สวัสดีค่าาา ใกล้ปลายปีหลายๆคนคงเริ่มแพลนเที่ยวหน้าหนาวกันทั้งในประเทศและนอกประเทศ
นอกเหนือจากทริปใบไม้เปลี่ยนสีในประเทศโซนเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น อีกทริปที่ฮิตไม่แพ้กัน คงหนีไม่พ้น ทริปล่าแสงเหนือ ในประเทศที่อยู่ติดแถบขั้วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์) หรือที่เริ่มมาฮิตใน 1-2 ปีนี้อย่างรัสเซีย (มูร์มันสค์)
เราเองเคยไปล่าแสงเหนือมาครั้งหนึ่งตอนปี 2016 ที่นอร์เวย์และสวีเดน โดยที่ทริปนั้นยังไม่เคยเขียนรีวิวที่ไหนมาก่อน วันนี้เลยจะมาเล่าประสบการณ์ในการเที่ยวทริปนั้นนะคะ ก่อนอื่นออกตัวก่อน 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือ ทริปนั้นโชคร้ายมากกก กล้องเราตกตั้งแต่วันแรกที่เจอแสงเหนือ และเป็นกล้อง Pro ตัวเดียวในทริป เลยมีภาพน้อยมาก และที่ถ่ายจากมือถือเท่าที่มีในทริปนั้น คุณภาพไฟล์ก็ไม่ค่อยโอเค (ตอนนั้นยังไม่มี I6, I7)
ทริปนี้อาจจะไม่ได้รีวิวสถานที่เที่ยวละเอียด หลักๆคือจะเน้นเรื่องที่พัก (ที่เจอแสงเหนือ) เพราะไฮไลต์ของทริปนั้นอยู่ที่ที่พัก ที่เราพักจ้า ทุกที่เจอแสงเหนือหมดโดยที่ไม่ต้องขับรถตามล่าหาแสงเหนือแบบรีวิวทั่วไป ซึ่งก่อนไปหรือตอนจองถามว่า เรารู้ล่วงหน้ามั้ย คือไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ทำการบ้านเหมือนคนทั่วไป เผื่อใจที่จะไม่เจอด้วย แต่ปรากฏว่าเจอ 3 ใน 4 ของวันที่ตั้งใจจะไปดู และทุกที่แสงเหนือก็เป็นฝ่ายมาหาเราที่ที่พักเอง (สะสมแต้มบุญมาสูงมากกก)
ทริปนั้นเดินทาง 20-31 ตุลาคม นะคะ สมาชิกมีทั้งหมด 4 สาว 4 คน โดยมีเราเป็นแกนนำ
(ตั้งตัวเองเลยจ้า เพราะเป็นคนขับรถ แต่จริงๆแล้วเริ่มจากมีพี่คนนึงมาชวนเราค่ะ และอีก 2 คนก็จองเพิ่มตามๆกันมา)
เส้นทางเริ่มจาก BKK - Oslo - Bergen - Stavanger - Tromso - Abisko- Kiruna - Stockholm - Helsinki - Rovamini - Helsinki - BKK
วันที่ 1 บินไปจาก BKK ถึง Oslo ช่วงค่ำๆ เข้าที่พัก เก็บของ หาอะไรกิน เดินชมเมือง
วันที่ 2 เช้าก็ออกไปเที่ยวในเมือง Oslo ครึ่งวันค่ะ ไป Vegiland ที่มีรูปปั้น ฤดูนี้มีใบไม้เปลี่ยนสีด้วยนะคะ เหลือง เขียว แดง สลับกันไป อากาศหนาวกำลังดี ที่นี่ร้านกาแฟและ Co Working Space สวยๆเยอะมากกกก น่านั่งทำงานสุดๆ
บ่ายๆ เรานั่งรถไฟจาก Oslo ไป Bergen Hilight ของเส้นทางนี้สวยมากๆ คือระหว่างทางจะผ่านทะเลสาบน้ำแข็ง แล้วก็มีหิมะตก ซื้อเครื่องดื่มร้อนๆที่โบกี้ขายอาหาร นั่งจิบกาแฟชมวิว 2 ข้างทางไปฟินมากๆ
