คนโบราณว่าสองอาชีพที่ไม่ควรให้ความไว้วางใจ หนึ่งคือทนาย สองขายประกัน
ตอนนี้รู้สึกชีวิตพังแรง
ต้องเริ่มเลาจากพ่อเรามีเพื่อนในวงสังคมที่ไว้ใจ เคยเป็นถึงผู้จัดการธนาคารมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตา
เพื่อนเกษียณแล้วก็มาทำอาชีพเสริมขายประกันของบ.ใหญ่บ.หนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ
และแน่นอนว่าลูกค้าจะเป็นใครหากไม่ใช่คนใกล้ตัว นั่นก็คือพ่อเรานี่เอง
เพื่อนพ่อท่านนี้เชิญชวนพ่อเราให้ทำประกันเงินฝากในนามเรากับพี่ชายเป็นทุนประกันประมาณ 7 หลัก
โดยส่งเบี้ย 6 ปี - 10 ปี ได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยคืนมา 7 หลัก ฟังดูดีใช่ไหมคะ?
ด้วยเราเองไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาก ฟังๆเขาพูดก็ยากจะเข้าใจ เลยกระซิบพ่อว่าอย่าไปทำเลย
เราทำธุรกิจเกิดเงินทุนจมแล้วหมุนเงินสดไม่ทันจะมีปัญหา เอาตรงนี้ไม่สำรองดีกว่าไม่ต้อง
ส่งปีละมากๆให้เป็นภาระตัวเอง
ต้องทราบว่าพ่อเราเป็นคนหัวรั้น หลายครั้งพาครอบครัวทำธุรกิจเน้นเอาเงินไปหมุนแต่ในธุรกิจ เงินเก็บเป็นเงินสดหามีไม่
เวลาต้องใช้จ่ายจำเป็นมีแต่ต้องปล่อยสินค้าหรืออสังหาในมือแบบรีบเร่งแล้วก็ขาดทุนประจำ
แถมยังไม่เผื่อเหลือให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายบ้าง (พูดง่ายๆก็มีทรัพย์มากแต่ใช้ชีวิตยาจก ไม่ทำตามก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตกลูกๆก้มหน้าก้มตาอดทนไป)
เวลาพูดเตือนเรื่องการลงทุนเขาไม่ค่อยฟังอะไรเรา (แล้วก็ชอบสดับฟังคำหวานจากงูพิษในคราบเพื่อนพวกนี้มาก)
ดังนั้นเราเล็งเห็นแล้วว่าอย่าให้เขาเอาเงินตรงนี้ไปลงทุนกับประกันเงินฝากเลย ท่าทางได้ไม่คุ้มเสีย
หรือเวลามีปัญหาต้องการใช้เงินได้มีเรื่องแน่
แล้วก็มีปัญหาจริงๆ ตอนนี้บ้านเราเริ่มมีปัญหาด้านการหมุนเงินสดในธุรกิจ
อสังหาที่มีอยู่ตอนนี้ปล่อยมือยาก เศรษฐกิจไม่ดีซื้อง่ายขายยากเป็นพิเศษ เราส่งเบี้ยมา 2 ปีแล้ว ปีนี้ใกล้ถึงกำหนดส่งเบี้ยครั้งที่ 3
ย่อมไม่สะดวกใจจะส่งเบี้ยต่อ เป็นไปได้อยากขอเงินคืนด้วยซ้ำ
พอลองสอบถามกับทาง Call Center ของบ.ประกันก็พบว่าเงินที่ส่งไปสองปี 7 (ต่อ1คน)หลักนับว่าไม่น้อย
แต่เวลาขอเงินคืนกลับได้แค่ราวๆ 60% จากจำนวนเงินทั้งหมดที่ส่งไปด้วยซ้ำ (ลองคำนวนคร่าวๆรวมเงินที่ทางบ.จ่ายคืนมาแล้ว)
โดนเวลาขอยกเลิกกรมธรรม์แบบต้องการเงินก้อนคืน จะใช้วิธีคำนวนโดยใช้สูตร
เรทค่าเวนคืนกรมธรรม์(ตามจำนวนปีที่ส่ง) / 1000 x จำนวนเงินเอาประกันภัย (ไม่คิดรวมเบี้ยที่จ่ายไปแล้ว)
เปิดเลขตัวเลขเฉพาะของพี่ชายแล้วกันค่ะ ส่งสองปี จ่ายรวมไป2ล้านกว่าๆ
ก็จะได้รับเงินคืนตามนี้
(774/1000) x 1ล้าน24590 (อีกล้านกว่าไม่เอามาคิด)
= 793032
รวมยอดที่เขาคืนมาปีที่แล้วกับปีนี้อีก 2แสน4
= 1ล้าน3หมื่นกว่าบาท
อห....ขาดทุนไปล้าน (ที่จริงก็นับว่าครึ่งๆ)
เราพยายามถามย้ำกับ Call Center แล้วว่าเราขอเงินคืนเนี่ย ไม่คิดรวมเบี้ยทั้งหมดที่เราจ่ายเหรอคะ
