ครั้งก่อนอาตมาถามเรื่องทองและเงินได้คำตอบไปแล้ว
เวลาผ่านมานานพอควร ครั้งนี้อาตมามาถามเรื่อง
การพรากของเขียวและการขุดดิน
ที่วัดเป็นวัดร้างมาก่อนราว ๆ ปีกว่า เนื่องจาก เจ้าอาวาสองค์เก่ามรณะ
จากอุบัติเหตุทั้งคณะขณะเดินทางไปกทม
และมี รักษาการขึ้นมาแทนก็เป็นเจ้าอาวาสในภายหลัง
ก็ต้องอาบัติปาราชิกต้องสึกไปตามวินัยและถูกดำเนินคดีทางโลก
ชาวบ้านได้นิมนต์พระมารักษาการหลายรูปแล้วก่อนหน้าก็นี้
ย้ายออก เพราะขัดใจกับกรรมการที่เริ่มแข็งขันในการดูแลทองและเงินของวัด
ที่ได้จากกิจกรรมทางศาสนา
ดังนั้นวัดนี้แม้จะเพิ่งร้างปีเดียวก็ตาม
แต่สภาพภูมิทัศน์กลับถูกปล่อยปละละเลยมานานกว่านั้นมาก
เพราะยังหาพระสงฆ์ที่จะมาบริหารจัดการกับวัดจริงจังไม่ได้
เทียวเข้าออก ๆ กันเป็นว่าเล่น
ชาวบ้านที่ดูแลแต่ละท่านก็แก่ชราทำอะไรไม่ค่อยไหว
ดังนั้นหญ้าจึงรกมาก ๆ ต้นไม้กิ่งก้านก็สูงใหญ่มาก ๆ
รวมถึงนกพิราบจำนวนมหาศาล มูลนกพิราบก็มีมาก
มูลสุนัขรวมถึงแมวฝุ่นหินดินทรายซากกองอิฐปูนที่ถูกทุบ
นำไปเททิ้งตรงนั้นตรงนี้ บ้างทิ้งไว้ที่เดิมระเกะระกะหา
ความสะอาดไม่ได้ แต่มีความเงียบสงบที่น่าสนใจ
บังเอิญพระสมัยยังเป็นฆราวาสกับหลวงพ่อ
ได้พาท่านจาริกมาเที่ยวชมวัดนี้จากคำแนะนำ
ของพระรูปหนึ่งเมื่อมาถึงชาวบ้านทราบว่ามีพระมาเที่ยว
ก็ขอเบอร์ไว้และก็เดินทางกลับ
วันต่อมาชาวบ้านก็มานิมนต์หลวงพ่อถึงวัดให้มาช่วยรักษาการณ์
เจ้าอาวาส ณ วัดแห่งนี้ท่านจึงเดินทางมา
มาใหม่ ๆ มีชาวบ้านและทหารเข้ามาช่วยเหลือตัดหญ้าที่รก
กิ้งไม้ที่ดูน่าอันตรายสูงใหญ่ ตัดกิ่งเพื่อให้แตกใหม่ก็ช่วยได้มาก
แต่ก็ทิ้งไว้ซึ่งกองกิ่งไม้ท่อนไม้จำนวนมาก
ทหารก็ช่วยเก็บบางส่วน แต่ส่วนใหญ่พระต้องช่วยกันกับญาติโยมเก็บกันเอง
หากปล่อยให้ทหารทำกันเองก็จะมาทำแค่กวาดกับตัดหญ้า
ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรได้มากเลย เพราะงานรก ๆ หนัก ๆ มันคืออย่างอื่น
และที่สำคัญมีแค่หลวงพ่อองค์เดียวที่จำวัดอยู่ประจำที่วัด
ท่านจึงผจญกับกลิ่นมูลนกพิราบฝุ่นละอองและขยะนานา ๆ ชนิด
ที่ต้องค่อย ๆ สะสางเก็บกวาด เพราะที่นี่เคยเป็นโรงเรียนปริยัติธรรมมาก่อน
จึงมีของที่กองไว้เยอะมากตั้งแต่หนังสือ ธูปเทียน จีวร บริขาร
