้รับการสถาปนาให้มีสถานะเป็น "กษัตริย์" เมืองพิษณุโลก ซึ่งมีราชสำนักเป็นของตนเอง และได้รับนาม "มหาธรรมราชา" เหมือนกษัตริย์สุโขทัยในอดีต
สถานะของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ผมขอเลือกใช้คำว่า "สามนตราช" หมายถึงราชาในบริเวณรอบ ใกล้เคียงกับที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงใช้คำว่า "เจ้าขัณฑสีมา" คือทรงเป็นกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายบารมีของกรุงศรีอยุทธยาอีกต่อหนึ่ง โดยสถานะอาจจะใกล้เคียง "เจ้าประเทศราช" แต่ผมเห็นว่าสองคำที่กล่าวมานี้น่าจะมีสถานะสูงเจ้าประเทศราชทั่วไป
ทั้งนี้ประเทศราชทั่วไปเกิดจากการถูกรัฐเอกราชแผ่ขยายบารมีจนยอมอ่อนน้อม ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือถูกใช้กำลังรุกราน แต่กรณีของสมเด็จพระมหาธรรมราชานั้นไม่ใช่ เพราะอำนาจของพระองค์ได้รับการพระราชทานมาจากกษัตริย์กรุงศรีอยุทธยา ในแนวทางที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "การกระจายอำนาจ" หรือ "แบ่งอำนาจ" ทางการปกครอง โดยมอบอาณาบริเวณหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ปริมณฑลอำนาจของอยุทธยาให้กับกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะในอดีต ราชสำนักอยุทธยาพยายาม "รวบอำนาจ" โดยผนวกหัวเมืองต่างๆ ให้มาอยู่ใต้อำนาจของส่วนกลางแล้ว ดังที่พบว่าไม่มีการสถาปนา "มหาธรรมราชา" อย่างในอดีต แต่กษัตริย์อยุทธยาไปครองเมืองพิษณุโลกเองบ้าง สถาปนาพระมหาอุปราชไปปกครองบ้าง จนภายหลังก็ไม่พบหลักฐานว่ามีพระราชวงศ์ไปปกครองอีก แต่ถึงรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กลับต้องทรง "การกระจายอำนาจ" หรือ "แบ่งอำนาจ" กลับไปให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาให้มีสถานะเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง รวมถึงพระราชทานพระธิดาให้ด้วยเป็นการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์
เรื่องนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะบารมีของพระมหาธรรมราชาที่มีอยู่มากในฐานะที่เป็นผู้ช่วยให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ราชสมบัติ และยังทรงมีความชอบธรรมในฐานะพระราชวงศ์อีก จึงเป็นการบีบให้พระมหาจักรพรรดิต้องทรงกระจายอำนาจการปกครองส่วนหนึ่งกลับไป เพื่อเป็นการถ่วงดุล
สถานะของสมเด็จพระมหาธรรมราชา จึงใกล้เคียงกับบรรดา "สามนตราช" ในสมัยอยุทธยาตอนต้น ที่หัวเมืองต่างๆ ต่างมีกษัตริย์หรือพระราชวงศ์เป็นผู้ปกครอง โดยมีอำนาจเต็มในตัว โดยมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับราชสำนักอยุทธยา เช่น ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี มีพระราเมศวรพระโอรสครองเมืองลพบุรี มีสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพ่องั่ว) พี่พระมเหสีครองเมืองสุพรรณบุรี โดยที่สองเมืองนี้ไม่ได้ถูกนับเป็นประเทศราช หรือในสมัยสมเด็จพระนครอินทร์ ให้โอรสทั้งสามครองเมืองสุพรรณบุรี แพรกศรีราชา และชัยนาท (พิษณุโลก) เป็นต้น
รูปแบบนี้ใกล้เคียงกับการปกครองในสมัยหงสาวดี ที่พระเจ้าหงสาวดีกระจายอำนาจการปกครองให้เหล่าพระญาติวงศ์ระดับสูง ครอบครองหัวเมืองสำคัญที่เป็นศูนย์กลางอำนาจระดับรองจากหงสาวดี เช่น ตองอู อังวะ แปร เมาะตะมะ ในสถานะ กษัตริย์ (ဘုရင့် Bayin) ซึ่งหัวเมืองเหล่านี้แม้จะอยู่ใต้ปริมณฑลอำนาจของหงสาวดีเหมือนประเทศราชก็จริง แต่โดยสถานะย่อมมีศักดิ์สูงกว่าประเทศราชทั่วไป