เขาก็ยังยืนยันคำเดิมมาให้เราว่าคิดแค่จากจำนวนเงินเอาประกันภัย
อห...อีกครั้ง แบบนี้ปล้นกันเลยเถอะ
ระหว่างที่บ.ประกันเอาเงินเราไปลงทุน ได้ผลตอบแทนมาก็จริง แต่เวลาต้องการขอคืนไม่คืนเงินต้นให้ครบนาจา
อยากได้ครบคุณต้องก้มหน้าก้มตาส่งให้ครบจำนวนปีตามสัญญา มิเช่นนั้นก็ยอมรับสภาพขาดทุนไป
(ส่งครบแล้วยังต้องรอคืนเงินตามจำนวนปีสัญญาอีก ขอถอนออกมาก่อนก็ขาดทุนอยู่ดี)
ลองดูคร่าวๆแล้วมีวิธีเดียวที่ทำให้เราเจ็บตัวน้อยหน่อยก็คือให้เราขอยุติการส่งเงินประกัน เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์แบบใช้เงินสำเร็จแทน
พูดง่ายๆคือหยุดส่งแต่ยังมีผลคุ้มครองยืดยาวต่อไป ของเราก็นับไปอีกราว8ปีจึงจะได้เงินคืน
ซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการขอเงินคืนเพื่อเอาเงินไปหมุนธุรกิจ
(และเราไม่รับข้อเสนอกู้เงินในกรมธรรม์แน่ๆ เป็นหนี้นั้วเนี้ยอิรุงตุงนังไปหมด เป็นหนี้ธนาคารอย่างเดียวก็วุ่นวายพอละ)
เลยอยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรณ์ว่าทำประกันอย่าไว้ใจคนขายมากค่ะ ต่อให้เขาน่าเชื่อถือแค่ไหน หรือเป็นเพื่อนสนิทแค่ไหนก็ตาม
เขารับคอมมิชชั่นที่ขายประกันไปเขาก็ไม่ได้เอาอะไรมาตอบแทนให้เรา
(อีกทั้งเราได้ข่าวว่าลูกค้าคนอื่นของคนนี้ที่ทำประกันลักษณะเดียวกันได้กระเป๋า+ทอง
/ บ้านเราเหรอ เหอๆ...มีแต่กระเป๋าโง่ๆที่ขาดง่ายหนึ่งใบ)
กลับกันถ้าเรานำเงินไปฝากระยะยาวกับธนาคาร จำนวนดอกเบี้ยอาจได้น้อยกว่า
แต่ถ้าเวลาธุรกิจมีปัญหาเรายังเอาเงินก้อนมาใช้ได้เต็มจำนวนที่เราฝาก (แค่ไม่ได้ดอกเบี้ยตามเดิม)
แถมเอาเงินไปลงทุนยังได้ผลงอกเงยมากกว่าทำประกันเงินฝากที่มีข้อผูกพันธ์แบบนี้อีก
ก็อยากฝากเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ท่านๆที่กำลังถูกชักชวนไปทำประกันเงินฝากนะคะ
อยากให้ท่านๆคิดดีๆก่อนตัดสินใจ ถ้ามั่นใจว่าการเงินในอนาคตของเราไม่มีปัญหาแน่ก็ทำได้แหละ
(แต่อนาคตยาวไกลขนาดนั้นใครจะรู้อะเนาะ)
ปล. ที่เกริ่นมาด้านบนเรื่องที่บ้านก็เพื่ออยากบอกว่าเมื่อชีวิตเจอมรสุม ความหนักหนาของการ
เจอเรื่องนี้เท่ากับยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ 555555 #ใต้เลข5มีน้ำตาซ่อนอยู่
เตือนใจคนที่คิดหรือกำลังคิดจะทำประกันเงินฝาก
ตอนนี้รู้สึกชีวิตพังแรง
ต้องเริ่มเลาจากพ่อเรามีเพื่อนในวงสังคมที่ไว้ใจ เคยเป็นถึงผู้จัดการธนาคารมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตา
เพื่อนเกษียณแล้วก็มาทำอาชีพเสริมขายประกันของบ.ใหญ่บ.หนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ
และแน่นอนว่าลูกค้าจะเป็นใครหากไม่ใช่คนใกล้ตัว นั่นก็คือพ่อเรานี่เอง
เพื่อนพ่อท่านนี้เชิญชวนพ่อเราให้ทำประกันเงินฝากในนามเรากับพี่ชายเป็นทุนประกันประมาณ 7 หลัก
โดยส่งเบี้ย 6 ปี - 10 ปี ได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยคืนมา 7 หลัก ฟังดูดีใช่ไหมคะ?
