สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
เราอยากแชร์ประสบการณ์นะ
พ่อเราเส้นเลือดในสมองแตก ระหว่างขับรถ รถเลยคว่ำ ก็เป็นครบ เบาหวาน ความดัน และพันธุกรรม ดื่มเหล้าบ้างตามโอกาส สนุกสนานกับเพื่อนฝูงกับลูกน้อง
ครอบครัวตัดสินใจยื้อชีวิต ปั๊มหัวใจ ดึงกลับมาได้ แล้วพบว่าสมองบวม ... เสียหายไปมากกว่าครึ่ง ยื้อยึง รักษากันต่อ จาก รพ. เอกชน ส่งต่อ รพ. รัฐบาล เพราะรู้ตัวว่ายาวแน่ๆ
อยู่ รพ. อยู่ค่อนปี กลับบ้านแบบอัมพาต นอนลืมตาได้ ขยับแขนขาได้ข้างซ้าย .... พูดไม่ได้อีกต่อไป ... จำใครไม่ได้ ... เงินทองแทบหมด ประกันมี แต่ไม่พอ ลูกเมียเท่านั้นค่ะ ที่อยู่เคียงข้างต่อไป ญาติๆที่กดดันแม่เราตอนหน้าห้อง icu หายหมด เหลือมาคอยช่วยเหลือแค่น้าสาว 2-3คน
พ่อเราอยู่ได้ต่ออีก 7-8 ปี .... เราดูแลกันเอง ต้องไปเรียนกายภาพ เพื่อยกและดูแลผู้ป่วย ... ต่อเติมบ้านใหม่เพื่อสร้างห้องชั้นล่าง ให้สะดวกกับคนป่วย กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ก้อเป็นปี ชีวิตก็ชิน ... การดูแลคนป่วยไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงชีวิตเราอายุ 19-25 ปี ไม่มีชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนอื่น เราเรียน inter อีกด้วย แม่กัดฟันให้เรียนต่อ เรียนจบรีบทำงาน หาเงินผ่อนเบาภาระของแม่ เลิกงานรีบกลับบ้านช่วยแม่ดูแลพ่อ เช็ดอึ เปลี่ยนถุงฉี่ ป้อนข้าว อุ้มอาบน้ำ พาใส่รถเข็นไปเดินสูดอากาศนอกบ้าน .... แช่มือแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น ประวิงเวลาเรื่องมือเท้าหงิก เอ็นยึด... โดนพ่อฟาดบ่อยเพราะทำเค้าเจ็บ เรื่องปรกติ
เพื่อนที่ทำงานไม่มี เพราะไม่มีเวลาให้ใคร แฟนไม่ต้องพูดถึง.... มีโอกาสได้งานเมืองนอกก้ไปไม่ได้ ....
