สวัสดีครับทุกคน ผมอยากจะมาเล่าประสบการณการทำงานครัวในการไป Work and Travel 2018 ที่ผ่านมาของผม
ยืมไอดีเพื่อนมาตั้งกระทู้นะครับ ผิดตรงไหนขออภัยด้วย
ผมมาต่อจากกระทู้
https://ppantip.com/topic/38098020
ผมกับเพื่อนทำงานร้านเดียวกันครับ ไปกับเอเจนซีเดียวกัน นั่นคือAcadex ขั้นตอนการเตรียมตัวเหมือนในกระทู้ข้างบนเลยครับ สมัคร – สัมภาษณ์ – เอกสาร – ทำวีซ่า – จองตั๋วเครื่องบิน
ขอแนะนำร้านอีกที ร้านที่ผมไปชื่อ The Beach house kitchen & cocktail, Gulf Shores, AL
ถ้าได้อ่านกระทู้นั้นมาก่อน ทุกคนคงเข้าใจการทำงาน Front กันแล้ว ว่ามันสุขสบายเหมือนสวรรค์วิมานขนาดไหน ผมจะขอเล่าเรื่องการทำงานในครัวให้ฟังบ้างครับ แล้วทุกคนจะได้รู้ ว่า Hell’s kitchen มีอยู่จริง
ไปถึงวันแรก ผมก็ได้เจอกับ Gordan Ramsey ของร้านเลยครับ เป็น Kitchen Manager ชื่อ Brandon
คืนแรกของการทำงานผมเลยได้รู้ครับ ว่าผมอยู่ใน Hell’s kitchen จริงๆ ครัวของร้านนี้จะแบ่งเป็น station ต่างๆ ได้แก่ Fry, Grill, Saute, Dish ผมได้ทำในตำแหน่ง Fry ครับ ทั้งๆที่ผมทำอาหารไม่เป็นเลย ต้องขอบอกเลยว่าวันนั้นช็อคมากๆ ไม่คาดคิดว่าการทำในร้านอาหารจะเป็นสภาพนี้ คือทุกอย่างดูดุเดือดไปหมด ทุกสเตชั่นตะโกนใส่กันตลอดเวลา ยืนหน้าเตาทอดอากาศร้อนๆ ทางเดินในสเตชั่นก็ค่อนข้างแคบแบบเดินสวนกันแทบไม่ได้
3 วันแรก คือ ช่วงฝึกงาน จะมีคนคอยประกบแล้วสอนเรื่องต่างๆให้ เช่น การอ่านตั๋ว การเช็คความสุก การทอดอาหารแบบต่างๆ
คนคนนั้นคือ Briley เป็นเหมือนพ่อผมเลยครับในช่วงนั้น สอนทุกอย่างให้ บอกว่าอาหารประจำสเตชั่นนี้มีอะไรบ้าง แต่ละเมนูต้องทำยังไง ช่วงฝึกงานเลยชิลๆครับมีBriley ช่วย
งานของสเตชั่นนี้คือทุกอย่างที่ต้องทอดครับ เมนูร้านนี้ส่วนมากเป็นเมนูทอดด้วยครับ แล้วเกือบทุกเมนูเสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟราย ในการทำงาน เมื่อออร์เดอร์เข้าจากเครื่อง ผมจะต้องคอยอ่านตั๋วว่ามีเมนูอะไรบ้าง หาเมนูที่เป็นของสเตชั่นผม พอทำเสร็จต้องเอาไปวางไว้ที่ window ตอนนี้ต้องตะโกนครับ อย่างเช่น เมนูแซนวิชBBLT ผมก็ต้องตะโกนว่า “BBLT to the Window” เพื่อให้เมเนเจอร์ได้ยินครับ แล้วเค้าจะมาเช็คอาหาร ถ้าผ่านก็จะเรียกเด็กเสิร์ฟมาเอาไปเสิร์ฟ ถ้าไม่ผ่านก็ต้องทำใหม่ครับ หลังจากร้านปิด ผมก็ต้องเก็บครัว กรองน้ำมัน ทำความสะอาดสเตชั่นผม