ด้วยเราเองไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาก ฟังๆเขาพูดก็ยากจะเข้าใจ เลยกระซิบพ่อว่าอย่าไปทำเลย
เราทำธุรกิจเกิดเงินทุนจมแล้วหมุนเงินสดไม่ทันจะมีปัญหา เอาตรงนี้ไม่สำรองดีกว่าไม่ต้อง
ส่งปีละมากๆให้เป็นภาระตัวเอง
ต้องทราบว่าพ่อเราเป็นคนหัวรั้น หลายครั้งพาครอบครัวทำธุรกิจเน้นเอาเงินไปหมุนแต่ในธุรกิจ เงินเก็บเป็นเงินสดหามีไม่
เวลาต้องใช้จ่ายจำเป็นมีแต่ต้องปล่อยสินค้าหรืออสังหาในมือแบบรีบเร่งแล้วก็ขาดทุนประจำ
แถมยังไม่เผื่อเหลือให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายบ้าง (พูดง่ายๆก็มีทรัพย์มากแต่ใช้ชีวิตยาจก ไม่ทำตามก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตกลูกๆก้มหน้าก้มตาอดทนไป)
เวลาพูดเตือนเรื่องการลงทุนเขาไม่ค่อยฟังอะไรเรา (แล้วก็ชอบสดับฟังคำหวานจากงูพิษในคราบเพื่อนพวกนี้มาก)
ดังนั้นเราเล็งเห็นแล้วว่าอย่าให้เขาเอาเงินตรงนี้ไปลงทุนกับประกันเงินฝากเลย ท่าทางได้ไม่คุ้มเสีย
หรือเวลามีปัญหาต้องการใช้เงินได้มีเรื่องแน่
แล้วก็มีปัญหาจริงๆ ตอนนี้บ้านเราเริ่มมีปัญหาด้านการหมุนเงินสดในธุรกิจ
อสังหาที่มีอยู่ตอนนี้ปล่อยมือยาก เศรษฐกิจไม่ดีซื้อง่ายขายยากเป็นพิเศษ เราส่งเบี้ยมา 2 ปีแล้ว ปีนี้ใกล้ถึงกำหนดส่งเบี้ยครั้งที่ 3
ย่อมไม่สะดวกใจจะส่งเบี้ยต่อ เป็นไปได้อยากขอเงินคืนด้วยซ้ำ
พอลองสอบถามกับทาง Call Center ของบ.ประกันก็พบว่าเงินที่ส่งไปสองปี 7 (ต่อ1คน)หลักนับว่าไม่น้อย
แต่เวลาขอเงินคืนกลับได้แค่ราวๆ 60% จากจำนวนเงินทั้งหมดที่ส่งไปด้วยซ้ำ (ลองคำนวนคร่าวๆรวมเงินที่ทางบ.จ่ายคืนมาแล้ว)
โดนเวลาขอยกเลิกกรมธรรม์แบบต้องการเงินก้อนคืน จะใช้วิธีคำนวนโดยใช้สูตร
เรทค่าเวนคืนกรมธรรม์(ตามจำนวนปีที่ส่ง) / 1000 x จำนวนเงินเอาประกันภัย (ไม่คิดรวมเบี้ยที่จ่ายไปแล้ว)
เปิดเลขตัวเลขเฉพาะของพี่ชายแล้วกันค่ะ ส่งสองปี จ่ายรวมไป2ล้านกว่าๆ
ก็จะได้รับเงินคืนตามนี้
(774/1000) x 1ล้าน24590 (อีกล้านกว่าไม่เอามาคิด)
= 793032
รวมยอดที่เขาคืนมาปีที่แล้วกับปีนี้อีก 2แสน4
= 1ล้าน3หมื่นกว่าบาท
อห....ขาดทุนไปล้าน (ที่จริงก็นับว่าครึ่งๆ)
เราพยายามถามย้ำกับ Call Center แล้วว่าเราขอเงินคืนเนี่ย ไม่คิดรวมเบี้ยทั้งหมดที่เราจ่ายเหรอคะ