เราไม่เคยเสียใจนะ มองย้อนกลับไป เราทำหน้าที่ขอวเราดีที่สุดแล้วค่ะ
ไม่รู้นะ เราเลิกหาคำตอบตั้งแต่ เดือนแรกที่เกิดเหตุแล้ว ว่าทำไมชีวิตต้องมาเป็นแบบนี้แบบนั้น ผ่านน้ำตามาเป็นโอ่ง.... แต่ชีวิตเมื่ออะไรเข้ามาก็ต้องรับมันให้ได้ และผ่านมันไปให้ได้
ทุกวันนี้ เรา healthy สุดๆ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ พยายามกินดี ออกกำลังสม่ำเสมอ เพราะกลัวเป็นอย่างพ่อ เก็บเงินเก็บทอง ไว้ดูแลตัวเอง ทำประกันให้เพียงพอว่าไม่เป็นภาระใคร ..... ประสบการณ์สอนชีวิตค่ะ คนเราเวลาจะตาย มันไม่ได้ตายง่ายๆ แบบหลับไปเลยอะไรแบบนี้
พ่อเราเส้นเลือดในสมองแตก ระหว่างขับรถ รถเลยคว่ำ ก็เป็นครบ เบาหวาน ความดัน และพันธุกรรม ดื่มเหล้าบ้างตามโอกาส สนุกสนานกับเพื่อนฝูงกับลูกน้อง
ครอบครัวตัดสินใจยื้อชีวิต ปั๊มหัวใจ ดึงกลับมาได้ แล้วพบว่าสมองบวม ... เสียหายไปมากกว่าครึ่ง ยื้อยึง รักษากันต่อ จาก รพ. เอกชน ส่งต่อ รพ. รัฐบาล เพราะรู้ตัวว่ายาวแน่ๆ
อยู่ รพ. อยู่ค่อนปี กลับบ้านแบบอัมพาต นอนลืมตาได้ ขยับแขนขาได้ข้างซ้าย .... พูดไม่ได้อีกต่อไป ... จำใครไม่ได้ ... เงินทองแทบหมด ประกันมี แต่ไม่พอ ลูกเมียเท่านั้นค่ะ ที่อยู่เคียงข้างต่อไป ญาติๆที่กดดันแม่เราตอนหน้าห้อง icu หายหมด เหลือมาคอยช่วยเหลือแค่น้าสาว 2-3คน
พ่อเราอยู่ได้ต่ออีก 7-8 ปี .... เราดูแลกันเอง ต้องไปเรียนกายภาพ เพื่อยกและดูแลผู้ป่วย ... ต่อเติมบ้านใหม่เพื่อสร้างห้องชั้นล่าง ให้สะดวกกับคนป่วย กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ก้อเป็นปี ชีวิตก็ชิน ... การดูแลคนป่วยไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงชีวิตเราอายุ 19-25 ปี ไม่มีชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนอื่น เราเรียน inter อีกด้วย แม่กัดฟันให้เรียนต่อ เรียนจบรีบทำงาน หาเงินผ่อนเบาภาระของแม่ เลิกงานรีบกลับบ้านช่วยแม่ดูแลพ่อ เช็ดอึ เปลี่ยนถุงฉี่ ป้อนข้าว อุ้มอาบน้ำ พาใส่รถเข็นไปเดินสูดอากาศนอกบ้าน .... แช่มือแช่เท้าด้วยน้ำอุ่น ประวิงเวลาเรื่องมือเท้าหงิก เอ็นยึด... โดนพ่อฟาดบ่อยเพราะทำเค้าเจ็บ เรื่องปรกติ
เพื่อนที่ทำงานไม่มี เพราะไม่มีเวลาให้ใคร แฟนไม่ต้องพูดถึง.... มีโอกาสได้งานเมืองนอกก้ไปไม่ได้ ....
เราไม่เคยเสียใจนะ มองย้อนกลับไป เราทำหน้าที่ขอวเราดีที่สุดแล้วค่ะ
ไม่รู้นะ เราเลิกหาคำตอบตั้งแต่ เดือนแรกที่เกิดเหตุแล้ว ว่าทำไมชีวิตต้องมาเป็นแบบนี้แบบนั้น ผ่านน้ำตามาเป็นโอ่ง.... แต่ชีวิตเมื่ออะไรเข้ามาก็ต้องรับมันให้ได้ และผ่านมันไปให้ได้