แล้วคนทำอาหารไม่เป็นแบบผมต้องมาเจอ Brandon หลังหมด 3 วันฝึกงาน ผมต้องยืนคนเดียว ขอบอกว่าพินาศครับ ทอดไก่ไม่สุก ทอดไม่ทัน โดนด่ายับ แทบจะร้องไห้ครับ แต่ยังดีที่บางวัน Briley ยืนสเตชั่นข้างๆก็จะมาช่วยผมทำ ช่วงเดือนแรกที่ทำนั้นบอกเลยว่าค่อนข้างท้อ เคยคิดจะเปลี่ยนงานด้วยซ้ำ ด้วยความที่ไม่เคยทำงานอะไรมาก่อนเลย แล้วต้องมาเจอกับความกดดัน ที่ต้องทำอาหารให้ลูกค้าจริงๆ แล้วการทำงานต้องสื่อสารกับคนอื่นตลอดเวลา เพราะบางเมนูต้องใช้มากกว่า 1 สเตชั่น หรือบางทีมีออร์เดอร์แปลกๆเข้ามา ทั้งครัวก็ต้องทำงานร่วมกัน ทำแข่งกับเวลา ทำให้ได้มาตรฐานของร้าน การจะปล่อยอาหารเสิร์ฟแต่ละครั้งนอกจากอาหารจะต้องดูดีแล้ว อาหารจะต้องออกพร้อมกันสำหรับทุกคนบนโต๊ะ ถ้าสเตชั่นนึงช้าไป ทำอาหารไม่ทัน อาหารโต๊ะนั้นจะไม่ได้เสิร์ฟ เมเนเจอร์ก็จะเร่งสเตชั่นนั้นๆ ซึ่งผมเนี่ยโดนตลอด ยิ่งโดย Brandon ตะโกนดังมาก เร่งตลอด จานนี้อีกกี่นาที จานนี้จะได้รึยัง ซึ่งผมก็ต้องตอบครับ 30วิ 1 นาทีอะไรก็ว่ากันไป ถ้าไม่ตอบโดนด่าครับ ยิ่งวันไหนลูกค้าเยอะยิ่งกดดัน มีวันนึงที่Brandonถึงกับเรียกออกไปคุย เวลาที่เค้าเรียกออกไปคุยถึงปัญหาใดๆ ถ้าเราคุยกัน เคลียร์กันจบตรงนั้น เรื่องก็จะจบตรงนั้นเลยครับ กลับมาทำงานด้วยกันต่อได้ปกติ
พอเข้าช่วงเดือนที่สองนี่ผมก็เริ่มปรับตัวได้ ความเครียดจากช่วงเดือนแรกลดลงไปเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่บ้างช่วง Weekend ครัวแทบแตก555555 ทุกคนจะหัวร้อนมาก มีด่ากันหรือโยนของใส่กันบ้าง แล้วเพลงที่เปิดในครัวจะเป็นเพลงแบบจังหวะหนักๆ เพลงฮิปฮอป อย่าง Hardaway นี่เปิดบ่อยมาก กระตุ้นอดรินาลีนเวลาทำงาน
อย่าพึ่งตกใจไปครับ คนทำอาหารมีแต่ผู้ชายในช่วงอายุวัยรุ่น ทำงานด้วยกันก็จะเถื่อนๆหน่อย แต่คนที่นี่คืออะไรเกิดในครัวก็คือจบแค่นั้น หลังเลิกงานก็เป็นเพื่อนกันปกติ สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในครัวนี้คือทุกคนนิสัยดี อยู่ด้วยแล้วสนุก ชวนผมคุยตลอดตั้งแต่วันแรกๆ บางวันก็มีมาแฮงเอาท์ที่บ้าน วันไหนว่างตรงกันเพื่อนๆพวกนี้ก็จะพาไปเที่ยวครับ สนิทกันหมดครับ ทั้งในครัวและFront
เล่าเรื่องสภาพความเป็นอยู่กันบ้างดีกว่าบ้านที่พวกผมอยู่เนี่ยเป็นเดี่ยวๆที่ติดทะเลเลยจริงๆ วิวสวยมากๆ มีไวไฟ เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจานพร้อม ถือว่าครบครัน ค่าเช่าก็สัปดาห์ละ 100$ต่อวีค ถือว่าโอเคนะ ผมทำงานได้ชั่วโมงละ 10$ ทำอาทิตย์ละประมาณ 32 ชั่วโมง แต่เสียอย่างเดียวอยู่ห่างไกลความเจริญไปหน่อยคือห่างจากที่ทำงานประมาณ 2 ไมล์แล้วต้องปั่นจักรยานไป ฟังดูแล้วเหมือนมันจะไม่ค่อยไกลแต่ขอเตือนไว้เลยว่าเหนื่อยสุดๆอาจจะเพราะด้วยความที่อากาศร้อนด้วยมั้ง(อากาศเหมือนไทยเลย) ช่วงแรกก็พอฝืนทนปั่นไปแต่พอช่วงเริ่มได้งาน 2 นี้แหละผมไม่ไหวละเลยจัดการเช่า scooter แทนซะเลยใช้เงินแก้ปัญหาไปอีก5555