วันที่ 3 เราออกจากที่พักกันเช้ามากกกก (เพื่ออะไรไม่รู้) จริงเราตั้งใจจะมากิน Salmon สดกันที่ Fish Market ค่ะ มาถึงถิ่นทั้งทีต้องได้ลอง แต่ด้วยความที่มากันเช้าเกินนน ร้านยังไม่เปิด เลยไปเดินเล่นตรง Zone Heritage กันก่อนค่ะ มีตึกสีๆแบบที่เราเห็นใน Postcard ตรงนี้เป็นคล้ายอ่าว หรือท่าเรืออะไรสักอย่าง รอเวลาร้านเปิดแล้วก็ลุยค่าาาาา สั่งกันเต็มที่ เพราะนี่คือ Hilight และเหตุผลที่เรามา Bergen ค่ะ
ตกบ่ายกลับไป Check Out วันนี้เราจะเดินทางต่อไป Stavanger โดยการนั่งรถบัสค่ะ Hilight ของเส้นทางนี้คือจะผ่านอุโมงค์ที่เจาะใต้ทะเลสาบหรืออะไรสักอย่าง กับจะได้ขึ้น Ferry เพื่อข้ามเมืองค่ะ รถบัสจะลง Ferry เหมือนเวลาเราเอารถข้ามไปเกาะช้างค่ะ เราสามารถลงจากรถบัสและขึ้นไปนั่งชมวิวที่ชั้น 2 ของเรือได้ค่ะ เรือก็จะผ่าน Fjord ต่างๆ ตกเย็นก็ถึง Stavanger ค่ะ
วันที่ 4 ตื่นกันแต่เช้าตรู่อีกแล้ว เพราะโปรแกรมวันนี้ เราจะไปขึ้น Pulpit Rock เย้ ก่อนอื่นเราต้องไปลงเฟอรี่ที่ท่า Tau ค่ะ ไปเปิดท่าเรืออีกแล้ว พอถึงอีกฝั่งก็จะมีรถบัสพาขึ้นไปที่ทำการของ Pulpit ระยะทางมันเขียนไว้ 2.8 กม. เดินจริงมันไกลกว่านั้นมากกกก คือตอนไปถึงมีหิมะตกด้วย ทางเดินช่วงแรกพื้นก็จะมีหิมะนิดนึง ทั้งแก๊งค์เราเป็นสาย Trekking คนเดียว ช่วงแรกก็เลยหลอกเพื่อนเดินไปถ่ายรูปไป เพื่อนจะได้รู้สึกไม่เหนื่อย กว่าจะถึงจุดยอดใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมง ลมแรงมาก (มารู้ทีหลังว่า หลังจากเรากลับมาได้ 2-3 วันก็ปิดจ้ะ ไม่ให้ นทท. ขึ้นแล้ว เพราะสภาพอากาศปิด) ข้างบนลมแรงแต่สวยมาก แต่....เพื่อนทั้งแก๊งค์กลัวความสูงจ้า ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าไปถ่ายรูปตรงหน้าผาให้เรา เลนส์ซูมเราก็ดันเก็บไว้ที่ห้องพัก เลยต้องเดินออกไปคนเดียวแล้วให้ฝรั่งถ่ายให้
ขาลงเราใช้เวลาแค่ ชม.ครึ่งเลยลงมานั่งชมวิวทะเลสาบรอเพื่อนๆข้างล่าง แล้วก็รอรอบรถกลับเข้าเมือง
วันที่ 5 การล่าแสงเหนือมันเริ่มวันนี้ค่ะ เราจะบินไป Tromso กัน เมืองที่เคลมว่า มีโอกาสเห็นแสงเหนือเยอะมากกกก
//ช่วงวันที่ 5-8 เราตั้งใจจะตามหาแสงเหนือกัน วิธีเตรียมตัวไม่มีอะไรมาก
1) Load App Aurora Forecast
2) เลือกเมืองที่เค้าว่ากันว่าจะเห็น
3) เลือกวันที่ใกล้เคียงกับคืนเดือนมืด (ทฤษฎีเค้าว่างั้นนะ)
4) สวดมนต์ (เค้าว่ากันว่า ความน่าจะเป็นที่จะเจอคือ 4 วันเจอ 1 วัน) แต่แต้มบุญของพวกเรา 4 คนหักตำรานั้นไปเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเผื่อใจไว้ค่ะ เจอก็เจอ ไม่เจอก็ไม่เจอ ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังเนอะ
กลับมาต่อที่ Tromso ที่เมืองนี้เราจะเริ่มเช่ารถกัน จริงเราไม่ได้มีเจตนาจะเช่ารถเพื่อล่าแสงเหนือนะ แต่ตอนทำแผนเราจะจะเดินทางจาก Tromso, Norway ไป Abisko, Sweden ซึ่งเป็นอีกเมืองนึงที่ว่ากันว่ามีโอกาสเห็นแสงเหนือ แต่ด้วยความที่ฤดูหนาวรถ Bus อาจจะหยุดวิ่ง และการเดินทางวิธีอื่นๆก็ดูลำบากเลยตกลงเช่ารถ โดยมีเราเป็นคนขับ ตอนจองเลือกเป็น Volvo ได้มาจริงๆเป็น Honda CRV Sunroof ถามว่าเคยขับรถต่างประเทศมั้ย ไม่เลยนี่ครั้งแรกกก (แต่ชีวิตปกติเราขับรถขึ้นเขาลงห้วยเยอะพอๆกับสิบล้อเลย เพื่อนเลยวางใจ)
พอรับรถเสร็จก็วนเข้าเมืองหาอะไรกิน และก็แวะที่ Arctic Cathedral โบสถ์ใหญ่ๆกลางเมือง น้องจนท. ที่โบสถ์น่ารักมาก อธิบายเรื่องการเกิดแสงเหนือให้ฟัง แล้วก็บอกว่า วันนี้ฟ้าเปิดมาก พวกเรามีโอกาสเจอสูงมากกก มาวันดีจริงๆ ออกจากโบสถ์ก็เข้าที่พักกัน
Tromso Camping คือที่พักของเราคืนนี้ มันอยู่ออกนอกเมืองมานิดเดียว แต่ไม่เปลี่ยว (จะได้ไม่มีแสงไฟกวน) ตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่า เราจะสามารถเห็นได้จากที่พักเลย แต่ พนง.ที่นี่ก็บอกว่า น่าจะเห็นช่วง 1-3 ทุ่ม บ้านที่พักไม่ใช่เต๊นท์แต่อย่างใด ก็เป็นกระท่อม Cottage แบบ 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว ครัว เราก็ทำอาหารกินกันไป คุยกันไป ทริปนี้เรามีหน้าที่แค่เป็นตากล้องกับขับรถ เลยนั่งเตรียมกล้อง ตั้งค่า Set อุปกรณ์
1 ทุ่มผ่านไป 2 ทุ่มผ่านไป 3 ทุ่มผ่านไป 4 ทุ่มผ่านไป......แสงเหนือไม่มาค่ะ เงียบสงัดเลย
เราเริ่มจ๋อย (จากตื่นเต้น กระวนกระวาย ตอนนี้จ๋อยจ้า) พี่คนนึงไม่ยอมแพ้ค่ะ
นางบอกว่า เนี่ย Check Location จาก IG เพิ่งมีคน Post ภาพแสงเหนือ แสดงว่ามันต้องมีสิ
เราขับรถออกไปดูกันมั้ย มันอาจจะอยู่อีกฝั่งนึงของเมือง (คือกะตาม Location ใน IG)
เราก็โอเค ขับรถพาเพื่อนๆออกไป ขับวนรอบเมืองกันอยู่เกือบชั่วโมง ข้ามฝั่งไปมา ไม่เจอเลยยอมแพ้กลับบ้าน แยกย้ายกันขึ้นเตียงนอน
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ (ตอนหลังมารู้ว่าเป็นตอนตี 4-5) ก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวก วิ่งกันอลหม่านรอบที่พัก พี่คนนึงก็ลุกไปดู แล้วบอกว่า แสงเหนือแน่เลย เราพุ่งลงมาเลย จากเตียงชั้น 2 (เรียกตกเตียงเถอะ) ใส่อุปกรณ์กันหนาวคว้ากล้อง กรี๊ดดดดด แสงเหนือจริงๆ คือมองตัวตาเปล่ามันจะเห็นเป็นเส้นคลื่นสีขาวๆพริ้วๆ แต่ถ้าถ่ายผ่านกล้อง มันจะเป็นแสงเขียวๆ กดชัตเตอร์รัวเลยจ้า แต่ที่พักแสงไฟจากกระท่อมกวนเยอะมากหลบยังไงก็ติด พอตั้งสติได้ก็เรียกเพื่อนมาถ่ายทีละคน สักพักนึงกำลังจะย้ายมุม ลมก็พัดมาแรงมาก จนหมวกปิดหน้า ระหว่างคว้าหมวก
