คอลัมน์ ภาพเก่าเล่าตำนาน ข้าฯจะขอเชื่อว่า‘โลกแบน’ตลอดไป

โดย : พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ในประวัติศาสตร์ของชาวยุโรปช่วงหนึ่งบันทึกเรื่องความขัดแย้งในสาธารณชน ถึง “คอขาดบาดตาย” เป็นสงครามย่อยๆ คือประเด็นความเชื่อที่ต้องเอาชนะกันให้ได้ว่าโลกเรานี้ แบน…ไม่ใช่ กลม
ฝ่ายที่เชื่อมั่นหัวชนฝาว่า โลกมีรูปร่าง แบน แน่นอน มีจำนวนมาก เพราะมนุษย์เห็นสิ่งรอบตัว มันบ่งบอกเช่นนั้น

นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ ที่ตรวจสอบแล้วว่า โลกกลม มีน้อยคน เพราะใช้หลักการพิสูจน์ มีการคำนวณ มีกล้องส่องดูดาวเห็นกับตา เห็นดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ เห็นกลุ่มดาว เข้าใจปรากฏการณ์สุริยุปราคา จันทรุปราคา กลางวัน กลางคืน เป็นความรู้เฉพาะตัวที่ รู้เอง ทำเองพิสูจน์ด้วยตัวเอง เมื่ออยู่ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่า โลกแบน เลยต้องหุบปากเงียบ
น้ำน้อย…ย่อมแพ้ไฟ เป็นธรรมดา แต่นิสัยชาวตะวันตกที่โดดเด่นส่วนหนึ่ง คือ ความกล้าหาญที่จะต้องยึดความถูกต้อง ยืนหยัดในอันที่จะแก้ไขความคิดที่ไม่ถูกต้อง ไม่ปล่อยให้สังคมงมงาย

เรื่อง โลกกลมหรือแบน กลายเป็นประเด็นร้อน มีหลายฝ่ายเข้ามาเป็นกองเชียร์ เกิดการครอบงำ ปั่นหัว แบ่งฝ่าย สังคมแบ่งข้างกันแบบไม่เหยียบเงา ไม่เผาผี
ไฟลุกโชน เกิดความแตกแยกในสังคมกระจายไปทั่ว เมื่อฝ่ายที่เชื่อว่า โลกแบน ไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างเป็นข้อพิสูจน์ จึงไปอ้างถึงพระผู้เป็นเจ้า เพื่อรักษาหน้า
เรื่องราวที่ถกเถียงกัน ถูกบิดประเด็นไปเป็นเรื่องลึกลับ มีอภินิหาร ปาฏิหาริย์เข้ามาผสมโรง มีเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ การเอาศาสนาเข้ามาเป็นเกราะกำบัง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กลุ่ม พรรคพวกของตนได้อย่างเข้มแข็ง
เอาหลังพิงศาสนา โยงไปถึงพระเจ้า อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ง่ายดี

ฝ่ายที่มีข้อมูลในมือ พยายามจะบอกว่าโลกมันกลม เลยไม่กล้าออกหน้าออกตา ไม่กล้าส่งเสียงมากนัก เพราะรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มศาสนิกที่มีจำนวนมหาศาล ถ้าต่อต้าน เห็นแย้งด้วยประการทั้งปวง คือ การเป็นคนนอกศาสนา เป็นคนนอกรีต เป็นผู้ทรยศต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่มีบทลงโทษหนักหนาสาหัสถึงประหารชีวิต
ภาพเก่า…เล่าตำนาน ตอนนี้ ขอชวนคุยประวัติศาสตร์ที่สร้างความขัดแย้งของชนชาติในยุโรปประเด็น “โลกนี้..แบน..หรือ..กลม” และความอัปยศที่เกิดขึ้นกับใครบางคน

