(บทความ) กะทู้ดีๆหายไปไหน หรือแค่ไม่อยากเดินซ้ำรอยกาลิเลโอ

กระทู้คำถาม
กะทู้ดีๆในที่แห่งนี้(ราชดำเนิน)หายไปไหน..?
อาจเป็นคำตอบที่ยากจะตอบออกมาได้ แต่ไม่ยากเกินไปสำหรับการหาคำตอบ

        เพราะที่แห่งนี้เคยเป็นที่ๆ ในอดีตเคยใช้สำหรับการแบ่งปันข้อมูลแลกเปลี่ยนข่าวสาร และที่สำคัญคือใช้สถานที่นี้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนะคติทางการเมือง ซึ่งแน่นอนว่า ความคิดเห็นของคนเราในทุกๆเรื่อง ย่อมไม่มีวันเหมือนแบบไม่มีข้อแตกต่าง และไม่มีวันแตกต่างแบบไม่มีข้อสอดคล้อง กับบุคคลอื่น หรือบุคคลใดๆเลยที่อาศัยอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ซึ่งในที่นี้หมายถึง ห้อง “ราชดำเนิน

        ก่อนเกิด “สงครามกีฬาสี” ที่แห่งนี้ก็มีการแบ่งข้างกันอยู่แล้ว เพียงแต่การที่มีมุมมองไม่เหมือนกันหรือสารพันเหตุผลที่ใครผู้ใดผู้หนึ่งใช้เลือกที่จะสนับสนุนฝักฝ่ายทางการเมืองใดๆนั้น ก็ยังคงมีส่วนที่คล้ายกัน คืออยากให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าเมือนๆกัน แม้จะเลือกสนับสนุนคนละฝ่ายกัน คือ ต่างเชื่อว่า การบริการงาน การทำงาน และความเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ตนเองเชื่อถือนั้น “ถูกต้องและเหมาะสม” ตนเองจึงออกมาแสดงความเห็นในลักษณะของการสนับสนุนผ่านช่องทางตามกรอบกติกาของสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ ซึ่งในที่นี้ คือการออกมาตั้งกะทู้ สนับสนุน และฝ่ายที่เห็นต่างไป คิดว่าผลจากการกระทำใดๆของฝ่ายการเมืองที่ตนเองไม่ได้เชื่อถือ มันเป็นการกระทำที่ “ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม” ตนเองก็ใช้สิทธิตามกรอบกติกาออกมาแสดงความเห็นตั้งกะทู้ คัดค้าน การกระทำนั้นๆเช่นเดียวกัน

        ว่ากันตามตรง ลักษณะการแสดงความเห็นหรือการตั้งกะทู้ปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตหรือไม่..? คำตอบ คือไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม คืออาศัย “ความเชื่อ” เป็นตัวตั้ง แต่ที่ขาดหายไปจนคนที่ยังวนเวียนอยู่ในห้องราชดำเนินปัจจุบันก็น่าจะรู้สึกได้ด้วยตนเอง คือ “ความรู้” มันขาดหายไปจนยากเหลือเกินที่จะหากะทู้ดีๆอ่านได้จากราชดำเนินยุคปัจจุบัน

        กะทู้ดีๆหายไปไหนนั้น ถ้าให้บอกโดยใช้สามัญสำนึกของคนที่เข้าออกห้องราชดำเนินเป็นประจำ คงได้คำตอบออกมาในแนวทางเดียวกัน ว่ามันหายไปพร้อมกับหลายๆล็อคอิน ที่ปลิดปลิวหายไปเพราะตั้งกะทู้ต้านแรงพายุทางการเมือง แม้อาจมีบ้างที่ยังหลงเหลือรักษาล็อคอินเดิมเอาไว้ได้ แต่ไม่มีแล้วที่ใครจะออกมายืนหยัดถ่ายทอดมุมมองความเห็นของตนเอง เพราะมันกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ และอาจเกิดโทษขึ้นกับตนเองด้วยซ้ำ