โครม...........ขาตั้งพร้อมกล้องเราฟาดลงไปกับพื้น
นาทีนั้น....ช็อคจ้า ช็อคกันหมดเลย หยิบกล้องขึ้นมาเปิด...ไม่ติดว่ะ กล้องพัง กล้องเพียง 1 เดียว ตายตั้งแต่วันแรกที่เจอแสงเหนือ (แต้มบุญทำไมหมดเร็ววว)
หลังจากนั้นเลยเข้าบ้านเลยค่ะ Search หาร้านซ่อมกล้อง รอเวลาห้างเปิด หมดแรงทำอะไร
สรุปเลนส์ปลอดภัย ไฟล์ที่ถ่ายไปโอเค (เอาไป Check ร้านในเมือง) แต่ Body พังค่ะ ไม่มีศูนย์ซ่อม ทางเลือกมีแค่ซื้อ Body ใหม่ จากทริปไม่ถึงแสน จะทะลุแสนก็งานนี้ หารือกันแป๊บนึง ก็ไปต่อค่ะ ไปต่อแบบไม่มีกล้อง การตัดสินใจตอนนั้นคือ เราไม่คิดว่า เราจะโชคดีขนาดเจอแสงเหนืออีก (ตามที่ดูรีวิวมา) การลงทุนซื้อกล้องใหม่ น่าจะไม่คุ้ม
วันที่ 6 หลังจากเสียเวลาเรื่องกล้องตลอดเช้า ตอนบ่ายเราขับรถออกจาก Tromso มุ่งหน้าสู่ Abisko ผิดแผนไปครึ่งวัน ระยะทางตอนดูมาจะใช้เวลาขับรถ 5-6 ชั่วโมง เอาเข้าจริงๆเราขับไปเกือบ 8 ชม. คือช่วงออกจาก Tromso ไป Narvik สวยมากนะคะ ถนนสายนี้ชื่อ Northern Light Road เลย ทางจะเลาะเลียบ Fjord ไปเรื่อยๆ แต่พอเข้า Abisko หิมะตกหนักค่ะ ทำความเร็วไม่ได้เลย (รถเมืองนอก มีระบบตัดหมอก ปัดหิมะ ปรับอุณหภูมิเบาะให้ร้อนด้วย) มันก็จะแห้งแล้ง เวิ้งว้าง มีแต่ความมืด หิมะ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีรถสวน จากโพล้เพล้ก็เริ่มมืด ขับเท่าไหร่ ระยะทางใน GPS ก็ดูยังอีกไกล จนเกือบ 3 ทุ่มถึงจะถึง ตอนนี้หิมะหนามากกกแล้ว
คืนนี้เราพักที่ Abisko Turiststation อยู่ใน Abisko National Park มันเป็นที่พักของอุทยานฯ มั้งแต่เราว่ามันคล้าย Youthtel มากกว่า ห้องนอนคืนนี้เปิดหน้าต่างไปเจอทะเลสาบค่ะ เรานอนดูแสงเหนือจากในห้องได้เลย (ถูกกว่า อิกลูด้วย) คนญี่ปุ่นที่เราเจอที่ครัว บอกว่า แสงเหนือที่นี่หนามาก ถ่ายมาเห็นทั้งเขียว เหลือง แดงเลยทีเดียว (เค้าอยู่มา 2 คืนแล้ว) ระหว่างที่เพื่อนทำอาหาร เราก็หา App พวก Camera Pro ในมือถือ ลองโหลดมาเผื่อจะพอตั้งค่าถ่ายได้
ตอนจองแต่คิดว่า มันใกล้ๆทะเลสาบ กลางคืนจะได้ขับรถไปล่าแสงเหนือ ไม่คิดไม่ฝัน ว่าไอ้ทะเลสาบที่ว่า มันคือตรงหน้าต่างห้องนอน และแสงเหนือมันจะมาหาถึงที่ คืนนี้ไม่ผิดหวังค่ะ สัก 4-5 ทุ่มก็มาแล้ว หนาขนาดไหน ก็ขนาดที่ไม่มีกล้อง แต่เราเห็นคลื่นสีขาวด้วยตาเปล่า เริงร่ายเริงรำจนเราเห็นเป็นคลื่นและรู้สึกได้จริงๆ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆนะ ที่นี่เจอทั้งตอนหัวค่ำและเช้ามืดเลยทีเดียว แต่อากาศก็หนาวจนติดลบ หิมะตกเป็นระยะๆ
ขอต่อใน comment ค่ะ