ผมเริ่มหางาน 2 ตอนช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมประมาณหนึ่งเดือนหลังมาถึง เตือนไว้ก่อนว่าสำหรับคนที่มาเน้นหาเงิน ควรจะรีบหาตั้งแต่มาถึงเลยเนื่องจากงานเต็มเร็วมากๆแล้วระยะทางจะไกลขึ้นเรื่อยๆสำหรับผมกว่าจะได้งาน2 ก็เสียเวลาพอสมควรเหมือนกัน งาน2ที่ได้คือเป็นร้านกิฟต์ชอปแต่ผมได้ไปทำโซนขนมหวาน
ซึ่งก็เหมือนต้องมาฝึกงานใหม่เพราะนอกจากต้องทำหน้าที่แคชเชียร์แล้วผมต้องคอยตักไอติม ทำมิลค์เชค ทำฮอตดอค ทำปอปคอร์น ทำขนมสายไหมด้วย เรียกว่าต้องเชี่ยวชาญทั้งคาวและหวานกันเลยทีเดียว ซึ่งผมชอบงานนี้มากเนื่องจากเพื่อนร่วมงานนิสัยดีมากๆ งานแรกเพื่อนร่วมงานในครัวมีแต่ผู้ชาย แต่งานนี้มีแต่ผู้หญิง(เป็นรุ่นแม่นะส่วนใหญ่) ซึ่งเพื่อนร่วมงานคนโปรดของผมชื่อ Deidra หรือที่เรียก mama DD อายุ 70 กว่าแล้วครับ แต่ยังActiveอยู่เลย เจ๊แกเป็นคนตลกมากๆชอบสรรหาเรื่องแปลกทำได้ตลอด หัวเราะไม่เคยหยุดเลยเวลาทำงานด้วยกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมว่าผมโชคดีกว่าคนอื่นคือทั้งงาน 1 และ งาน 2 ทำในโซนอาหารทั้งคู่ก็เลยได้กินของฟรีอยู่บ่อยๆ ประหยัดค่าอาหารได้บาน แล้วด้วยความที่วอลมาร์ทอยู่ไกลบ้านมากๆ ต้องเรียกแทกซี่มารับ ทุกครั้งที่จะไปก็เลยยิ่งรู้สึกดีไปอีกเวลาไม่ต้องซื้อเสบียงมาเติมเท่าไร ส่วนเรื่องเงินที่ได้นั้นบอกเลยว่าอย่าหวังมากนัก เนื่องจากผมเป็นคนประหยัดสุดไม่ค่อยซื้อของกินเน้นของฟรีเป็นหลัก55555 ก็ยังได้แค่ประมาณ 5,000$ เท่านั้นเอง
สิ่งที่ผมคิดว่าได้เยอะสุดๆเลยก็คือเรื่องประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ ทำงานที่ไม่เคยทำในสภาพแวดล้อมใหม่ ต่างที่ต่างวัฒนธรรม ได้ทำงานที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ทำ ใช้ภาษาที่ไม่เคยใช้ ถ้าใครอยากฝึกภาษาจริงๆก็ทำงานในครัวนี่ช่วยได้เยอะมากๆจริงๆ เพราะคุณต้องคอยฟังและโต้ตอบตลอดเวลาเพราะถ้าคุณเงียบคุณก็จะโดนด่า ได้เพื่อนใหม่จากการทำงาน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะมาก บอกเลยว่านี่แหละทำให้ผมรู้สึกคุ้มมากๆที่ได้มา