พระพุทธรูปและ อื่น ๆ อีกมากมาย จนหลวงพ่อนิมนต์พระเพื่อน ๆ ที่รู้จักกัน
มาช่วยอีกห้าหกรูปแต่สุดท้ายก็ ย้ายออกไปจนหมดสิ้น เพราะเรื่องปัจจัย
ปัญหาที่วัดเพิ่งตั้งใหม่ยังมีอะไรไม่เข้าที่เยอะ จนผ่านมาราว ๆ 1 เดือน
จขกท จึงลาออกจากงานแอบไปอยู่วัดหนึ่ง โดยไม่ได้บอกหลวงพ่อ
เนื่องจากมีเหตุไม่เข้าใจกันในการทำงานช่วยเหลือในวัดเพราะทั้งทำงาน
ทั้งเป็นคนขับรถและช่วยเหลืองานวัดที่เยอะมาก ก็มีขัดคอกันบ้าง
จึงออกจากวัดไปเตรียมตัวบวช
เพื่อให้พระอุปัชฌาย์ดูนิสัยว่าเหมาะแก่การบวชไหม
และได้รับการอุปสมบท หลวงพ่อทราบจึงไปร่วมเป็นสงฆ์ในการอุปสมบทด้วย
และหลังจากอยู่กับอุปัชฌาย์ได้ราว ๆ 1 เดือน หลวงพ่อ
ก็มารับให้ไปช่วยงานที่วัดมีกันแค่ 2 รูป กับเณร 1 รูป
งานหลักก็กวาดขี้นก ทุกวันวันละราว ๆ 1-2 ถังสีใบใหญ่
ถูศาลาและยกขนเก็บกวาดอื่น ๆ มาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี
ตามกิจสงฆ์จนสุดท้ายป่วยภูมิแพ้ในระดับที่เยื่อบุตาอักเสบเฉียบพลัน
จนสุดท้ายต้องเลี่ยงการกวาดและถู
ทุกอย่างที่มีกลิ่นอับฝุ่น เพราะแค่ได้กลิ่นก็ออกอาการตาจมูกแดงแล้ว
แต่สภาพวัดตอนนี้ สะอาดร่มรื่นแบบพลิกหน้าเป็นหลังมือแล้ว
แต่ ยังมีปัญหาเรื่องต้นหญ้า ต้นไม้เพราะ ภายหลังทหารมักติดห้วงการฝึก
และจะมาช่วยได้ต้องทำหนังสือยุ่งยากลำดับขั้นตอนและเกรงใจ
จึงไม่ได้ขอให้มาช่วยเหลือในภายหลัง
เคยอนุโลมตนเองไปตัดไปดายหญ้าทั้งด้วยเครื่องด้วยคิดเจตนาว่าทำเพื่อ
ความสะอาดร่มรื่นของวัดและจอบมีดไม้ต่าง ๆ มาหลายหน ขณะทำไปก็พิจารณาไปด้วย
โดยใช้จิตอธิษฐานการงาน คือมีสติกับการทำงาน เมื่อมีสติมันก็ต้องเห็นหละ
ตอนกวาดลานถนนต่าง ๆ พระเห็นมดแมลงเดินก็หยุดไปกวาดที่อื่นก่อนค่อยวก
กลับมากวาดใหม่แม้มันจะนานกว่าจะเสร็จเหมือนที่เคยทำ แต่โดยส่วนตนคิดว่าทำถูก
ที่สัตว์ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตาย เดินข้ามไปข้ามมา ๆ ที่ไม่เห็นไม่เจตนาก็ขอโทษกันไป
ขุดดินก็เหมือนกันเจอไส้เดือนตรงไหนก็หยุดไปขุดที่อื่นเจออีกก็เลิกขุด
ขุดเพราะต้นไม้ต่าง ๆ มีโยมมาถวายและบางส่วนต้องจัดให้เหมาะสมโยกย้ายลงดิน