        เมื่อมองรูปการณ์ของราชดำเนินในปัจจุบัน ในฐานะที่ตัว จขกท. เป็นนักอ่านคนหนึ่ง ที่ชอบอ่านเรื่องราวของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มาก พลันนึกถึง “กาลิเลโอ”ขึ้นมาทันที เพราะประวัติของชายผู้นี้ บ่งบอกไว้ว่าเขาเคยผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกันกับผู้มากความรู้ที่หลบเลี่ยงและเลือกที่จะลับหายไปจากห้องราชดำเนินยุคปัจจุบันด้วยตัวเอง

        ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ที่ยังเป็นยุคที่ คริสตจักรโรมันคาทอลิก เรืองอำนาจ การศึกษาและค้นพบทางดาราศาสตร์ของกาลิเลโอ ที่ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เกี่ยวกับเรื่องระบบสุริยะจักรวาล นั้นมีน้ำหนักมากพอที่จะสนับสนุนแนวคิดของ โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่บอกว่า ดวงอาทิตย์คือศูนย์กลางของสุริยะจักรวาล ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดต้องห้ามในยุคสมัยนั้น เพราะทางศาสนจักรยังคงยืนกรานให้โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามแนวคิดทางศาสนา

        จนท้ายที่สุด กาลิเลโอก็ถูกบังคับให้ออกมาประกาศปฏิเสธความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางสุริยะจักรวาล และถูกจับกักขัง ตกอยู่ในความควบคุมของศาลศาสนาโรมันจนหมดช่วงชีวิตที่เหลือ

        เมื่อดูจากตัวอย่างในเรื่องราวประวัติศาสตร์ ก็คงพอจะรู้ได้ว่า ทำไมความรู้ถึงหายไปจากราชดำเนิน เพราะขนาดคนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่" "บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่"  "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่" ยังถูกขังจนตายเพราะเผยแพร่สิ่งที่เป็นสาระความรู้ที่บังเอิญไปขัดขวางกับแนวคิดผู้มีอำนาจ ต้องยุติบทบาทลงด้วยสภาวะจำยอม

เมื่อรู้ว่าพูดมากแล้วภัยจะมาเยือน
เหล่าผู้รู้แห่งราชดำเนิน จึงยอมหลบเลี่ยงไปเพราะเหตุผลความปลอดภัยของตนเอง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย กาลิเลโอ
มันก็เท่านั้น สำหรับเหตุผลที่อธิบายง่ายๆว่าทำไมกะทู้ดีๆถึงหายไปจากราชดำเนิน


ป.ล. แปะหลักฐานกับวันวานของราชดำเนินสักหน่อย ว่าแต่ก่อนกะทู้แนะนำนั้น เขาได้โหวตกันขนาดไหน


ซึ่งวันวานที่เฟื่องฟูแบบนั้นไม่มีแล้ว ในวันนี้ น่าเศร้าใจนัก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
สวัสดีค่ะพี่พระรอง ดีใจที่ได้อ่านกระทู้สาระ แวะมาเขียนบ่อยๆ สิคะ จะเรื่องอะไรก็ได้เท่าที่จะเขียนได้ ไม่อย่างนั้นในนี้ยิ่งจะไม่เหลือใคร

กาลิเลโอ สร้างผลงานมากมาย จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่" "บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่"

แต่พอเสนอแนวคิดว่า "ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล" ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของทอเลมีและอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทำให้ขัดแย้งกับคริสตจักร จนต้องถูกเรียกไปปรับทัศนคติ และถูกประณามว่าเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต จนต้องโทษคุมขัง ซึ่งต่อมาโทษนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการคุมตัวอยู่แต่ในบ้านและให้งานเขียนอื่นๆ กลายเป็นงานต้องห้ามไปด้วย มิหนำซ้ำถูกห้ามไม่ให้สอนนักเรียนของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อีก มิฉะนั้นจะถูกจับเผาทั้งเป็น  

ภาพเขียนกาลิเลโอไปให้การ


จนภายหลังเมื่อมีการพิสูจน์ว่ากาลิเลโอพูดถูก ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอ โดยสร้างอนุสาวรีย์ของ เขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกัน

แล้วบ้านเราล่ะ เมื่อเวลาผ่านไป จะมีการยอมรับว่าอะไรถูก อะไรผิดหรือไม่ หรือก็ต้องปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้วเกิดซ้ำซากอีก  หรือไม่ก็บิดเบือนประวัติศาสตร์กันไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่