[CR] Work and Travel: แชร์ประสบการทำงานร้านอาหารที่ Alabama
ยืมไอดีเพื่อนมาตั้งกระทู้นะครับ ผิดตรงไหนขออภัยด้วย
ผมมาต่อจากกระทู้ https://ppantip.com/topic/38098020
ผมกับเพื่อนทำงานร้านเดียวกันครับ ไปกับเอเจนซีเดียวกัน นั่นคือAcadex ขั้นตอนการเตรียมตัวเหมือนในกระทู้ข้างบนเลยครับ สมัคร – สัมภาษณ์ – เอกสาร – ทำวีซ่า – จองตั๋วเครื่องบิน
ขอแนะนำร้านอีกที ร้านที่ผมไปชื่อ The Beach house kitchen & cocktail, Gulf Shores, AL
ถ้าได้อ่านกระทู้นั้นมาก่อน ทุกคนคงเข้าใจการทำงาน Front กันแล้ว ว่ามันสุขสบายเหมือนสวรรค์วิมานขนาดไหน ผมจะขอเล่าเรื่องการทำงานในครัวให้ฟังบ้างครับ แล้วทุกคนจะได้รู้ ว่า Hell’s kitchen มีอยู่จริง
ไปถึงวันแรก ผมก็ได้เจอกับ Gordan Ramsey ของร้านเลยครับ เป็น Kitchen Manager ชื่อ Brandon
คืนแรกของการทำงานผมเลยได้รู้ครับ ว่าผมอยู่ใน Hell’s kitchen จริงๆ ครัวของร้านนี้จะแบ่งเป็น station ต่างๆ ได้แก่ Fry, Grill, Saute, Dish ผมได้ทำในตำแหน่ง Fry ครับ ทั้งๆที่ผมทำอาหารไม่เป็นเลย ต้องขอบอกเลยว่าวันนั้นช็อคมากๆ ไม่คาดคิดว่าการทำในร้านอาหารจะเป็นสภาพนี้ คือทุกอย่างดูดุเดือดไปหมด ทุกสเตชั่นตะโกนใส่กันตลอดเวลา ยืนหน้าเตาทอดอากาศร้อนๆ ทางเดินในสเตชั่นก็ค่อนข้างแคบแบบเดินสวนกันแทบไม่ได้
3 วันแรก คือ ช่วงฝึกงาน จะมีคนคอยประกบแล้วสอนเรื่องต่างๆให้ เช่น การอ่านตั๋ว การเช็คความสุก การทอดอาหารแบบต่างๆ
คนคนนั้นคือ Briley เป็นเหมือนพ่อผมเลยครับในช่วงนั้น สอนทุกอย่างให้ บอกว่าอาหารประจำสเตชั่นนี้มีอะไรบ้าง แต่ละเมนูต้องทำยังไง ช่วงฝึกงานเลยชิลๆครับมีBriley ช่วย
งานของสเตชั่นนี้คือทุกอย่างที่ต้องทอดครับ เมนูร้านนี้ส่วนมากเป็นเมนูทอดด้วยครับ แล้วเกือบทุกเมนูเสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟราย ในการทำงาน เมื่อออร์เดอร์เข้าจากเครื่อง ผมจะต้องคอยอ่านตั๋วว่ามีเมนูอะไรบ้าง หาเมนูที่เป็นของสเตชั่นผม พอทำเสร็จต้องเอาไปวางไว้ที่ window ตอนนี้ต้องตะโกนครับ อย่างเช่น เมนูแซนวิชBBLT ผมก็ต้องตะโกนว่า “BBLT to the Window” เพื่อให้เมเนเจอร์ได้ยินครับ แล้วเค้าจะมาเช็คอาหาร ถ้าผ่านก็จะเรียกเด็กเสิร์ฟมาเอาไปเสิร์ฟ ถ้าไม่ผ่านก็ต้องทำใหม่ครับ หลังจากร้านปิด ผมก็ต้องเก็บครัว กรองน้ำมัน ทำความสะอาดสเตชั่นผม