ส่วนที่หลักฐานบางชิ้น เช่น จดหมายเหตุของฟาน ฟลีต หรือพงศาวดารพม่า เรียกขานพระองค์ว่า ออกญาธรรมราชาบ้าง ออกญาพิษณุโลกบ้าง ผมขอแสดงความเห็นว่า คำว่า ออกญา หรือ พญา/พระยา ในยุคนั้นยังใช้ในความหมายถึง "เจ้า" อยู่
แต่โบราณมาคำว่า พรญา หรือที่สมัยหลังเขียนว่า พญา/พระยา ก็เป็นคำที่ใช้เรียกเจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ อยู่แล้ว ดังที่พบหลักฐานในจารึกของทั้งสุโขทัยและล้านนา บรรดากษัตริย์เมืองออกที่เป็นเจ้าหัวเมืองฝ่ายเหนือ ในเอกสารสมัยอยุทธยาก็ยังใช้ พญา/พระยา อยู่ เช่น พระยาบาลเมืองแห่งสองแคว พระยารามราชแห่งสุโขทัย พระยาแสนสอยดาวเมืองกำแพงเพชร ฯลฯ
แม้จะมีหลักฐานว่าอยุทธยามีบรรดาศักดิ์ พญา/พระยา ใช้กับขุนนางแล้ว แต่ก็ยังพบหลักฐานว่าคำนี้ถูกใช้เรียกกษัตริย์อยู่หลายครั้ง เช่น พระยาตองอู พระยาละแวก พระยากัมพูชาธิบดี พระยาล้านช้าง
เช่นเดียวกับคำว่า ออกญา หรือ ออกพญา ในสมัยโบราณใช้เป็นคำเรียกขานกษัตริย์ ดังที่ปรากฏในมหาชาติคำหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งพบว่ามีการใช้คำว่า "ออก" นำหน้ากษัตริย์และพระราชวงศ์จำนวนมาก ได้เรียกพระเวสสันดรว่า ออกญา อยู่หลายตอน นอกจากนี้ยังปรากฏในจารึกวัดสรศักดิ์เมืองสุโขทัย สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าสามพระญา) เรียก "พ่ออยู่หัว" หรือกษัตริย์ของสุโขทัยในเวลานั้นว่า "พ่ออยู่หัวเจ้าธออกญาธรรมราชา"
มีข้อควรสังเกตอยู่ว่า คำว่า พญา/พระยา หรือ ออกญา นี้ ปรากฏในหลักฐานฝ่ายอยุทธยาเป็นหลัก แต่สำหรับหลักฐานของรัฐอื่นๆ เมื่อจะเรียกขานกษัตริย์ของตนเองจะพบว่ามีการใช้พระนามที่มีความพิสดารและดูสูงส่งมากกว่า เช่น อาจเพิ่มคำนำหน้าเป็น เจ้าพญาบ้าง มีสมเด็จนำหน้าบ้าง
ออกญาธรรมราชา ในจารึกวัดสรศักดิ์ที่น่าจะทำโดยอยุทธยา ในจารึกของสุโขทัยที่มีอายุไล่เลี่ยกัน เช่น จารึกวัดบูรพารามและจารึกวัดอโสการาม เรียกกษัตริย์สุโขทัยว่า สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช
พระยาแสนสอยดาว ผู้ครองเมืองกำแพงเพชรในพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีก พบจารึกลานเงินเมืองกำแพงเพชรระบุศักราช พ.ศ. ๑๙๖๓ ระบุว่า "สเดจพพฺรญาสอย" (สมเด็จพ่อพรญาสอย) และระบุว่าพระองค์ได้ "เสวยราชย์ในบุรีศรีกำแพงเพชร เสด็จฤกษ์ (บูรพคุณินักษัตร) ได้ขึ้นราชาอาสน์อภิรมย์ สมกอปรคลามาสู่ อยู่เสวยมโนรมย์..." แสดงว่าเป็นกษัตริย์อย่างชัดเจน
แม้แต่สมเด็จพระมหาธรรมราชาองค์นี้เอง ก็พบหลักฐานคือ จารึกพระครูธรรมเถียร พ.ศ. ๒๑๐๘ ได้กล่าวถึง "เสด็จมหาธรรมราชาธิบดี ศรียุท...บรมบพิตร สุจริต" ก็น่าจะบ่งบอกถึงสถานะ "กษัตริย์" ของพระองค์ได้อย่างชัดเจนครับ
แสดงความคิดเห็น
ตำแหน่งของ สมเด็จพระมหาธรรมราชา ในสมัยของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ?
- นี่คงไม่ใช่ตำแหน่งพระมหาอุปราชใช่ไหมครับ เพราะดูแล้วน่าจะใหญ่ระดับเป็นกษัตริย์เทียบเคียงกันเลย และในขณะเดียวกัน พระเฑียรก็ได้ตั้งพระมหินทรขึ้นมาเป็นอุปราชในเวลาต่อมาอีกที ดังนั้นจึงคิดว่ามันไม่น่าจะซ้ำซ้อนกันได้
- แต่จะใช่แบบกษัตริย์คู่เหมือนสมัยพระจอมเกล้า กับ พระปิ่นเกล้า หรือไม่ เพราะดูแล้วมันไม่ได้เป็นไปในเชิงนั้น
- หรือว่าเป็นกษัตริย์ประเทศราชแห่งอาณาจักรสุโขทัยศรีสัชนาลัย เลยมีพระปรมาภิไธยเหมือนกับกษัตริย์แห่งสุโขทัยองค์ก่อนๆ เหมือนมอบหัวเมืองที่เคยยึดให้กลับไปเป็นอีกประเทศเลย แต่ตรงนี้ผมก็ยังหาหลักฐานมายืนยันสถานะของหัวเมืองนี้ ณ เวลานั้น ยังไม่ได้