ทุกวันนี้ เรา healthy สุดๆ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ พยายามกินดี ออกกำลังสม่ำเสมอ เพราะกลัวเป็นอย่างพ่อ เก็บเงินเก็บทอง ไว้ดูแลตัวเอง ทำประกันให้เพียงพอว่าไม่เป็นภาระใคร ..... ประสบการณ์สอนชีวิตค่ะ คนเราเวลาจะตาย มันไม่ได้ตายง่ายๆ แบบหลับไปเลยอะไรแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 6
อย่าว่าแต่ผู้สูงอายุเลยค่ะ คนรุ่นหลังๆก็เป็น
ผู้สูงอายุ ถ้าถูกเตือนโดยลูกหลาน หลายๆคนจะรั้นไม่ฟัง (เพราะถือว่าข้าอาวุโสกว่าด้วยส่วนหนึ่ง)
นี่คนวัยยังไม่ทันสูงอายุ 20-40 ปี เป็นแฟน/คู่สามีภรรยากัน
ถ้าคนใดคนนึงเป็นโรคอ้วน เตือนไปก็ใช่ว่าจะฟังกัน เผลอๆทะเลาะกันอีก (ทำไมไม่รักฉันอย่างที่ฉันเป็น---)
คนที่อ้วนมากตั้งแต่อายุน้อย พออายุซัก 30-40 ความตายจะมาเคาะประตูบ้าน
ก็ต้องให้ป่วยก่อน เบาหวาน ความดัน ไขมันพอกตับ เข่าเสื่อม ฯลฯ นั่นแหละถึงจะยอมไปออกกำลังกาย ยอมลดน้ำหนัก
ผู้สูงอายุ ถ้าถูกเตือนโดยลูกหลาน หลายๆคนจะรั้นไม่ฟัง (เพราะถือว่าข้าอาวุโสกว่าด้วยส่วนหนึ่ง)
นี่คนวัยยังไม่ทันสูงอายุ 20-40 ปี เป็นแฟน/คู่สามีภรรยากัน
ถ้าคนใดคนนึงเป็นโรคอ้วน เตือนไปก็ใช่ว่าจะฟังกัน เผลอๆทะเลาะกันอีก (ทำไมไม่รักฉันอย่างที่ฉันเป็น---)
คนที่อ้วนมากตั้งแต่อายุน้อย พออายุซัก 30-40 ความตายจะมาเคาะประตูบ้าน
ก็ต้องให้ป่วยก่อน เบาหวาน ความดัน ไขมันพอกตับ เข่าเสื่อม ฯลฯ นั่นแหละถึงจะยอมไปออกกำลังกาย ยอมลดน้ำหนัก
ความคิดเห็นที่ 68
ประเด็นที่เจ้าของกระทู้เขาพูด ไม่ได้หมายถึง พ่อแม่ญาติทำมาหากิน จนไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ
ต้องหาเงินหาทองมาปรนเปรอลูกหลาน เขาพูดถึงผู้สูงอายุเมื่อถึงวัยที่อะไรในร่างกายมันเสื่อม
ต่อให้ออกกำลังกาน กินคลีน ดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่เมื่ออายุเยอะร่างกายมันเสื่อมก็จะอยู่ในภาวะโรค
การดูแลการกินอาหารเพื่อความคุมอาการ หรือลดอาการมันคือสิ่งที่ควรทำ แต่ดื้อด้านที่จะกินแบบเดิมทั้งที่เป็นเบาหวาน
ยังกินทุเรียน ดื่มเหล้าทั้งที่เป็นความดัน และต้องควบคุมความดัน เขาพูดถึงกรณีนี้
การที่ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุ ยิ่งไม่ควบคุมตัวที่ทำอาการและโรคมันจะยิ่งรุนแรง ไม่คุมอาหารที่ทำให้ภาวะโรครุนแรง
ยาก็จะเยอะขึ้น ดื้อยามากขึ้น หาหมอบ่อยขึ้น ยาเริ่มเอาไม่อยู่ กินยาเยอะตับก็ไป ไตก็รวน ภาระก็ตกกับลูกหลานที่ต้องพาไปหาหมอ
เพราะคนแก่ดิ้อด้าน ทำไมไม่ดูแลตัวเอง ไม่ใช่ประเด็นที่ตอนวัยทำงานหาเงินงกๆ ทำมาหากินไม่มีเวลากินเวลานอน