แล้วคนทำอาหารไม่เป็นแบบผมต้องมาเจอ Brandon หลังหมด 3 วันฝึกงาน ผมต้องยืนคนเดียว ขอบอกว่าพินาศครับ ทอดไก่ไม่สุก ทอดไม่ทัน โดนด่ายับ แทบจะร้องไห้ครับ แต่ยังดีที่บางวัน Briley ยืนสเตชั่นข้างๆก็จะมาช่วยผมทำ ช่วงเดือนแรกที่ทำนั้นบอกเลยว่าค่อนข้างท้อ เคยคิดจะเปลี่ยนงานด้วยซ้ำ ด้วยความที่ไม่เคยทำงานอะไรมาก่อนเลย แล้วต้องมาเจอกับความกดดัน ที่ต้องทำอาหารให้ลูกค้าจริงๆ แล้วการทำงานต้องสื่อสารกับคนอื่นตลอดเวลา เพราะบางเมนูต้องใช้มากกว่า 1 สเตชั่น หรือบางทีมีออร์เดอร์แปลกๆเข้ามา ทั้งครัวก็ต้องทำงานร่วมกัน ทำแข่งกับเวลา ทำให้ได้มาตรฐานของร้าน การจะปล่อยอาหารเสิร์ฟแต่ละครั้งนอกจากอาหารจะต้องดูดีแล้ว อาหารจะต้องออกพร้อมกันสำหรับทุกคนบนโต๊ะ ถ้าสเตชั่นนึงช้าไป ทำอาหารไม่ทัน อาหารโต๊ะนั้นจะไม่ได้เสิร์ฟ เมเนเจอร์ก็จะเร่งสเตชั่นนั้นๆ ซึ่งผมเนี่ยโดนตลอด ยิ่งโดย Brandon ตะโกนดังมาก เร่งตลอด จานนี้อีกกี่นาที จานนี้จะได้รึยัง ซึ่งผมก็ต้องตอบครับ 30วิ 1 นาทีอะไรก็ว่ากันไป ถ้าไม่ตอบโดนด่าครับ ยิ่งวันไหนลูกค้าเยอะยิ่งกดดัน มีวันนึงที่Brandonถึงกับเรียกออกไปคุย เวลาที่เค้าเรียกออกไปคุยถึงปัญหาใดๆ ถ้าเราคุยกัน เคลียร์กันจบตรงนั้น เรื่องก็จะจบตรงนั้นเลยครับ กลับมาทำงานด้วยกันต่อได้ปกติ
พอเข้าช่วงเดือนที่สองนี่ผมก็เริ่มปรับตัวได้ ความเครียดจากช่วงเดือนแรกลดลงไปเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่บ้างช่วง Weekend ครัวแทบแตก555555 ทุกคนจะหัวร้อนมาก มีด่ากันหรือโยนของใส่กันบ้าง แล้วเพลงที่เปิดในครัวจะเป็นเพลงแบบจังหวะหนักๆ เพลงฮิปฮอป อย่าง Hardaway นี่เปิดบ่อยมาก กระตุ้นอดรินาลีนเวลาทำงาน
อย่าพึ่งตกใจไปครับ คนทำอาหารมีแต่ผู้ชายในช่วงอายุวัยรุ่น ทำงานด้วยกันก็จะเถื่อนๆหน่อย แต่คนที่นี่คืออะไรเกิดในครัวก็คือจบแค่นั้น หลังเลิกงานก็เป็นเพื่อนกันปกติ สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในครัวนี้คือทุกคนนิสัยดี อยู่ด้วยแล้วสนุก ชวนผมคุยตลอดตั้งแต่วันแรกๆ บางวันก็มีมาแฮงเอาท์ที่บ้าน วันไหนว่างตรงกันเพื่อนๆพวกนี้ก็จะพาไปเที่ยวครับ สนิทกันหมดครับ ทั้งในครัวและFront
เล่าเรื่องสภาพความเป็นอยู่กันบ้างดีกว่าบ้านที่พวกผมอยู่เนี่ยเป็นเดี่ยวๆที่ติดทะเลเลยจริงๆ วิวสวยมากๆ มีไวไฟ เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจานพร้อม ถือว่าครบครัน ค่าเช่าก็สัปดาห์ละ 100$ต่อวีค ถือว่าโอเคนะ ผมทำงานได้ชั่วโมงละ 10$ ทำอาทิตย์ละประมาณ 32 ชั่วโมง แต่เสียอย่างเดียวอยู่ห่างไกลความเจริญไปหน่อยคือห่างจากที่ทำงานประมาณ 2 ไมล์แล้วต้องปั่นจักรยานไป ฟังดูแล้วเหมือนมันจะไม่ค่อยไกลแต่ขอเตือนไว้เลยว่าเหนื่อยสุดๆอาจจะเพราะด้วยความที่อากาศร้อนด้วยมั้ง(อากาศเหมือนไทยเลย) ช่วงแรกก็พอฝืนทนปั่นไปแต่พอช่วงเริ่มได้งาน 2 นี้แหละผมไม่ไหวละเลยจัดการเช่า scooter แทนซะเลยใช้เงินแก้ปัญหาไปอีก5555
