Mt. Bromo
ลมหายใจแห่งเทพเจ้า

ดินแดนแสนมหัศจรรย์ของประเทศอินโดนีเซีย

=====================================

ทำความรู้จัก โบรโม่ กันนิดนึง
จริงๆแล้วหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของ Mt. Bromo มาจากรีวิวต่างๆ
แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าเทือกเขาที่เห็นอยู่ทั้งหมด

ลูกไหนวะ Bromo!!??

เฉลย!!!!!!!!!!

ทุกลูกเลย คือโบรโม่!!!
แหน่ะ งงล่ะสิ ตอนหมีฟังจากไกด์ท้องถิ่นตอนแรกก็งงเหมือนกัน

เล่าให้ฟังนิดนึงก่อน ว่าสถานที่ หรือจุดชมวิวที่เราไปถ่ายรูปกันนั้น
จริงๆแล้ว มันคือ "ขอบ" ของปล่องภูเขาไฟขนาดยักษ์

ซึ่งจากภาพที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ บริเวณที่มีภูเขาซ้อนกันหลายๆลูก
อันนั้นคือส่วนของปากปล่องภูเขาไฟยักษ์ที่ดับไปแล้ว

หมายความว่า จริงๆแล้ว ในปากปล่องของภูเขาไฟยักษ์
มีภูเขาไฟลูกน้อยๆ เรียงรายกันอยู่

และโบรโม่ที่แท้จริง ก็คือลูกที่เรายืนอยู่กันนี่แหละครับ

แต่!!! เนื่องจากปากปล่องของโบรโม่เป็นที่นิยมในการมาท่องเที่ยวถ่ายรูป
ทำให้มีการนำเอา ภูเขาไฟน้อย ที่ยังไม่ดับ ถูกจับมาเป็นพระเอก โดยมอบชื่อ Bromo ให้เพื่อเหมาพแก่การถ่ายทอดไปสู่สายตาของคนทั้งโลก

ภูเขาไฟลูกเล็กที่ยังไม่ดับทางด้านนซ้าย จึงถูกเรียกว่า BROMO ในปัจจุบันนี้

=====================================

การเดินทางไปพิชิตวิวที่สวยสุดๆของ โบรโม่ ในครั้งนี้
เราเดินทางไปกับ Danny Van Granger ซึ่งพี่แกดูแลคนไทยดีจริงๆ แถมกวนทีนมากๆด้วย

หากใครสนใจเดินทางไปท่องเที่ยว Bromo+Ijen ติดต่อพี่แกได้นะ ราคาไม่แรง

=====================================

ระดับความเหนื่อย: 0 ศูนย์เลย เพราะไม่ต้องปีนเขาเลย คือนั่งรถไปถึง เดินนิดเดียวถึงจุดชมวิวเลย แต่ที่น่าอ่อนล้า คือการที่ต้องตื่นเช้าเพื่อไปจองที่ถ่ายรูปนี่ล่ะ

=====================================

สำหรับมุม Cemoro Lawang ที่เป็นหมู่บ้านหมอกไหล
หมีต้องขออำภัย เพราะรูปที่ถ่ายมา ดันใช้ไม่ได้ T^T

ในรีวิวนี้จึงมีแต่ในส่วนของ Bromo เท่านั้น
ไว้ถ้ามีโอกาส จะไปตำอีกรอบ เพื่อเอารูปกลับมาฝากเพื่อนๆให้จงได้!!!

=====================================

เราตามไปดูในรีวิวกัน ว่าไปเจออะไรมาบ้าง


อันนี้คือบรรยากาศหลังจากหมด golden hour ของแสงพระอาทิตย์ไปแล้ว


มุมรถจี๊ปที่ใครๆก็ต้องไปถ่ายกัน


เริ่ม!!!

หลังจากเดินทางตรากตรำกับ IJEN มา
พวกเราก็นั่งรถกันยาวๆมาประมาณ 5 ชั่วโมง
จนเดินทางมาถึงหมู่บ้านสายหมอก

Cemoro Lawang


ที่พักของเราคือที่นี่เลย

YOG Homestay

รีวิวกันตามจริงอ่ะเนอะ
ที่พักไม่ได้กินหรูอยู่สบาย
เพราะราคาค่าทัวร์ก็ไม่ได้สูงมาก

และที่สำคัญ เราก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตในโรงแรมนี้นานสักเท่าไหร่
เอาง่ายๆ เหมือนเป็นที่พักเพื่อ "นอน" เฉยๆจริงๆ

แต่ถ้าถามว่า บรรยากาศ ดีไหม?

