สวัสดีครับ ผมเป็นเด็กบ้านนอกต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ที่ย้ายเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ ผมอยากจะบอกว่าชีวิตต่างจังหวัดนั้น มันไม่ได้เรียบง่าย สบายๆ อย่างที่ทุกคนคิด หลายคนอาจจะมองว่าผมใช้คำพูดแรงไปว่าเกลียด ใช่ครับ ผมใช้คำพูดแรง แต่มันไม่แรงเท่าที่ผมเคยประสบพบเจอมา ขอแยกเป็นประเด็นๆนะครับ ผมจะเริ่มจากเบาไปหาหนักนะครับ
1. ขี้อวด ขี้บลัฟ
คนต่างหวัดที่ผมอยู่นั้น ค่อนข้างที่อวดครับ เช่น
-ลูกจบปริญญามาต้องเลี้ยงโต๊ะจีนปิดหมู่บ้านฉลอง และต้องจ้างรถปิคอัพประกาศปาวๆให้ทั้งหมู่บ้านรู้ว่า ลูกข้าจบปริญญาแล้วนะ รู้ไว้ซะ
-เด็กเกิดใหม่ชอบวางเงินเป็นฟ่อนรอบๆตัวเด็ก เพื่อที่ว่าเด็กจะได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง หารู้ไม่ว่าเงินอยู่ใกล้เด็กขนาดนั้น เชื้อโรคจากเงินอาจจะไปสู่เด็กได้
-งานแต่ง งานบวช ต้องจัดใหญ่ไว้ก่อน เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ ถึงขั้นจะต้องกู้หนี้ยืมสินมาก็ยอม
-วิถีใส่ซองใครใส่มาเท่าไร ข้าต้องใส่มามากกว่า และถ้าข้าจัดงาน บ้านไหนใส่ช่วยน้อยกว่าที่ตนเคยช่วย มีเคือง และแทบทุกงานต้องมีใส่ซอง ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญครบรอบ ฉลองรถใหม่ ทำขวัญน็นนี่นั่น บายศรีสู่ขวัญต่างๆ คงจะมีแต่งานศพหมากับงานบวชแมวที่ไม่ต้องใส่ซอง
-ออกรถที รุ่นยอดนิยม วีโก้ตัวท็อป ฟอร์จูเนอร์ตัวท็อป ยิ่งรถคันดูใหญ่ ยิ่งเอามาอวด เอามาบลัฟได้ไม่แพ้ใครในหมู่บ้าน
2. ขี้อิจฉา
คนต่างหวัดที่ผมอยู่นั้น มีความขี้อิจฉาสูงครับ เช่น
-ถ้ารู้ว่าผมพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อนบ้านและญาติตัวดีก็จะมาแล้ว “ไปเที่ยวมาหรอ หมดเยอะล่ะสิ” หรือถ้าไปประเทศที่ต้องขอวีซ่าก็จะมาละ “น้ำหน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ มีปัญญาไปกะเค้าด้วยหรอ กุขอวีซ่า 2-3 รอบ กุยังไม่ได้ไปเลย เค้าให้เอ็งเข้าประเทศด้วยหรอ”
-ผมทำงานไปด้วย ขายของตลาดนัดไปด้วย พอเห็นผมเริ่มขายดีก็จะมาอีกแล้ว “ได้ข่าวว่าขายดีหรอ มีเงินเยอะเลยละสิ” (คิดในใจ ก็ถ้าอยากจะได้เงินเยอะบ้าง เอาเวลาที่พูดมากไปขยันแบบผมสิ)
3. ขี้ไถ
ความขี้ไถจะมาในรูปแบบญาติครับ เช่น
-ผมกลับบ้านที ลุงมาแล้ว “เฮ้ย กลับมาเมื่อไร ขอตังค์ไปกินเหล้าหน่อยสิ”
-ป้ามาอีกคน “เห็นว่าตังค์เยอะ ขอป้าไปลงทุนหน่อยสิ ป้าอยากขายของ” (บ้างครั้งก็งงนะ คือเงินตัวเองก็มี ทำไมต้องชอบมาไถลูกหลาน)
4. ขี้นินทา
ผมว่าหลายๆคนเจอขี้นินทาแบบผมครับ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง
-ผมทำงานไปด้วย ขายของตลาดนัดไปด้วย พอรู้ว่าผมทำงานเท่าไรเงินเดือนน้อย แต่มีเงินเก็บก็จะมานินทาผม หาว่าผมค้ายาบ้างละ เล่นการพนันบ้างละ
หลายๆคนอ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะคิดว่า ผมจะไปยุ่งจะไปแคร์ทำไม ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ ใช่ครับ ผมต่างคนต่างอยู่มาตลอด จนกระทั่งมาเป็นขอสุดท้ายนี้ที่หนักที่สุด ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจมาซื้อบ้านที่ปริมณฑลเพื่อที่จะได้มาทำงานกรุงเทพและไม่คิดจะกลับต่างจังหวัดอีกเลย