เพราะร่างกายคนเรามันไม่เหมือนกัน สภาพร่างกายต่อให้ดูแลดีแค่ไหน แก่ไปก็จะมีภาวะเสื่อมของร่างกายปกติ
ไม่เคยเห็นคนแข็งแรงดูแลตัวเองต้งแต่หนุ่มสาว แต่ตายไวเพราะเจอภาวะโรคกันเหรอ
ที่เขาพูด เขาพูดถึงตอนอายุมาก ต้องควบคุมอาการอาหาร และสภาพต่างๆ ไม่ให้มันรุนแรง
แต่จะดื้อทำไม เพราะยิ่งดื้อมันยิ่งเป็นภาระ หมอให้ลดหวานเพื่อคุมน้ำตาลก็ยังกิน
ลดเค็มเพื่อคุมไตยังก็กิน บางคนกินเหล้าทั้งที่ความดันสูง ไม่ยอมกินยาคุมความดัน
บางคนหยุดยาความดันเองเพราะขี้เกียจกิน สุดท้ายเส้นเลือดในสมองแตกลำบากใคร ลูกหลาน
น้องที่รู้จัก พ่อเป็นความดันสูง อายุมาก ลูกบอกให้งดเบียร์งดเหล้า แต่ไม่ฟัง
สุดท้ายเส้นเลือดแตกในสมองคาวงเหล้า ถามว่าใครลำบาก เงินทองที่พ่อหา
มันก็เอามารักษาตัวเขานั่นแหละ กลายเป็นทำงานหาเงินไม่ได้ตกกับลูกหลาน
แต่เป็นการจ่ายคืนให้กับการรักษาพยาบาล ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ ลูกหลานคงปล่อยตายได้ไม่ต้องคิดมาก
เพราะทำหรือปล่อยให้ตายไม่ได้ไงเลยต้องบ่น
อายุมากๆ แล้ว อย่าคิดว่าต้องตามใจตัวเองตอนแก่ ส่วนคนหนุ่มคนสาวก็ใช้ชีวิตอย่าให้มันหลุดโลก
เพราะต่อให้ดูแลร่างกายดีแค่ไหน ถ้าจะป่วยในโรคบางประเภทมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
แต่ไม่ได้บอกให้ละเลายการดูแลตัวเอง
ต้องหาเงินหาทองมาปรนเปรอลูกหลาน เขาพูดถึงผู้สูงอายุเมื่อถึงวัยที่อะไรในร่างกายมันเสื่อม
ต่อให้ออกกำลังกาน กินคลีน ดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่เมื่ออายุเยอะร่างกายมันเสื่อมก็จะอยู่ในภาวะโรค
การดูแลการกินอาหารเพื่อความคุมอาการ หรือลดอาการมันคือสิ่งที่ควรทำ แต่ดื้อด้านที่จะกินแบบเดิมทั้งที่เป็นเบาหวาน
ยังกินทุเรียน ดื่มเหล้าทั้งที่เป็นความดัน และต้องควบคุมความดัน เขาพูดถึงกรณีนี้
การที่ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุ ยิ่งไม่ควบคุมตัวที่ทำอาการและโรคมันจะยิ่งรุนแรง ไม่คุมอาหารที่ทำให้ภาวะโรครุนแรง
ยาก็จะเยอะขึ้น ดื้อยามากขึ้น หาหมอบ่อยขึ้น ยาเริ่มเอาไม่อยู่ กินยาเยอะตับก็ไป ไตก็รวน ภาระก็ตกกับลูกหลานที่ต้องพาไปหาหมอ
เพราะคนแก่ดิ้อด้าน ทำไมไม่ดูแลตัวเอง ไม่ใช่ประเด็นที่ตอนวัยทำงานหาเงินงกๆ ทำมาหากินไม่มีเวลากินเวลานอน
เพราะร่างกายคนเรามันไม่เหมือนกัน สภาพร่างกายต่อให้ดูแลดีแค่ไหน แก่ไปก็จะมีภาวะเสื่อมของร่างกายปกติ
ไม่เคยเห็นคนแข็งแรงดูแลตัวเองต้งแต่หนุ่มสาว แต่ตายไวเพราะเจอภาวะโรคกันเหรอ