คุณอยากนอนในเมืองที่ให้บรรยากาศแบบ
Silent Hills ผมบอกเลย ที่นี่โคตรตอบโจทย์


ตกเย็น เราก็หาพลังงานมาเติม
หลังจากเดินลำบากลำบนกันมาตั้งแต่เมื่อคืน

ซึ่งในเมื่อเรายังอยู่ที่ อินโดฯ "สะเต๊ะ" ก็ยังคงเปรียบเสมือนข้ามเหนียวหมูปิ้งที่ไทย

ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องเป็นได้เจอ

ว่าแล้วก็จัดสักหน่อย


อันนี้พี่คนขาย


อันนี้พี่คนป่วน


ระหว่างรอ สะเต๊ะ ของเราย่างเสร็จ
เราก็เดินมาหาเป้าหมายร้านอาหารเพื่อนั่งกิน
จนสุดท้ายก็มาจบที่ร้านตรงข้ามที่พัก

เป็นบ้านหลังเล็กๆ ชาวบ้านๆ
มีอาหารให้สั่งไม่กี่อย่าง
แต่ก็ยังมีของชำต่างๆขายสำหรับนักท่องเที่ยวที่มา


สะเต๊ะของเราได้แล้ว

หยุด!!! อย่าคิดว่าอีเขียวๆนั่นคือแตงกวา!!!

หมีเคยคิดมาแล้ว และบอกเลยผิดมหันต์!!!

มันคือข้าวเหนียว!
(บอกแล้วเหมือนข้าวเหนียวหมูปิ้ง)

คือมันก็ไม่เชิงข้าวเหนียวเว้ย มันเป็นแป้ง ที่อัดมาในรูปแบบแท่งเหมือนข้าวหลาว

ถ้าเราสั่งเพิ่ม เขาก็จะหั่นเป็นแว่นๆ แล้วเสิร์ฟมาพร้อมกับสะเต๊ะแบบนี้


ส่วนนี่เป็นข้าวร้านคุณป้าตรงข้าม YOG

บอกเลยสั้นๆ........

"น้อยมาก" T^T นั่นไก่เรอะป้า ถ้าไม่ซื้อสะเต๊ะมาเนี่ย เรียกว่ามังสวิรัตเลยนะ


รู้ละ น่องไก่ส่วนที่เหลืออยู่ไหน
มาอยู่กับ Mi Goreng นี่เอง


หลังเรากินอิ่ม ก็ไปนอนพักผ่อนกันในทันที

เพราะเวลาที่รถจี๊ปมารับเราคือเวลา

02:00 น.


นั่งรถจี๊ปจากบ้านพัก บรรยากาศรอบๆถ่ายยากมาก
เพราะมีแต่หมอก มองอะไรไม่เห็นเลย

นั่งมาได้สัก 30 นาที
เราก็ถึงจุดเริ่มเดิน

ตอนแรกแอบทำใจมานะ ว่าต้องเหนื่อยแน่

ไม่เลยเว้ยยยยย

เพราะพอเริ่มเดิน เราจะเจอร้านขายของเยอะมาก
เหมือนเดินอยู่สวนจตุจักรยังไงยังงั้น

ก็เลยถือโอกาสแวะเติมพลัง กับหาไฟอุ่นๆผิงกันก่อน

ใครจะไปโบรโม่ หมีขอเตือน

เอาเสื้อกันหนาวไปดีๆนะ
เพราะรอบนี้ ไม่เหมือน อีเจี้ยน ที่เราเดินตลอด ร่างกายยังได้มีความอบอุ่นข้างใน

แต่อันนี้คือการไป นั่งรอ ประมาณ 3 ชั่วโมง ในอากาศที่หนาวเหน็บ


เราสองคน ขึ้นมาถึงเป็นกลุ่มแรกๆ
ตอนนั้นบรรยากาศโดยรอบมืดสนิทจริงๆ

ทำให้เรายังมองไม่เห็น โบรโม่ ได้ถนัดตาเท่าที่หวัง
แต่หมีที่ชอบถ่ายดาวอยู่แล้ว ก็เลยถือโอกาส จัดสักหน่อย