5. ใครไม่ปฏิสัมพันธ์กับสังคมของเขา เขาคว่ำบาตรทันที
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร ผมจะขยายความให้ฟังครับ
-สังคมต่างจังหวัดเป็นสังคมที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือกัน ใช่ครับ คนต่างจังหวัดมีน้ำใจมาก แต่พอผมไม่ชอบ 4 ข้อแรกที่ผมกล่าวมา ทำให้ผมเลิกยุ่งกับคนพวกนั้น และสังคมนั้นคว่ำบาตรผมทันที
-ไปซื้อของตามร้านค้า ร้านขายของชำ ไม่ยอมขายให้ผม และไม่ขายให้พ่อแม่ผมด้วย และไม่ได้เป็นแค่ร้านเดียว เป็นทั้งหมู่บ้าน ตลาดที่ใกล้ที่สุด ห่างจากบ้าน 10 กิโล ไปกลับ 20 กิโล โดนคว่ำบาตรทั้งหมด พ่อแม่ผมจึงต้องขับมอเตอร์ไซต์ไปซื้อที่อำเภอข้างเคียงที่ใกล้ที่สุด ซึ่งห่างไป 25 กิโล ไปกลับ 50 กิโล ด้วยมอเตอร์ไซต์เก่าๆและต้องออกถนนใหญ่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากๆครับ เพราะถนนใหญ่รถอ้อย รถสิบล้อ วิ่งกันเยอะและเร็วมากครับ
-ไปใช้บริการอะไรเค้าก็ไม่ทำให้ เพราะเค้าคว่ำบาตรหมดแล้ว เช่น รถเสียเอารถไปซ่อม ไม่ยอมซ่อมให้ ไปตัดผม ไม่ยอมตัดให้ ยังดีที่ไปคลินิค หมอกับพยาบาลยังรักษาให้
-พ่อแม่ผมทำสวน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นญาติผมเองนี่แหล่ะครับ w,jยอมปล่อยน้ำมาให้ที่สวนพ่อแม่ผม จนสวนเสียหาย โดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวน้ำไม่พอหน้าแล้ง แต่ทำไมสวนอื่นได้น้ำ สวนบ้านผมไม่ได้น้ำ
ฟางเส้นสุดท้ายนี้ เป็นจุดแตกหักระหว่างผมกับสังคมแถวบ้านผมทันที ผมเลยบอกพ่อแม่ว่า ขายบ้าน ขายที่ ขายสวน หรือให้เช่าก็ได้ แล้วไปอยู่กับผมที่กรุงเทพเหอะ แบบนี้มันไม่ไหวแล้ว
ปล. เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นแถวที่บ้านผมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสังคมต่างจังหวัดที่อื่น
รู้ไหม? ทำไมผมเกลียดสังคมต่างจังหวัด?
1. ขี้อวด ขี้บลัฟ
คนต่างหวัดที่ผมอยู่นั้น ค่อนข้างที่อวดครับ เช่น
-ลูกจบปริญญามาต้องเลี้ยงโต๊ะจีนปิดหมู่บ้านฉลอง และต้องจ้างรถปิคอัพประกาศปาวๆให้ทั้งหมู่บ้านรู้ว่า ลูกข้าจบปริญญาแล้วนะ รู้ไว้ซะ
-เด็กเกิดใหม่ชอบวางเงินเป็นฟ่อนรอบๆตัวเด็ก เพื่อที่ว่าเด็กจะได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง หารู้ไม่ว่าเงินอยู่ใกล้เด็กขนาดนั้น เชื้อโรคจากเงินอาจจะไปสู่เด็กได้
-งานแต่ง งานบวช ต้องจัดใหญ่ไว้ก่อน เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ ถึงขั้นจะต้องกู้หนี้ยืมสินมาก็ยอม
-วิถีใส่ซองใครใส่มาเท่าไร ข้าต้องใส่มามากกว่า และถ้าข้าจัดงาน บ้านไหนใส่ช่วยน้อยกว่าที่ตนเคยช่วย มีเคือง และแทบทุกงานต้องมีใส่ซอง ไม่ว่าจะเป็น งานบวช งานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญครบรอบ ฉลองรถใหม่ ทำขวัญน็นนี่นั่น บายศรีสู่ขวัญต่างๆ คงจะมีแต่งานศพหมากับงานบวชแมวที่ไม่ต้องใส่ซอง
-ออกรถที รุ่นยอดนิยม วีโก้ตัวท็อป ฟอร์จูเนอร์ตัวท็อป ยิ่งรถคันดูใหญ่ ยิ่งเอามาอวด เอามาบลัฟได้ไม่แพ้ใครในหมู่บ้าน
2. ขี้อิจฉา
คนต่างหวัดที่ผมอยู่นั้น มีความขี้อิจฉาสูงครับ เช่น