บ้างอะไรบ้าง จนสุดท้ายก็หยุดขุดก็ถูกมองว่าขี้เกียจอีก
แต่พอไปตัดหญ้าก็เห็นมดแมลงมากมายจริง ๆ ที่โดนเครื่องตัดหญ้าตัดหัวแขนขาตัวขาดกระจุยกระจาย
ไปกันคนละทิศทางนึกภาพพื้นที่ถ้า 1 ไร่ มีมดแมลงทุกหย่อมหญ้า
จะบาดเจ็บล้มตายกันถ้วนหน้าแค่ไหน จึงเลี่ยงไม่ทำ และก็มักถูกชาวบ้านมองด้วยสีหน้าแบบ
ขี้เกียจมั้งเนี่ย ทั้งที่จริง ๆ รู้สึกว่าเราจะตัดหญ้าให้สวยงามเพียงเพื่ออุปาทานตนเองและชาวบ้าน
ให้เขาชมว่าสะอาดเรียบร้อยกับชีวิตสัตว์มากมายมันใช่เหรอ จึงไม่ทำเพราะบวชมาเพื่ออะไรตนเองก็รู้อยู่
แก่ใจไม่ได้มาบวชหาความสวยงามในโลกนี้ แต่คิดแบบนี้ ญาติโยม หรือพระสงฆ์ เพื่อนร่วมโลก
คิดเห็นอย่างไร จะช่วยออกความเห็นยังไงบ้าง
ตอนนี้คิดว่าคงถึงเวลาต้องย้ายไปวัดอื่นหากยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ เพราะวัดที่มีความพร้อมเรื่อง
ระบบการจัดการสมกับการปฏิบัติของเราก็ยังมีอยู่อีกมาก ไม่ได้ขี้เกียจแต่ไม่อยากผิดศีล
ไม่ได้งมงายในศีลแต่สงสารสัตว์ พระบางรูปอ้างว่าปลงอาบัติได้แต่อาบัติไม่ได้มีไว้ปลงทุกวัน
เจริญพรสรุปจะทำยังไงดี
ต้นไม้ ต้นหญ้า ที่รก และ ดิน กับพระสงฆ์
เวลาผ่านมานานพอควร ครั้งนี้อาตมามาถามเรื่อง
การพรากของเขียวและการขุดดิน
ที่วัดเป็นวัดร้างมาก่อนราว ๆ ปีกว่า เนื่องจาก เจ้าอาวาสองค์เก่ามรณะ
จากอุบัติเหตุทั้งคณะขณะเดินทางไปกทม
และมี รักษาการขึ้นมาแทนก็เป็นเจ้าอาวาสในภายหลัง
ก็ต้องอาบัติปาราชิกต้องสึกไปตามวินัยและถูกดำเนินคดีทางโลก
ชาวบ้านได้นิมนต์พระมารักษาการหลายรูปแล้วก่อนหน้าก็นี้
ย้ายออก เพราะขัดใจกับกรรมการที่เริ่มแข็งขันในการดูแลทองและเงินของวัด
ที่ได้จากกิจกรรมทางศาสนา
ดังนั้นวัดนี้แม้จะเพิ่งร้างปีเดียวก็ตาม
แต่สภาพภูมิทัศน์กลับถูกปล่อยปละละเลยมานานกว่านั้นมาก
เพราะยังหาพระสงฆ์ที่จะมาบริหารจัดการกับวัดจริงจังไม่ได้
เทียวเข้าออก ๆ กันเป็นว่าเล่น
ชาวบ้านที่ดูแลแต่ละท่านก็แก่ชราทำอะไรไม่ค่อยไหว
ดังนั้นหญ้าจึงรกมาก ๆ ต้นไม้กิ่งก้านก็สูงใหญ่มาก ๆ
รวมถึงนกพิราบจำนวนมหาศาล มูลนกพิราบก็มีมาก
มูลสุนัขรวมถึงแมวฝุ่นหินดินทรายซากกองอิฐปูนที่ถูกทุบ
นำไปเททิ้งตรงนั้นตรงนี้ บ้างทิ้งไว้ที่เดิมระเกะระกะหา