ในช่วงที่ผมเรียนระดับชั้นประถมในต่างจังหวัด ผมเองก็เห็นแย้งกับตำราวิชาภูมิศาสตร์ ที่บอกว่า โลกกลม …ซึ่งส่วนตัว ผมไม่เชื่อ และไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน มีคำถามว่า น้ำในทะเล น้ำในคลอง หนอง บึง มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไม่ได้ถ้าโลกกลม มันต้องหัวทิ่มตีลังกา
ผู้คน รถจักรยาน สามล้อ มันตั้งอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่… ถ้าโลกนี้กลม ของเหล่านี้มันต้องถูกเหวี่ยงออกไปนอกโลก มันต้องหงายท้องกลิ้ง
ผมเชื่อว่า หลายๆ ท่าน ก็คงแอบคิดเรื่อง โลกแบน แต่ต้องตอบในข้อสอบว่า โลกกลม เพื่อให้ได้คะแนน…
ในช่วงศตวรรษที่ 16 ในยุโรป ถ้าเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ยิ่งต้องเคร่งครัด ไปพูดที่ไหนต้องยืนยันว่า โลกแบน พวกนักวิทยาศาสตร์ที่มีไม่กี่คนที่มีทฤษฎีเต็มกระเป๋า พิสูจน์แล้วว่าโลกกลม แทบไม่มีที่ยืนในสังคม ต้องหลบซ่อน แอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบลับๆ
นี่เป็นบรรยากาศที่เกิดขึ้นจริง ในทวีปยุโรปที่สังคมเจริญก้าวหน้าล้ำชนชาติใดในโลก กลุ่มคนที่รู้แจ้งเห็นจริง มีหลักการ ต้องหุบปาก

ลองมาย้อนอดีตไปให้ไกลโพ้นเท่าที่พอจะสืบค้นได้นะครับ
ราว 5 พันปีที่แล้ว กรีกเป็นชนชาติแรกๆ ที่บันทึกความรู้เรื่องดาราศาสตร์ ชาวกรีกมีความรู้เรื่องดวงดาวต่างๆ กลุ่มดาวที่บอกทิศทาง ศึกษาเรื่องดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มีข้อมูลของฤดูกาล
ซึ่งชาวกรีกมีความรู้ดาราศาสตร์มากกว่าใครในโลก มีรากฐาน มีการพิสูจน์ ตรวจสอบโดยการคำนวณ จึงฟันธงว่า โลกกลม

เจมส์ ฮันนัม (James Hannam) บันทึกว่า ในศตวรรษที่ 17 คนทั้งโลกมีความเชื่อว่าโลกแบน ซึ่งต่อมาความขัดแย้งลุกลามบานปลาย แตกแยกออกไปอีกเมื่อไปลากเอาศาสนามาอ้าง เลยทำให้ชาวคริสต์จำนวนหนึ่ง ขอแยกตัวออกจากฝ่ายคาทอลิก ไปตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ และบรรจุคำสอนใหม่ของโปรเตสแตนต์ ในทำนองว่าโลกกลม
ฝ่ายที่เชื่อว่า โลกแบน มีจำนวนมากกว่าแน่นอน เพราะบรรดาเกษตรกรทั้งหลายปลูกพืช ทำการเกษตร เป็นชนส่วนใหญ่ของสังคม ทำการเกษตรมาทั้งชีวิต เดินไปไหนมาไหน ขี่ม้าไป 3 วัน 5 วัน ยังไม่เห็นพื้นดินมันโค้งตรงไหน น้ำท่าในบ่อ ก็ไม่เห็นมันโค้งงอ
ปู่ ย่า ตา ยาย ของผมที่ทำนาอยู่ อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ต่างก็เชื่อว่าโลกแบน
ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะครับ ใครเห็นอะไร แค่ไหน ก็รู้แค่นั้น และก็เชื่อตามนั้น เหมือนคนที่อยู่บนในป่าในภูเขา มาทั้งชีวิต นึกไม่ออกว่าทะเลเป็นยังไง? ตรงกับสุภาษิตไทย คือ กบในกะลา

กาลเวลาผ่านไปแสนนาน ในศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ที่ชาวโลกคุ้นชื่อ นามว่า กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ชาวอิตาลี ถูกมอบหมายให้ทำความกระจ่างเรื่อง รูปพรรณสัณฐานของโลกที่เราอยู่อาศัย
เด็กหนุ่มชื่อ กาลิเลโอ ชาวอิตาลี เคยสมัครเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปิซาตามความต้องการของพ่อ ทั้งๆ ที่ไม่ชอบเรียนแพทย์เขาเรียนแพทย์ไม่จบ กลับไปได้ปริญญาสาขาคณิตศาสตร์มาแทน

ปี พ.ศ.2402 เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปิซา ต่อมาย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยแพดัว โดยสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์
ในระหว่างช่วงเวลานี้ กาลิเลโอได้ทำการค้นพบที่สำคัญของโลก ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) ความสนใจของเขายังครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์
เมื่อรับหน้าที่ต้องแถลงผลการพิสูจน์ กาลิเลโอ ออกมาแถลงหลักการทางฟิสิกส์ ที่ค้นคว้ามานานยืนยันว่า โลกกลม ซึ่งการแถลงครั้งนั้น เป็นการขัดแย้ง หักหน้าฝ่ายรัฐที่บอกกล่าวสาธารณชนไปแล้วว่า “โลกนี้มันแบนเหมือนเขียง” (Trencher)