[CR] ๋Journey is Calling : Norway-Sweden-Finland แถมด้วย Aurora ไม่ต้องตามหาก็มาให้เจอ
นอกเหนือจากทริปใบไม้เปลี่ยนสีในประเทศโซนเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น อีกทริปที่ฮิตไม่แพ้กัน คงหนีไม่พ้น ทริปล่าแสงเหนือ ในประเทศที่อยู่ติดแถบขั้วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์) หรือที่เริ่มมาฮิตใน 1-2 ปีนี้อย่างรัสเซีย (มูร์มันสค์)
เราเองเคยไปล่าแสงเหนือมาครั้งหนึ่งตอนปี 2016 ที่นอร์เวย์และสวีเดน โดยที่ทริปนั้นยังไม่เคยเขียนรีวิวที่ไหนมาก่อน วันนี้เลยจะมาเล่าประสบการณ์ในการเที่ยวทริปนั้นนะคะ ก่อนอื่นออกตัวก่อน 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือ ทริปนั้นโชคร้ายมากกก กล้องเราตกตั้งแต่วันแรกที่เจอแสงเหนือ และเป็นกล้อง Pro ตัวเดียวในทริป เลยมีภาพน้อยมาก และที่ถ่ายจากมือถือเท่าที่มีในทริปนั้น คุณภาพไฟล์ก็ไม่ค่อยโอเค (ตอนนั้นยังไม่มี I6, I7)
ทริปนี้อาจจะไม่ได้รีวิวสถานที่เที่ยวละเอียด หลักๆคือจะเน้นเรื่องที่พัก (ที่เจอแสงเหนือ) เพราะไฮไลต์ของทริปนั้นอยู่ที่ที่พัก ที่เราพักจ้า ทุกที่เจอแสงเหนือหมดโดยที่ไม่ต้องขับรถตามล่าหาแสงเหนือแบบรีวิวทั่วไป ซึ่งก่อนไปหรือตอนจองถามว่า เรารู้ล่วงหน้ามั้ย คือไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ทำการบ้านเหมือนคนทั่วไป เผื่อใจที่จะไม่เจอด้วย แต่ปรากฏว่าเจอ 3 ใน 4 ของวันที่ตั้งใจจะไปดู และทุกที่แสงเหนือก็เป็นฝ่ายมาหาเราที่ที่พักเอง (สะสมแต้มบุญมาสูงมากกก)
ทริปนั้นเดินทาง 20-31 ตุลาคม นะคะ สมาชิกมีทั้งหมด 4 สาว 4 คน โดยมีเราเป็นแกนนำ
(ตั้งตัวเองเลยจ้า เพราะเป็นคนขับรถ แต่จริงๆแล้วเริ่มจากมีพี่คนนึงมาชวนเราค่ะ และอีก 2 คนก็จองเพิ่มตามๆกันมา)
เส้นทางเริ่มจาก BKK - Oslo - Bergen - Stavanger - Tromso - Abisko- Kiruna - Stockholm - Helsinki - Rovamini - Helsinki - BKK
วันที่ 1 บินไปจาก BKK ถึง Oslo ช่วงค่ำๆ เข้าที่พัก เก็บของ หาอะไรกิน เดินชมเมือง
วันที่ 2 เช้าก็ออกไปเที่ยวในเมือง Oslo ครึ่งวันค่ะ ไป Vegiland ที่มีรูปปั้น ฤดูนี้มีใบไม้เปลี่ยนสีด้วยนะคะ เหลือง เขียว แดง สลับกันไป อากาศหนาวกำลังดี ที่นี่ร้านกาแฟและ Co Working Space สวยๆเยอะมากกกก น่านั่งทำงานสุดๆ
บ่ายๆ เรานั่งรถไฟจาก Oslo ไป Bergen Hilight ของเส้นทางนี้สวยมากๆ คือระหว่างทางจะผ่านทะเลสาบน้ำแข็ง แล้วก็มีหิมะตก ซื้อเครื่องดื่มร้อนๆที่โบกี้ขายอาหาร นั่งจิบกาแฟชมวิว 2 ข้างทางไปฟินมากๆ