ความสะอาดไม่ได้ แต่มีความเงียบสงบที่น่าสนใจ
บังเอิญพระสมัยยังเป็นฆราวาสกับหลวงพ่อ
ได้พาท่านจาริกมาเที่ยวชมวัดนี้จากคำแนะนำ
ของพระรูปหนึ่งเมื่อมาถึงชาวบ้านทราบว่ามีพระมาเที่ยว
ก็ขอเบอร์ไว้และก็เดินทางกลับ
วันต่อมาชาวบ้านก็มานิมนต์หลวงพ่อถึงวัดให้มาช่วยรักษาการณ์
เจ้าอาวาส ณ วัดแห่งนี้ท่านจึงเดินทางมา
มาใหม่ ๆ มีชาวบ้านและทหารเข้ามาช่วยเหลือตัดหญ้าที่รก
กิ้งไม้ที่ดูน่าอันตรายสูงใหญ่ ตัดกิ่งเพื่อให้แตกใหม่ก็ช่วยได้มาก
แต่ก็ทิ้งไว้ซึ่งกองกิ่งไม้ท่อนไม้จำนวนมาก
ทหารก็ช่วยเก็บบางส่วน แต่ส่วนใหญ่พระต้องช่วยกันกับญาติโยมเก็บกันเอง
หากปล่อยให้ทหารทำกันเองก็จะมาทำแค่กวาดกับตัดหญ้า
ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรได้มากเลย เพราะงานรก ๆ หนัก ๆ มันคืออย่างอื่น
และที่สำคัญมีแค่หลวงพ่อองค์เดียวที่จำวัดอยู่ประจำที่วัด
ท่านจึงผจญกับกลิ่นมูลนกพิราบฝุ่นละอองและขยะนานา ๆ ชนิด
ที่ต้องค่อย ๆ สะสางเก็บกวาด เพราะที่นี่เคยเป็นโรงเรียนปริยัติธรรมมาก่อน
จึงมีของที่กองไว้เยอะมากตั้งแต่หนังสือ ธูปเทียน จีวร บริขาร
พระพุทธรูปและ อื่น ๆ อีกมากมาย จนหลวงพ่อนิมนต์พระเพื่อน ๆ ที่รู้จักกัน
มาช่วยอีกห้าหกรูปแต่สุดท้ายก็ ย้ายออกไปจนหมดสิ้น เพราะเรื่องปัจจัย
ปัญหาที่วัดเพิ่งตั้งใหม่ยังมีอะไรไม่เข้าที่เยอะ จนผ่านมาราว ๆ 1 เดือน
จขกท จึงลาออกจากงานแอบไปอยู่วัดหนึ่ง โดยไม่ได้บอกหลวงพ่อ
เนื่องจากมีเหตุไม่เข้าใจกันในการทำงานช่วยเหลือในวัดเพราะทั้งทำงาน
ทั้งเป็นคนขับรถและช่วยเหลืองานวัดที่เยอะมาก ก็มีขัดคอกันบ้าง
จึงออกจากวัดไปเตรียมตัวบวช
เพื่อให้พระอุปัชฌาย์ดูนิสัยว่าเหมาะแก่การบวชไหม
และได้รับการอุปสมบท หลวงพ่อทราบจึงไปร่วมเป็นสงฆ์ในการอุปสมบทด้วย
และหลังจากอยู่กับอุปัชฌาย์ได้ราว ๆ 1 เดือน หลวงพ่อ
ก็มารับให้ไปช่วยงานที่วัดมีกันแค่ 2 รูป กับเณร 1 รูป
งานหลักก็กวาดขี้นก ทุกวันวันละราว ๆ 1-2 ถังสีใบใหญ่
ถูศาลาและยกขนเก็บกวาดอื่น ๆ มาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี
ตามกิจสงฆ์จนสุดท้ายป่วยภูมิแพ้ในระดับที่เยื่อบุตาอักเสบเฉียบพลัน
จนสุดท้ายต้องเลี่ยงการกวาดและถู