กาลิเลโอเปิดเผยข้อมูลว่า โลกใบนี้มันกลม ต่อที่ประชุมครั้งนั้น เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะทำลายเครดิตฝ่ายรัฐและดันไปขัดแย้งกับคำสอนในศาสนา ที่กล้าแถลงเช่นนี้เพราะกาลิเลโอ มีกล้องที่คนอื่นไม่มี
กล้องโทรทรรศน์ได้รับการคิดค้นขึ้นครั้งแรกในประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อ พ.ศ.2151 ต่อมากาลิเลโอเองได้สร้างกล้องส่องดูดาวของตนขึ้นมีกำลังขยายสูงสุด 30 เท่า
กาลิเลโอและทีมงานสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ในที่ไกลออกไปได้ ในยุคนั้นเรียกว่า กล้องส่องทางไกล (Terrestrial telescope หรือ Spyglass)
กาลิเลโอยังใช้กล้องนี้ส่องดูท้องฟ้า ดูดวงดาว กาลิเลโอเผยแพร่ผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ผ่านกล้องส่องทางไกลครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ.2153 (ตรงกับปลายรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ) ในบทความสั้นๆ เรื่องหนึ่งชื่อ Sidereus Nuncius (ผู้ส่งสารแห่งดวงดาว)

สังคมแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แถมมีศาสนจักรเข้ามาหนุนหลัง
กาลิเลโอถูกบังคับให้แถลงใหม่อีกครั้ง เพื่อลบล้างทฤษฎี “โลกกลม” แต่กาลิเลโอปฏิเสธที่จะทรยศต่อวิชาชีพ
ปี พ.ศ.2162 กาลิเลโอที่เฝ้าดูดวงดาว เสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกับบาดหลวงออราซิโอ กราสซี ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งวิทยาลัยเกรกอเรียนในลัทธิเยซูอิด เป็นความเห็นต่างเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวหาง

กาลิเลโอ คือคนที่ยืนยันว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางแห่งจักรวาล เขาค้นพบว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ดาวต่างๆ รวมทั้งโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเขาสวนกระแสสังคมโดยสิ้นเชิง
กาลิเลโอ อัจฉริยะบุคคลที่ทำงานหนักมาตลอด ยืนยันในหลักการทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่เก็บข้อมูลมาตลอด ยืนยันว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
การทำงานทางวิชาการ การค้นพบ ผลงานของ ปราชญ์-คนเก่ง ทั้งหลายในยุโรป จะใช้การตีพิมพ์เอกสารออกมาเผยแพร่ โดยเฉพาะผลงานทางการแพทย์ ซึ่งถ้าใครเห็นแย้ง เห็นต่าง ก็ให้เสนอเป็นเอกสารออกมาโต้แย้งให้สาธารณชนได้รับทราบทั่วกัน เป็นเรื่องปกติวิสัย สังคมโลกที่พัฒนามาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะคิดต่างกัน แยกกันคิด

ถ้าทุกคนยังคงคิดหุงข้าวด้วยกระทะใบบัว ไม่มีคนคิดเป็นอย่างอื่น ป่านนี้เราคงยังไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
จากคัมภีร์ไบเบิล มีข้อความบางตอนที่ระบุว่า “โลกได้ตั้งสัณฐานขึ้น และไม่อาจเคลื่อนไป” … “พระองค์ทรงตั้งแผ่นดินโลกไว้บนรากฐานของมัน เพื่อมิให้มันสั่นคลอนเป็นนิจนิรันดร์”


ในคัมภีร์ตอนหนึ่งยังกล่าวต่อไป…“ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก…แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น…แล้วดวงอาทิตย์ก็ขึ้น เคลื่อนไปและหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม” …นี่เป็นข้อความบางส่วนในไบเบิลที่ชาวคริสต์ยึดถือ
กาลิเลโอ ถูกเรียกตัวไปกรุงโรมอีกครั้งเพื่อชี้แจงงานเขียนหนังสือชื่อ Dialogue Concerning the Two Chief World Systems
กาลิเลโอ เผชิญหน้ากับคาร์ดินัลโรเบิร์ต เบลลาร์มีน ซึ่งถือกันว่าเป็นนักเทววิทยาฝ่ายคาทอลิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น ซึ่งมีหน้าที่จับผิดและลงทัณฑ์พวกนอกรีต