ผมเริ่มหางาน 2 ตอนช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมประมาณหนึ่งเดือนหลังมาถึง เตือนไว้ก่อนว่าสำหรับคนที่มาเน้นหาเงิน ควรจะรีบหาตั้งแต่มาถึงเลยเนื่องจากงานเต็มเร็วมากๆแล้วระยะทางจะไกลขึ้นเรื่อยๆสำหรับผมกว่าจะได้งาน2 ก็เสียเวลาพอสมควรเหมือนกัน งาน2ที่ได้คือเป็นร้านกิฟต์ชอปแต่ผมได้ไปทำโซนขนมหวาน
ซึ่งก็เหมือนต้องมาฝึกงานใหม่เพราะนอกจากต้องทำหน้าที่แคชเชียร์แล้วผมต้องคอยตักไอติม ทำมิลค์เชค ทำฮอตดอค ทำปอปคอร์น ทำขนมสายไหมด้วย เรียกว่าต้องเชี่ยวชาญทั้งคาวและหวานกันเลยทีเดียว ซึ่งผมชอบงานนี้มากเนื่องจากเพื่อนร่วมงานนิสัยดีมากๆ งานแรกเพื่อนร่วมงานในครัวมีแต่ผู้ชาย แต่งานนี้มีแต่ผู้หญิง(เป็นรุ่นแม่นะส่วนใหญ่) ซึ่งเพื่อนร่วมงานคนโปรดของผมชื่อ Deidra หรือที่เรียก mama DD อายุ 70 กว่าแล้วครับ แต่ยังActiveอยู่เลย เจ๊แกเป็นคนตลกมากๆชอบสรรหาเรื่องแปลกทำได้ตลอด หัวเราะไม่เคยหยุดเลยเวลาทำงานด้วยกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมว่าผมโชคดีกว่าคนอื่นคือทั้งงาน 1 และ งาน 2 ทำในโซนอาหารทั้งคู่ก็เลยได้กินของฟรีอยู่บ่อยๆ ประหยัดค่าอาหารได้บาน แล้วด้วยความที่วอลมาร์ทอยู่ไกลบ้านมากๆ ต้องเรียกแทกซี่มารับ ทุกครั้งที่จะไปก็เลยยิ่งรู้สึกดีไปอีกเวลาไม่ต้องซื้อเสบียงมาเติมเท่าไร ส่วนเรื่องเงินที่ได้นั้นบอกเลยว่าอย่าหวังมากนัก เนื่องจากผมเป็นคนประหยัดสุดไม่ค่อยซื้อของกินเน้นของฟรีเป็นหลัก55555 ก็ยังได้แค่ประมาณ 5,000$ เท่านั้นเอง
สิ่งที่ผมคิดว่าได้เยอะสุดๆเลยก็คือเรื่องประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ ทำงานที่ไม่เคยทำในสภาพแวดล้อมใหม่ ต่างที่ต่างวัฒนธรรม ได้ทำงานที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ทำ ใช้ภาษาที่ไม่เคยใช้ ถ้าใครอยากฝึกภาษาจริงๆก็ทำงานในครัวนี่ช่วยได้เยอะมากๆจริงๆ เพราะคุณต้องคอยฟังและโต้ตอบตลอดเวลาเพราะถ้าคุณเงียบคุณก็จะโดนด่า ได้เพื่อนใหม่จากการทำงาน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะมาก บอกเลยว่านี่แหละทำให้ผมรู้สึกคุ้มมากๆที่ได้มา
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้