ทุกอย่างที่มีกลิ่นอับฝุ่น เพราะแค่ได้กลิ่นก็ออกอาการตาจมูกแดงแล้ว
แต่สภาพวัดตอนนี้ สะอาดร่มรื่นแบบพลิกหน้าเป็นหลังมือแล้ว
แต่ ยังมีปัญหาเรื่องต้นหญ้า ต้นไม้เพราะ ภายหลังทหารมักติดห้วงการฝึก
และจะมาช่วยได้ต้องทำหนังสือยุ่งยากลำดับขั้นตอนและเกรงใจ
จึงไม่ได้ขอให้มาช่วยเหลือในภายหลัง
เคยอนุโลมตนเองไปตัดไปดายหญ้าทั้งด้วยเครื่องด้วยคิดเจตนาว่าทำเพื่อ
ความสะอาดร่มรื่นของวัดและจอบมีดไม้ต่าง ๆ มาหลายหน ขณะทำไปก็พิจารณาไปด้วย
โดยใช้จิตอธิษฐานการงาน คือมีสติกับการทำงาน เมื่อมีสติมันก็ต้องเห็นหละ
ตอนกวาดลานถนนต่าง ๆ พระเห็นมดแมลงเดินก็หยุดไปกวาดที่อื่นก่อนค่อยวก
กลับมากวาดใหม่แม้มันจะนานกว่าจะเสร็จเหมือนที่เคยทำ แต่โดยส่วนตนคิดว่าทำถูก
ที่สัตว์ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตาย เดินข้ามไปข้ามมา ๆ ที่ไม่เห็นไม่เจตนาก็ขอโทษกันไป
ขุดดินก็เหมือนกันเจอไส้เดือนตรงไหนก็หยุดไปขุดที่อื่นเจออีกก็เลิกขุด
ขุดเพราะต้นไม้ต่าง ๆ มีโยมมาถวายและบางส่วนต้องจัดให้เหมาะสมโยกย้ายลงดิน
บ้างอะไรบ้าง จนสุดท้ายก็หยุดขุดก็ถูกมองว่าขี้เกียจอีก
แต่พอไปตัดหญ้าก็เห็นมดแมลงมากมายจริง ๆ ที่โดนเครื่องตัดหญ้าตัดหัวแขนขาตัวขาดกระจุยกระจาย
ไปกันคนละทิศทางนึกภาพพื้นที่ถ้า 1 ไร่ มีมดแมลงทุกหย่อมหญ้า
จะบาดเจ็บล้มตายกันถ้วนหน้าแค่ไหน จึงเลี่ยงไม่ทำ และก็มักถูกชาวบ้านมองด้วยสีหน้าแบบ
ขี้เกียจมั้งเนี่ย ทั้งที่จริง ๆ รู้สึกว่าเราจะตัดหญ้าให้สวยงามเพียงเพื่ออุปาทานตนเองและชาวบ้าน
ให้เขาชมว่าสะอาดเรียบร้อยกับชีวิตสัตว์มากมายมันใช่เหรอ จึงไม่ทำเพราะบวชมาเพื่ออะไรตนเองก็รู้อยู่
แก่ใจไม่ได้มาบวชหาความสวยงามในโลกนี้ แต่คิดแบบนี้ ญาติโยม หรือพระสงฆ์ เพื่อนร่วมโลก
คิดเห็นอย่างไร จะช่วยออกความเห็นยังไงบ้าง
ตอนนี้คิดว่าคงถึงเวลาต้องย้ายไปวัดอื่นหากยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ เพราะวัดที่มีความพร้อมเรื่อง
ระบบการจัดการสมกับการปฏิบัติของเราก็ยังมีอยู่อีกมาก ไม่ได้ขี้เกียจแต่ไม่อยากผิดศีล
ไม่ได้งมงายในศีลแต่สงสารสัตว์ พระบางรูปอ้างว่าปลงอาบัติได้แต่อาบัติไม่ได้มีไว้ปลงทุกวัน
เจริญพรสรุปจะทำยังไงดี