เบลลาร์มีน จอมโหด ตักเตือนกาลิเลโออย่างเป็นทางการให้หยุดเผยแพร่ความคิดเห็นของเขาเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง แต่กาลิเลโอยังคงมุ่งมั่นในสิ่งที่ค้นพบ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์
เขาถูกเรียกไปไต่สวนความผิดฐานนอกรีต ในปี พ.ศ.2176 ศาลศาสนาโรมัน ได้ประกาศพิพากษา ดังนี้


กาลิเลโอมีความผิดฐาน “ต้องสงสัยอย่างรุนแรงว่าเป็นพวกนอกรีต” โดยมีสาเหตุสำคัญคือการแสดงความเห็นว่า “ดวงอาทิตย์อยู่นิ่งที่ศูนย์กลางจักรวาล เรียกว่าระบบเฮลิโอเซนทริก (ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง) โลกมิได้เป็นศูนย์กลางแต่เคลื่อนไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ ความเห็นนี้ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก จึงต้องโทษคุมขัง ต่อมา อัสกานีโอ (อาร์ชบิชอปแห่งซีเอนา) ให้ความช่วยเหลือผ่อนหนักเป็นเบา ขอให้กักบริเวณกาลิเลโอในบริเวณบ้าน เขากลายเป็นบุคคลต้องห้าม มิให้ใครผู้ใดคบค้าสมาคมด้วย
ฝ่ายที่เชื่อว่าโลกแบน เฮลั่นสนั่นเมือง คิดว่าตัวเองถูกต้องและเป็นผู้ชนะตลอดกาล
ก่อนสิ้นอิสรภาพ กาลิเลโอได้พิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นในทุกกระบวนท่า ให้ส่องกล้องดูดาว ให้ดูผลการคำนวณ เรื่องกลางวัน กลางคืน น้ำขึ้น น้ำลง อีกฝ่ายหนึ่ง ก็ขอไม่เชื่อ และจะไม่มีวันเชื่อตลอดไป

กาลิเลโอใช้ชีวิตในบ้านของตนที่อาร์เชตรี ใกล้เมืองฟลอเรนซ์ เขาใช้ชีวิตที่เหลือตลอดชีวิตโดยถูกคุมบริเวณอยู่แต่ในบ้านนี้ กาลิเลโอ ยังมีแรงบันดาลใจ มุ่งค้นคว้า ทำงานทางวิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในบั้นปลายชีวิตเขาตาบอดสนิท หนังสือ Dialogue กลายเป็นหนังสือต้องห้าม
กาลิเลโอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2185 (สมัยพระเจ้าปราสาททอง อยุธยา) รวมอายุ 77 ปี

ผลงานของกาลิเลโอ ได้รับยกย่องอย่างสูงจากทั้ง เซอร์ไอแซก นิวตัน และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผลงานของเขาถูกต้อง เป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ ทำให้กาลิเลโอได้รับขนานนามว่า “บิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่”
นักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมา ต่างยอมรับและยกย่องในสิ่งที่กาลิเลโอค้นพบ ถือเป็นการค้นพบแบบเปลี่ยนโลก ซึ่งเรื่องการลงโทษกาลิเลโอยังเป็นสิ่งที่ศาสนจักรสำนึก เป็นสิ่งที่สร้างความมัวหมองมานับร้อยปี
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2522 โป๊ปจอห์น ปอลที่ 2 ประกาศขอทบทวนสถานภาพของกาลิเลโออีกครั้ง ซึ่งโป๊ปยอมรับว่า
กาลิเลโอต้องทนทุกข์อย่างมาก ด้วยน้ำมือของบุคคลและสถาบันของคริสตจักร

ในปี พ.ศ.2535 โป๊ปแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาลิเลโอ และได้ยอมรับว่า “นักเทววิทยาบางคนในยุคเดียวกับกาลิเลโอ ไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่ไม่เป็นไปตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ เมื่อพวกเขาพรรณนาโครงสร้างทางกายภาพของเอกภพที่ถูกสร้างขึ้นมา”
เดือนตุลาคม พ.ศ.2535 โบสถ์แห่งสำนักวาติกันได้ออกมาแถลงการณ์ยอมรับข้อผิดพลาดที่ปฏิบัติต่อกาลิเลโอ

มาถึงปัจจุบัน พ.ศ.2561 ผมเข้าไปค้นใน The Flat Earth Society (สมาคมโลกแบน) ก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ยังเชื่อ และจะเช
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่