ที่เขาพูด เขาพูดถึงตอนอายุมาก ต้องควบคุมอาการอาหาร และสภาพต่างๆ ไม่ให้มันรุนแรง
แต่จะดื้อทำไม เพราะยิ่งดื้อมันยิ่งเป็นภาระ หมอให้ลดหวานเพื่อคุมน้ำตาลก็ยังกิน
ลดเค็มเพื่อคุมไตยังก็กิน บางคนกินเหล้าทั้งที่ความดันสูง ไม่ยอมกินยาคุมความดัน
บางคนหยุดยาความดันเองเพราะขี้เกียจกิน สุดท้ายเส้นเลือดในสมองแตกลำบากใคร ลูกหลาน
น้องที่รู้จัก พ่อเป็นความดันสูง อายุมาก ลูกบอกให้งดเบียร์งดเหล้า แต่ไม่ฟัง
สุดท้ายเส้นเลือดแตกในสมองคาวงเหล้า ถามว่าใครลำบาก เงินทองที่พ่อหา
มันก็เอามารักษาตัวเขานั่นแหละ กลายเป็นทำงานหาเงินไม่ได้ตกกับลูกหลาน
แต่เป็นการจ่ายคืนให้กับการรักษาพยาบาล ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ ลูกหลานคงปล่อยตายได้ไม่ต้องคิดมาก
เพราะทำหรือปล่อยให้ตายไม่ได้ไงเลยต้องบ่น
อายุมากๆ แล้ว อย่าคิดว่าต้องตามใจตัวเองตอนแก่ ส่วนคนหนุ่มคนสาวก็ใช้ชีวิตอย่าให้มันหลุดโลก
เพราะต่อให้ดูแลร่างกายดีแค่ไหน ถ้าจะป่วยในโรคบางประเภทมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
แต่ไม่ได้บอกให้ละเลายการดูแลตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่คิดเองได้ ประเทศชาติคงพัฒนามากกว่านี้
ปัญหาหลักของเรื่องนี้ คือ การไม่ใฝ่เรียนรู้ ไม่มองการณ์ไกล และไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งคนไทยขาดแคลนมาก คนที่พร้อมจะรับผิดชอบทุกๆ สิ่งที่ตนทำ
Ego (อัตตา) สูงลิ่ว ใครจะมาดีกว่าเราไม่ได้ เราต้องดีกว่า ต้อง ใหญ่กว่า ต้องเป็นหัวหน้าทำสิ่งต่างๆ เราดีที่สุด
จะว่ามันเป็นผลเนื่องมาจากวัฒนธรรม การเสียหน้า ก็น่าจะใช่ ตัวสร้างอัตตาชั้นดีเลย
ปัญหาหลักของเรื่องนี้ คือ การไม่ใฝ่เรียนรู้ ไม่มองการณ์ไกล และไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งคนไทยขาดแคลนมาก คนที่พร้อมจะรับผิดชอบทุกๆ สิ่งที่ตนทำ
Ego (อัตตา) สูงลิ่ว ใครจะมาดีกว่าเราไม่ได้ เราต้องดีกว่า ต้อง ใหญ่กว่า ต้องเป็นหัวหน้าทำสิ่งต่างๆ เราดีที่สุด
จะว่ามันเป็นผลเนื่องมาจากวัฒนธรรม การเสียหน้า ก็น่าจะใช่ ตัวสร้างอัตตาชั้นดีเลย
แสดงความคิดเห็น
ฝากถึงผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง คุณกำลังสร้างภาระให้ลูกหลานในอนาคต
ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมาผมเห็นวิวัฒนาการของการป่วยตั้งแต่แรกเริ่ม คือ ตั้งแต่หลายปีก่อนแสดงอาการ เช่น กินหวานจัดมาหลายปี ฯลฯ ผมมักจะเป็นฝ่ายออกปากเตือนและคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตของคนป่วยไว้เสมอ เพราะผมเป็นห่วงไม่ค่อยอยากให้ใครในครอบครัวหรือคนรู้จักที่สนิทชิดเชื้อป่วยกัน ผมเตือน ผมบ่น ผมพยายามห้าม ทุกครั้งไม่เคยมีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อผมเลย เตือน บ่น บางทีมากไปก็ทะเลาะกัน หาว่าผมจุ้นจ้าน หาว่าเป็นเรื่องของเด็ก ว่ากันไปนั่น และประโยคทองที่มักได้ยินคนยุคก่อนพูดตอกหน้ากลับมาก็คือ "ข้าจะเป็นอะไรก็เรื่องของข้า ตัวข้า ของข้า ข้าจะป่วย จะตาย ก็ปล่อยๆให้ตายไป ยังไงคนเราก็ต้องตาย"
แล้วในปัจจุบันผลเป็นยังไง ก็ล้มป่วยกันสิ กลายเป็นผู้สูงอายุติดเตียงบ้าง บางคนก็ป่วยเรื้อรัง ถามว่า มีใครได้ตายสมใจอย่างที่พูดกันจริงไหม? คำตอบคือ ไม่มีหรอก !!!!! ก็พูดกันไปอย่างนั้น ไม่รู้พูดไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือดันทุรังหัวรั้นกันก็ไม่รู้ ผลกระทบลูกโซ่คืออะไร ใครเคยสังเกต หรือใส่ใจไหม มันตกที่ลูกหลานครับ ไม่ใช่ตกที่เจ้าตัว ล้มป่วย เดินเหินไม่ได้ขึ้นมาทำอย่างไร สามารถปล่อยให้ตายได้ไหม ไม่ได้หรอกครับ เขาเป็นคนในครอบครัวใครจะทำลง??
แล้วต้องทำยังไง?? >>> ก็ต้องรักษากันไปตามอาการสิครับ ทีนี้แหละปัญหาของจริง คือผลที่เจ้าตัวก่อไว้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่แคร์หรือใดๆก็ตาม ผลลัพธ์มันได้ตกกับลูกหลาน และญาติสนิทมิตรสหายคนในครอบครัวพวกเขาไปแล้ว แทนที่พวกเขาจะได้เอาเวลาไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ ทำงาน ดูแลครอบครัว ก็ต้องผลัดกันสละเวลามาดูแลคนป่วย หากบ้านไหนไม่มีเงินเพียงพอก็เป็นปัญหาต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่าโรงพยาบาล เพราะยาบางตัวก็ต้องจ่ายแพง เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่มากขึ้น หรือท้ายที่สุดหากบ้านไหน มีลูกมีพี่น้องหลายคน ก็จะต้องให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นธุระไปลาออกจากงานของตัวเอง เพื่อมาทำหน้าที่ลูกหลานที่ดีคอยดูแลท่านผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด มันคุ้มไหมครับ????? ผมเห็นมาหลายครอบครัวมาก รวมถึงภายในครอบครัวผมเอง
คุณทำไปเพื่ออะไร?
คุณทำมันลงไปได้ยังไง(วะ)
ทำไมต้องทำอย่างนี้
ไม่เคยคิดหน้าคิดหลังกันเลยหรือไง?????????????????????!!!!!!!!!!!!!!!!
หรือว่าในหัวคิดแต่จะกินจะกิน จะดื่มๆ จะสูบๆๆๆๆๆ คิดได้แค่นี้หรือไง คุณคิดว่าตัวคุณเป็นของคุณอย่างที่คุณคิดเสมอไปเหรอ???
คุณไม่คิดเหรอว่า ยามแก่เฒ่า ในสังคมไทย ในสังคมที่วัฒนธรรมครอบครัวเหนียวแน่นแบบนี้ปัญหาและภาระมันจะตกอยู่ที่ตัวคุณคนเดียว...????