-ถ้ารู้ว่าผมพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อนบ้านและญาติตัวดีก็จะมาแล้ว “ไปเที่ยวมาหรอ หมดเยอะล่ะสิ” หรือถ้าไปประเทศที่ต้องขอวีซ่าก็จะมาละ “น้ำหน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ มีปัญญาไปกะเค้าด้วยหรอ กุขอวีซ่า 2-3 รอบ กุยังไม่ได้ไปเลย เค้าให้เอ็งเข้าประเทศด้วยหรอ”
-ผมทำงานไปด้วย ขายของตลาดนัดไปด้วย พอเห็นผมเริ่มขายดีก็จะมาอีกแล้ว “ได้ข่าวว่าขายดีหรอ มีเงินเยอะเลยละสิ” (คิดในใจ ก็ถ้าอยากจะได้เงินเยอะบ้าง เอาเวลาที่พูดมากไปขยันแบบผมสิ)
3. ขี้ไถ
ความขี้ไถจะมาในรูปแบบญาติครับ เช่น
-ผมกลับบ้านที ลุงมาแล้ว “เฮ้ย กลับมาเมื่อไร ขอตังค์ไปกินเหล้าหน่อยสิ”
-ป้ามาอีกคน “เห็นว่าตังค์เยอะ ขอป้าไปลงทุนหน่อยสิ ป้าอยากขายของ” (บ้างครั้งก็งงนะ คือเงินตัวเองก็มี ทำไมต้องชอบมาไถลูกหลาน)
4. ขี้นินทา
ผมว่าหลายๆคนเจอขี้นินทาแบบผมครับ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง
-ผมทำงานไปด้วย ขายของตลาดนัดไปด้วย พอรู้ว่าผมทำงานเท่าไรเงินเดือนน้อย แต่มีเงินเก็บก็จะมานินทาผม หาว่าผมค้ายาบ้างละ เล่นการพนันบ้างละ
หลายๆคนอ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะคิดว่า ผมจะไปยุ่งจะไปแคร์ทำไม ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ ใช่ครับ ผมต่างคนต่างอยู่มาตลอด จนกระทั่งมาเป็นขอสุดท้ายนี้ที่หนักที่สุด ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจมาซื้อบ้านที่ปริมณฑลเพื่อที่จะได้มาทำงานกรุงเทพและไม่คิดจะกลับต่างจังหวัดอีกเลย
5. ใครไม่ปฏิสัมพันธ์กับสังคมของเขา เขาคว่ำบาตรทันที
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร ผมจะขยายความให้ฟังครับ
-สังคมต่างจังหวัดเป็นสังคมที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือกัน ใช่ครับ คนต่างจังหวัดมีน้ำใจมาก แต่พอผมไม่ชอบ 4 ข้อแรกที่ผมกล่าวมา ทำให้ผมเลิกยุ่งกับคนพวกนั้น และสังคมนั้นคว่ำบาตรผมทันที
-ไปซื้อของตามร้านค้า ร้านขายของชำ ไม่ยอมขายให้ผม และไม่ขายให้พ่อแม่ผมด้วย และไม่ได้เป็นแค่ร้านเดียว เป็นทั้งหมู่บ้าน ตลาดที่ใกล้ที่สุด ห่างจากบ้าน 10 กิโล ไปกลับ 20 กิโล โดนคว่ำบาตรทั้งหมด พ่อแม่ผมจึงต้องขับมอเตอร์ไซต์ไปซื้อที่อำเภอข้างเคียงที่ใกล้ที่สุด ซึ่งห่างไป 25 กิโล ไปกลับ 50 กิโล ด้วยมอเตอร์ไซต์เก่าๆและต้องออกถนนใหญ่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากๆครับ เพราะถนนใหญ่รถอ้อย รถสิบล้อ วิ่งกันเยอะและเร็วมากครับ
-ไปใช้บริการอะไรเค้าก็ไม่ทำให้ เพราะเค้าคว่ำบาตรหมดแล้ว เช่น รถเสียเอารถไปซ่อม ไม่ยอมซ่อมให้ ไปตัดผม ไม่ยอมตัดให้ ยังดีที่ไปคลินิค หมอกับพยาบาลยังรักษาให้
-พ่อแม่ผมทำสวน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นญาติผมเองนี่แหล่ะครับ w,jยอมปล่อยน้ำมาให้ที่สวนพ่อแม่ผม จนสวนเสียหาย โดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวน้ำไม่พอหน้าแล้ง แต่ทำไมสวนอื่นได้น้ำ สวนบ้านผมไม่ได้น้ำ
ฟางเส้นสุดท้ายนี้ เป็นจุดแตกหักระหว่างผมกับสังคมแถวบ้านผมทันที ผมเลยบอกพ่อแม่ว่า ขายบ้าน ขายที่ ขายสวน หรือให้เช่าก็ได้ แล้วไปอยู่กับผมที่กรุงเทพเหอะ แบบนี้มันไม่ไหวแล้ว
ปล. เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นแถวที่บ้านผมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสังคมต่างจังหวัดที่อื่น