เขาก็ยังยืนยันคำเดิมมาให้เราว่าคิดแค่จากจำนวนเงินเอาประกันภัย
อห...อีกครั้ง แบบนี้ปล้นกันเลยเถอะ
ระหว่างที่บ.ประกันเอาเงินเราไปลงทุน ได้ผลตอบแทนมาก็จริง แต่เวลาต้องการขอคืนไม่คืนเงินต้นให้ครบนาจา
อยากได้ครบคุณต้องก้มหน้าก้มตาส่งให้ครบจำนวนปีตามสัญญา มิเช่นนั้นก็ยอมรับสภาพขาดทุนไป
(ส่งครบแล้วยังต้องรอคืนเงินตามจำนวนปีสัญญาอีก ขอถอนออกมาก่อนก็ขาดทุนอยู่ดี)
ลองดูคร่าวๆแล้วมีวิธีเดียวที่ทำให้เราเจ็บตัวน้อยหน่อยก็คือให้เราขอยุติการส่งเงินประกัน เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์แบบใช้เงินสำเร็จแทน
พูดง่ายๆคือหยุดส่งแต่ยังมีผลคุ้มครองยืดยาวต่อไป ของเราก็นับไปอีกราว8ปีจึงจะได้เงินคืน
ซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการขอเงินคืนเพื่อเอาเงินไปหมุนธุรกิจ
(และเราไม่รับข้อเสนอกู้เงินในกรมธรรม์แน่ๆ เป็นหนี้นั้วเนี้ยอิรุงตุงนังไปหมด เป็นหนี้ธนาคารอย่างเดียวก็วุ่นวายพอละ)
เลยอยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรณ์ว่าทำประกันอย่าไว้ใจคนขายมากค่ะ ต่อให้เขาน่าเชื่อถือแค่ไหน หรือเป็นเพื่อนสนิทแค่ไหนก็ตาม
เขารับคอมมิชชั่นที่ขายประกันไปเขาก็ไม่ได้เอาอะไรมาตอบแทนให้เรา
(อีกทั้งเราได้ข่าวว่าลูกค้าคนอื่นของคนนี้ที่ทำประกันลักษณะเดียวกันได้กระเป๋า+ทอง
/ บ้านเราเหรอ เหอๆ...มีแต่กระเป๋าโง่ๆที่ขาดง่ายหนึ่งใบ)
กลับกันถ้าเรานำเงินไปฝากระยะยาวกับธนาคาร จำนวนดอกเบี้ยอาจได้น้อยกว่า
แต่ถ้าเวลาธุรกิจมีปัญหาเรายังเอาเงินก้อนมาใช้ได้เต็มจำนวนที่เราฝาก (แค่ไม่ได้ดอกเบี้ยตามเดิม)
แถมเอาเงินไปลงทุนยังได้ผลงอกเงยมากกว่าทำประกันเงินฝากที่มีข้อผูกพันธ์แบบนี้อีก
ก็อยากฝากเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้แก่ท่านๆที่กำลังถูกชักชวนไปทำประกันเงินฝากนะคะ
อยากให้ท่านๆคิดดีๆก่อนตัดสินใจ ถ้ามั่นใจว่าการเงินในอนาคตของเราไม่มีปัญหาแน่ก็ทำได้แหละ
(แต่อนาคตยาวไกลขนาดนั้นใครจะรู้อะเนาะ)
ปล. ที่เกริ่นมาด้านบนเรื่องที่บ้านก็เพื่ออยากบอกว่าเมื่อชีวิตเจอมรสุม ความหนักหนาของการ
เจอเรื่องนี้เท่ากับยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ 555555 #ใต้เลข5มีน้ำตาซ่อนอยู่