"มันไม่ใช่" !!! ผมขีดเส้นใต้เลยว่ามันไม่ใช่ และไม่มีวันเป็นจริง เพราะเมื่อยามที่คุณแก่เฒ่าชีวิตคุณไม่ได้ตกอยู่กับคุณ มันตกอยู่กับครอบครัว ญาติและลูกหลานคุณ มันกลายเป็นภาระลูกหลานคุณ ถ้าคุณติดเตียงหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงไม่เคยฟังคำเตือน คำแนะนำ กันบ้างเลย เอาแต่ตัวเองสนุก ไม่ดูแล ไม่รักตัวเอง แล้วสุดท้ายผลมาตกที่ลูกหลาน ลูกหลานต้องมาดูแล ในเรื่องที่ถ้าหากคุณป้องกันตั้งแต่แรกมันจะไม่เกิดขึ้นเลยและ/หรือมีโอกาสที่จะเกิดน้อยลง แต่คุณทำลายมัน คุณไม่รักษาแถมยังทำลาย ลูกหลาน และคนรัก ครอบครัวของคุณ ไม่ใช่กังวัลแค่เรื่องเงิน แต่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะเห็นคุณเจ็บปวด เห็นคนที่เรารักเจ็บปวด ไหนจะเรื่องเป็นภาระที่ลูกหลานจะต้องคอยพะวงให้เสียกำลังใจ เสียสุขภาพจิตในแต่ละวันอีก
แล้วอย่างนี้จะให้เด็ก Gen Y, เด็กรุ่นใหม่เรียนสุขศึกษาไปทำไมถ้าเรียนไปแล้วเราเอากลับไปตักเตือนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ที่เป็น Gen X หรือแก่กว่านั้นไม่ได้????????? ทำไมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ทำไมกันวะ??????
คิดว่าชีวิตนี้มันเป็นของคุณจริงๆเหรอ อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย ถ้าคุณไม่ได้มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว แต่มีครอบครัว มีคนข้างหลังทิ้งไว้ คุณไม่มีทางที่จะเข้าถึง concept ที่ว่า "ชีวิตนี้เป็นของคุณ" จริงๆหรอก ไม่มีทางที่คุณจะได้ตายคนเดียว โดยไม่ได้ทิ้งภาระไว้ หากคุณเกิดป่วยเรื้อรัง หรือป่วยหนักขึ้นมา
ทำไมถึงต้องดื้อ
ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อฟังกันก่อนที่มันจะเกิดเรื่อง
ทำไมถึงไม่เคยรักตัวเอง
ทำไมในเมื่อไม่รักตัวเองแทนที่จะห่วงลูกหลานบ้าง
ทำไมไม่คิดถึงใจคนที่เขารักบ้างที่ต้องมาทนเห็นคนที่ตัวเองรักป่วย
ทำไมโลกนี้ต้องมีแต่ผู้ใหญ่หัวดื้อ
ทำไมวะ เฮงซวยว่ะ บอกเลย ใครที่กำลังทำตัวแบบนี้อยู่เลิกซะนะครับ เห็นแล้วเจ็บใจ เจ็บใจ และเศร้าแกมโมโหจนเลือดขึ้นหน้าทุกครั้ง ทำไมตอนมีโอกาสทุกคนไม่รู้จักรักษาหรือคว้าโอกาสกันไว้ ทำไมถึงชอบปล่อยให้เรื่องมันเลยตามเลยแล้วชอบมาแก้ไขทีหลัง มันทันการกันไหมมมมมม มันคุ้มมั้ยวะ?
พวกคุณมันเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ไม่มีความรับผิดชอบกันซะเลยอะ
มันเป็นอะไรกันมากปะ หะ แค่กินยา หรือดูแลสุขภาพตัวเอง เรื่องง่ายๆแค่นี้มันยากกันเหรอวะ? ไม่รู้จักนึกถึงคนรอบข้าง