วันที่ 3 เราออกจากที่พักกันเช้ามากกกก (เพื่ออะไรไม่รู้) จริงเราตั้งใจจะมากิน Salmon สดกันที่ Fish Market ค่ะ มาถึงถิ่นทั้งทีต้องได้ลอง แต่ด้วยความที่มากันเช้าเกินนน ร้านยังไม่เปิด เลยไปเดินเล่นตรง Zone Heritage กันก่อนค่ะ มีตึกสีๆแบบที่เราเห็นใน Postcard ตรงนี้เป็นคล้ายอ่าว หรือท่าเรืออะไรสักอย่าง รอเวลาร้านเปิดแล้วก็ลุยค่าาาาา สั่งกันเต็มที่ เพราะนี่คือ Hilight และเหตุผลที่เรามา Bergen ค่ะ
ตกบ่ายกลับไป Check Out วันนี้เราจะเดินทางต่อไป Stavanger โดยการนั่งรถบัสค่ะ Hilight ของเส้นทางนี้คือจะผ่านอุโมงค์ที่เจาะใต้ทะเลสาบหรืออะไรสักอย่าง กับจะได้ขึ้น Ferry เพื่อข้ามเมืองค่ะ รถบัสจะลง Ferry เหมือนเวลาเราเอารถข้ามไปเกาะช้างค่ะ เราสามารถลงจากรถบัสและขึ้นไปนั่งชมวิวที่ชั้น 2 ของเรือได้ค่ะ เรือก็จะผ่าน Fjord ต่างๆ ตกเย็นก็ถึง Stavanger ค่ะ
วันที่ 4 ตื่นกันแต่เช้าตรู่อีกแล้ว เพราะโปรแกรมวันนี้ เราจะไปขึ้น Pulpit Rock เย้ ก่อนอื่นเราต้องไปลงเฟอรี่ที่ท่า Tau ค่ะ ไปเปิดท่าเรืออีกแล้ว พอถึงอีกฝั่งก็จะมีรถบัสพาขึ้นไปที่ทำการของ Pulpit ระยะทางมันเขียนไว้ 2.8 กม. เดินจริงมันไกลกว่านั้นมากกกก คือตอนไปถึงมีหิมะตกด้วย ทางเดินช่วงแรกพื้นก็จะมีหิมะนิดนึง ทั้งแก๊งค์เราเป็นสาย Trekking คนเดียว ช่วงแรกก็เลยหลอกเพื่อนเดินไปถ่ายรูปไป เพื่อนจะได้รู้สึกไม่เหนื่อย กว่าจะถึงจุดยอดใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมง ลมแรงมาก (มารู้ทีหลังว่า หลังจากเรากลับมาได้ 2-3 วันก็ปิดจ้ะ ไม่ให้ นทท. ขึ้นแล้ว เพราะสภาพอากาศปิด) ข้างบนลมแรงแต่สวยมาก แต่....เพื่อนทั้งแก๊งค์กลัวความสูงจ้า ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าไปถ่ายรูปตรงหน้าผาให้เรา เลนส์ซูมเราก็ดันเก็บไว้ที่ห้องพัก เลยต้องเดินออกไปคนเดียวแล้วให้ฝรั่งถ่ายให้
ขาลงเราใช้เวลาแค่ ชม.ครึ่งเลยลงมานั่งชมวิวทะเลสาบรอเพื่อนๆข้างล่าง แล้วก็รอรอบรถกลับเข้าเมือง
วันที่ 5 การล่าแสงเหนือมันเริ่มวันนี้ค่ะ เราจะบินไป Tromso กัน เมืองที่เคลมว่า มีโอกาสเห็นแสงเหนือเยอะมากกกก
//ช่วงวันที่ 5-8 เราตั้งใจจะตามหาแสงเหนือกัน วิธีเตรียมตัวไม่มีอะไรมาก
1) Load App Aurora Forecast
2) เลือกเมืองที่เค้าว่ากันว่าจะเห็น
3) เลือกวันที่ใกล้เคียงกับคืนเดือนมืด (ทฤษฎีเค้าว่างั้นนะ)
4) สวดมนต์ (เค้าว่ากันว่า ความน่าจะเป็นที่จะเจอคือ 4 วันเจอ 1 วัน) แต่แต้มบุญของพวกเรา 4 คนหักตำรานั้นไปเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเผื่อใจไว้ค่ะ เจอก็เจอ ไม่เจอก็ไม่เจอ ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังเนอะ
กลับมาต่อที่ Tromso ที่เมืองนี้เราจะเริ่มเช่ารถกัน จริงเราไม่ได้มีเจตนาจะเช่ารถเพื่อล่าแสงเหนือนะ แต่ตอนทำแผนเราจะจะเดินทางจาก Tromso, Norway ไป Abisko, Sweden ซึ่งเป็นอีกเมืองนึงที่ว่ากันว่ามีโอกาสเห็นแสงเหนือ แต่ด้วยความที่ฤดูหนาวรถ Bus อาจจะหยุดวิ่ง และการเดินทางวิธีอื่นๆก็ดูลำบากเลยตกลงเช่ารถ โดยมีเราเป็นคนขับ ตอนจองเลือกเป็น Volvo ได้มาจริงๆเป็น Honda CRV Sunroof ถามว่าเคยขับรถต่างประเทศมั้ย ไม่เลยนี่ครั้งแรกกก (แต่ชีวิตปกติเราขับรถขึ้นเขาลงห้วยเยอะพอๆกับสิบล้อเลย เพื่อนเลยวางใจ)
พอรับรถเสร็จก็วนเข้าเมืองหาอะไรกิน และก็แวะที่ Arctic Cathedral โบสถ์ใหญ่ๆกลางเมือง น้องจนท. ที่โบสถ์น่ารักมาก อธิบายเรื่องการเกิดแสงเหนือให้ฟัง แล้วก็บอกว่า วันนี้ฟ้าเปิดมาก พวกเรามีโอกาสเจอสูงมากกก มาวันดีจริงๆ ออกจากโบสถ์ก็เข้าที่พักกัน
Tromso Camping คือที่พักของเราคืนนี้ มันอยู่ออกนอกเมืองมานิดเดียว แต่ไม่เปลี่ยว (จะได้ไม่มีแสงไฟกวน) ตอนนั้นเราก็ไม่คิดว่า เราจะสามารถเห็นได้จากที่พักเลย แต่ พนง.ที่นี่ก็บอกว่า น่าจะเห็นช่วง 1-3 ทุ่ม บ้านที่พักไม่ใช่เต๊นท์แต่อย่างใด ก็เป็นกระท่อม Cottage แบบ 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว ครัว เราก็ทำอาหารกินกันไป คุยกันไป ทริปนี้เรามีหน้าที่แค่เป็นตากล้องกับขับรถ เลยนั่งเตรียมกล้อง ตั้งค่า Set อุปกรณ์
1 ทุ่มผ่านไป 2 ทุ่มผ่านไป 3 ทุ่มผ่านไป 4 ทุ่มผ่านไป......แสงเหนือไม่มาค่ะ เงียบสงัดเลย
เราเริ่มจ๋อย (จากตื่นเต้น กระวนกระวาย ตอนนี้จ๋อยจ้า) พี่คนนึงไม่ยอมแพ้ค่ะ
นางบอกว่า เนี่ย Check Location จาก IG เพิ่งมีคน Post ภาพแสงเหนือ แสดงว่ามันต้องมีสิ
เราขับรถออกไปดูกันมั้ย มันอาจจะอยู่อีกฝั่งนึงของเมือง (คือกะตาม Location ใน IG)
เราก็โอเค ขับรถพาเพื่อนๆออกไป ขับวนรอบเมืองกันอยู่เกือบชั่วโมง ข้ามฝั่งไปมา ไม่เจอเลยยอมแพ้กลับบ้าน แยกย้ายกันขึ้นเตียงนอน
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ (ตอนหลังมารู้ว่าเป็นตอนตี 4-5) ก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวก วิ่งกันอลหม่านรอบที่พัก พี่คนนึงก็ลุกไปดู แล้วบอกว่า แสงเหนือแน่เลย เราพุ่งลงมาเลย จากเตียงชั้น 2 (เรียกตกเตียงเถอะ) ใส่อุปกรณ์กันหนาวคว้ากล้อง กรี๊ดดดดด แสงเหนือจริงๆ คือมองตัวตาเปล่ามันจะเห็นเป็นเส้นคลื่นสีขาวๆพริ้วๆ แต่ถ้าถ่ายผ่านกล้อง มันจะเป็นแสงเขียวๆ กดชัตเตอร์รัวเลยจ้า แต่ที่พักแสงไฟจากกระท่อมกวนเยอะมากหลบยังไงก็ติด พอตั้งสติได้ก็เรียกเพื่อนมาถ่ายทีละคน สักพักนึงกำลังจะย้ายมุม ลมก็พัดมาแรงมาก จนหมวกปิดหน้า ระหว่างคว้าหมวก