ถ่ายไปถ่ายมาจึงได้รู้ว่า

อ๋ออออออออ

อีที่เรานั่งรถมา 30 นาทีผ่านแต่หมอกอ่ะ
คือเราขับผ่านปล่องภูเขาไฟมาเว้ยยยยย

สังเกตไฟรถในหมอกตรงด้านล่าง

นั่นคือบรรดารถจี๊ป ที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นมา


ว่าแล้วก็จัดดาวหมุนซะน่อย

!!! มีคนเตะขาตั้งกล้อง สั่นไปหมดเลยเนี่ย!!


เช้าแล้วววววว





หลังจากถ่ายโบรโม่กันได้หนำใจ

เราก็ไปต่อตามโปรแกรมที่วางไว้

คือการนั่งรถจี๊ปลงไปที่ปล่องภูเขาไฟ

เพื่อไปเยี่ยมชม

"โบรโม่" "Savana" "Whispering Sand"


ก่อนออกเดินทางอีกรอบ ก็แวะแชะภาพสักหน่อย






เมื่อเข้าเขตที่จอดรถ ก่อนขึ้นปากปล่องโบรโม่(น้อย)

ก็จะมีพี่ๆคนเลี้ยงม้า จูงน้องม้ามา รับบริการแบกเราขึ้นหลังน้องม้า
เพื่อประหยัดเวลาในการเดินจากจุดจอดรถไปที่ตีนโบรโม่

ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ไกลขนาดนั้น
แต่ไหนๆมาแล้วก็จัดขี่ม้ากันสักหน่อย


บนปากปล่องของโบรโม่นั้น สามารถเดินวนได้เกือบเต็มวง
(หรือเต็มวงไม่แน่ใจ บอกเลยไม่กล้าไปไกล ขาสั่น)

แต่จะเดินต้องระวังดีๆนะ
เพราะด้านหนึ่ง เป็นทางลาดชัด และหินขรุขระ ตกลงไปต้องมีเจ็บตัวแน่นอน

แต่อีกด้านสิน่ากลัวกว่า


เพราะเป็นปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ

ถ้าไหลลงไปนะคุณเอ๋ยยยยยยยยยยยยย



แต่บรรยากาศข้างบน

มันสุดจริงๆว่ะ

คือสถานที่แห่งนี้ มันสุดในทุกๆที่ ทุๆด้าน

ไม่ว่าจะจุดไหน ก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้ทั้งนั้น



ภาพแห่งประวัติศาสตร์

เล่านิด

คือหมีเอ๋อมากเว้ย
เอาโดรนตัวเองไป แต่หยิบที่ชาร์จแบตผิดไป
ทำให้โดรนของตัวเองอ่ะ ไม่สามารถขึ้นบินได้
เลยไปไหว้วาน ยืมโดรนคนอื่นถ่าย
แล้วใส่เม็มตัวเองลงไป

ซึ่งเมื่อเราอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ
ลมมันจะแรงมาก
ไอ้เราก็ลืมนึกถึงตอน Landing ไปซะสนิท

ถ้าวันนั้นไม่ได้เจ้าหมูช่วยไปยืนคว้าโดรนไว้
ค่าทริปรอบนี้คงพุ่งทะยาน เพราะต้องไปซื้อโดรนใช้เขาเป็นแน่


เมื่อถ่ายรูปบริเวณนี้กันสักพัก ก็ได้เวลามูฟออนกันแล้ว



บริเวณของ Savana และ Whispering Sand

ถ้าถามหมี เอาจริงๆเฉยๆนะ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ถ้าไปแล้วก็ลองไปดูสักหน่อยนึง

แต่ไฮไลท์ของโบรโม่ ก็มีอย่างที่กล่าวไป


สุดท้ายนี้

ทริป Bali+Ijen+Bromo ของเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตาม

อย่างไรก็ดี ฝากกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้หมีด้วยนะ

อนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนิดหน่อย
ยังไงฝากเพื่อนๆติดตามกันด้วยนะครับ^^

ขอบคุณครับบบบบบ