โครม...........ขาตั้งพร้อมกล้องเราฟาดลงไปกับพื้น
นาทีนั้น....ช็อคจ้า ช็อคกันหมดเลย หยิบกล้องขึ้นมาเปิด...ไม่ติดว่ะ กล้องพัง กล้องเพียง 1 เดียว ตายตั้งแต่วันแรกที่เจอแสงเหนือ (แต้มบุญทำไมหมดเร็ววว)
หลังจากนั้นเลยเข้าบ้านเลยค่ะ Search หาร้านซ่อมกล้อง รอเวลาห้างเปิด หมดแรงทำอะไร
สรุปเลนส์ปลอดภัย ไฟล์ที่ถ่ายไปโอเค (เอาไป Check ร้านในเมือง) แต่ Body พังค่ะ ไม่มีศูนย์ซ่อม ทางเลือกมีแค่ซื้อ Body ใหม่ จากทริปไม่ถึงแสน จะทะลุแสนก็งานนี้ หารือกันแป๊บนึง ก็ไปต่อค่ะ ไปต่อแบบไม่มีกล้อง การตัดสินใจตอนนั้นคือ เราไม่คิดว่า เราจะโชคดีขนาดเจอแสงเหนืออีก (ตามที่ดูรีวิวมา) การลงทุนซื้อกล้องใหม่ น่าจะไม่คุ้ม
วันที่ 6 หลังจากเสียเวลาเรื่องกล้องตลอดเช้า ตอนบ่ายเราขับรถออกจาก Tromso มุ่งหน้าสู่ Abisko ผิดแผนไปครึ่งวัน ระยะทางตอนดูมาจะใช้เวลาขับรถ 5-6 ชั่วโมง เอาเข้าจริงๆเราขับไปเกือบ 8 ชม. คือช่วงออกจาก Tromso ไป Narvik สวยมากนะคะ ถนนสายนี้ชื่อ Northern Light Road เลย ทางจะเลาะเลียบ Fjord ไปเรื่อยๆ แต่พอเข้า Abisko หิมะตกหนักค่ะ ทำความเร็วไม่ได้เลย (รถเมืองนอก มีระบบตัดหมอก ปัดหิมะ ปรับอุณหภูมิเบาะให้ร้อนด้วย) มันก็จะแห้งแล้ง เวิ้งว้าง มีแต่ความมืด หิมะ ไม่มีแสงไฟ ไม่มีรถสวน จากโพล้เพล้ก็เริ่มมืด ขับเท่าไหร่ ระยะทางใน GPS ก็ดูยังอีกไกล จนเกือบ 3 ทุ่มถึงจะถึง ตอนนี้หิมะหนามากกกแล้ว
คืนนี้เราพักที่ Abisko Turiststation อยู่ใน Abisko National Park มันเป็นที่พักของอุทยานฯ มั้งแต่เราว่ามันคล้าย Youthtel มากกว่า ห้องนอนคืนนี้เปิดหน้าต่างไปเจอทะเลสาบค่ะ เรานอนดูแสงเหนือจากในห้องได้เลย (ถูกกว่า อิกลูด้วย) คนญี่ปุ่นที่เราเจอที่ครัว บอกว่า แสงเหนือที่นี่หนามาก ถ่ายมาเห็นทั้งเขียว เหลือง แดงเลยทีเดียว (เค้าอยู่มา 2 คืนแล้ว) ระหว่างที่เพื่อนทำอาหาร เราก็หา App พวก Camera Pro ในมือถือ ลองโหลดมาเผื่อจะพอตั้งค่าถ่ายได้
ตอนจองแต่คิดว่า มันใกล้ๆทะเลสาบ กลางคืนจะได้ขับรถไปล่าแสงเหนือ ไม่คิดไม่ฝัน ว่าไอ้ทะเลสาบที่ว่า มันคือตรงหน้าต่างห้องนอน และแสงเหนือมันจะมาหาถึงที่ คืนนี้ไม่ผิดหวังค่ะ สัก 4-5 ทุ่มก็มาแล้ว หนาขนาดไหน ก็ขนาดที่ไม่มีกล้อง แต่เราเห็นคลื่นสีขาวด้วยตาเปล่า เริงร่ายเริงรำจนเราเห็นเป็นคลื่นและรู้สึกได้จริงๆ มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆนะ ที่นี่เจอทั้งตอนหัวค่ำและเช้ามืดเลยทีเดียว แต่อากาศก็หนาวจนติดลบ หิมะตกเป็นระยะๆ
ขอต่อใน comment ค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้