จุดเริ่มต้นของทริปเกิดจากการได้มาเขื่อนรัชประภาแบบ One Day Trip เมื่อหลายปีก่อน เลยรู้สึกว่าที่นี้เหมาะกับการมาชาร์จแบทให้ตัวเองมากๆ ต้องหาโอกาสมาพักผ่อนอีกครั้งให้ได้
ก่อนทริปนี้จะเริ่ม ทำการบ้านมานานพอสมควร เพราะเราแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย มีเพื่อนแนะนำที่พัก "แพคีรีวาริน" ว่าดีงาม เลยปรึกษากับเเพื่อนๆ และสรุปตกลงพักกันที่นี้ เราจองแพคเกจที่พักที่งานไทยเที่ยวไทย โดยจ่าย 1,000 บาท เพื่อจองสิทธิราคาพิเศษในงาน จากนั้นค่อยไปจองตั๋วเครื่องบินในช่วงที่มีโปรโมชั่นดีๆ โดยแพคเกจที่พักมีหลากหลายรูปแบบหลากหลายราคา เราเลือกแพคเกจ 3 วัน 2 คืน ราคารวมค่ารถรับส่งสนามบิน-เขื่อนฯ ค่าเรือรับส่งเขื่อน-แพฯ ค่าอาหาร 6 มื้อ กิจกรรมต่างๆ และค่าประกันภัย ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก นอกจากจะไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่แพฯ
ก่อนเดินทางก็แอบกังวล เพราะบังเอิญไปเจอรีวิวที่พักว่าบริการไม่ดี แต่ก็พยายามไม่สนใจอะไรมาก เพราะคิดว่าการที่เพื่อนมาแนะนำ มันจะต้องโอเคประมาณหนึ่งแหละ ไม่งั้นเพื่อนคงไม่มาแนะนำขนาดนี้ นอกจากจะกังวลเรื่องการบริการแล้ว ยังกังวลเรื่องฟ้าฝนอีกด้วย
วันเดินทาง.... 22 กันยายน 2561 :
ถึงสนามบินสุราษฏร์ธานี ก็มีรถมารับไปที่เขื่อน เป็น private car สามารถแวะซื้อขนม ข้าวของก่อนเจ้าแพได้ พี่ป้อมโชเฟอร์ใจดี ดูแลตลอดการเดินทาง รถนั่งสบายเป็น Hundai H-1 พี่ป้อมพาแวะดูจุดชมวิวเขื่อนก่อน พาไปขึ้นเรือ แถมยังคอยประสานงานกับคุณแจงเรื่องเรือให้ด้วย เพราะพวกเรามาถึงสนามบินก็ 11 โมงกว่า ก็จะไม่ทันเรือเข้าแพรอบ 11:00-12:00 ซึ่งอันนี้ตอนเราจองตั๋วเครื่องบินก็ไม่รู้ว่ามีเรือเป็นรอบๆ 😅 เพราะฉะนั้นเรือที่จะพาเราเข้าแพฯ จะเป็นเรือ private ราคาอยู่ที่ 2,300 บาท
พี่ป้อมพาพวกเรามาชมวิวเขื่อนกันก่อน
เมื่อถึงจุดขึ้นเรือ เราก็โทรติดต่อคุณแจงที่ ซึ่งรออยู่ที่ท่าเรือพร้อมพาพวกเราก็ไปขึ้นเรือได้เลย ไม่ต้องติดต่อ จนท. อุทยาน เพราะแพคีรีวารินดำเนินการให้หมดแล้ว
ขึ้นเรือนั่งเรือเข้าไปได้ซักครึ่งชั่วโมง สัญญาณโทรศัพท์ก็จะไม่มีละ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ภูเขาและสายน้ำล้วนๆ น้องกัปตันเรือพาพวกเราไปดู Landmark ของเขื่อนเชี่ยวหลานกันก่อน นั่นคือ เขาสามเกลอ ที่วันนี้เหลือแค่ครึ่งเดียว 😂 เพราะน้ำในเขื่อนตอนนี้สูงมากๆๆๆ เรือจะจอดให้พวกเราถ่ายรูปกันก่อนและพาเดินทางต่อไปที่พักของเรา
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางมาถึง ‘แพคีรีวาริน’ ที่พักของเราในทริปนี้ พนักงานทุกๆ คนต้อนรับและดูแลดีมากๆ จัดการดูแลทุกอย่างเป็นอย่างดี รีบเสิร์ฟอาหารกลางวัน เพราะรู้ว่าพวกเราหิวกันแล้ว 5555 อาหารที่นี้จัดเป็น set menu ให้ มีกับข้าว 5 อย่าง แต่เติมได้เรื่อยๆ รสชาติอาหารก็เหมือนกินรสมื้อชาวบ้าน เหมือนมีผู้ใหญ่มาทำให้กิน เมื่อกินอิ่มแล้วก็ไปที่ห้องพักกัน
ถึงแล้ว "แพคีรีวาริน"
อาหารมื้อแรกเมื่อมาถึง (เป็นรีวิวที่ไม่ค่อยได้ถ่ายมื้ออาหาร เพราะเจออาหารปุ๊ป กินทันที ฮ่าๆ)
ทริปนี้มากัน 5 คน นอนชั้นล่าง 2 คน ชั้นบน 3 คน มีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง ชั้นล่างกว้างขวาง นอนสบาย ชั้นสองเพดานจะเตี้ยหน่อย เหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ 555 สภาพบ้านพักเป็นตามภาพที่เห็นในสื่อต่างๆ ห้องน้ำสะอาดเรียบร้อย ไฟฟ้าทั้งบ้านใช้พลังงานาจากแสงอาทิตย์ เป็นห้องพัดลม มีน้ำดื่มให้ มี amenity ให้ตามมาตรฐาน หน้าบ้านจะมีระเบียงให้นอนชิล บ้านแต่ละหลังจะมีเรือคายัคผูกไว้ให้บ้านละ 1 ลำ มีเสื้อชูชีพให้พร้อม แต่ไม้พายต้องยืมที่ Lobby มีค่ามัดจำไม้ละ 500 บาท
วิวจากห้องพัก ((ตอนฝนยังไม่ตก))
15:00 ที่แพจัดเรือพาไปน้ำตกนางหอย ที่อยู่ไม่ไกลจากแพมากนัก ตอนแรกก็งงๆว่าในเขื่อนจะเป็นน้ำตกแบบไหนกัน ไปถึงนึกว่าจะเล็กๆ ป่าวเลยจ้า สูงประมาณหนึ่ง น้ำเย็นมากกกก ฟินสุดๆ ไปเลย
กลับจากน้ำตกก็มาเล่นน้ำที่แพกันต่อ ที่นี้ห้ามเล่นน้ำเวลา 18:00-06:00 และต้องสวมเสื้อชูชีพทุกครั้งที่เล่นน้ำและพายเรือ
ฝนตกแล้วบรรยากาศก็ดีไปอีกแบบ
19:00 อาหารมื้อค่ำ กับข้าว 5 อย่าง มีเครื่องดื่ม cocktail จำหน่ายด้วย ปรุงโดยบาร์เทนเดอร์พี่โก้ ผู้ที่เชียร์แขกเก่งมากๆ พนักงานยังคงดูแลพวกเราดีเหมือนเดิม ไข่เจียวเติมได้เรื่อยๆ 555 เติมจนเขิน
และที่แพก็มีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เลยเพิ่งรู้ว่ามีแพในเครืออีกทีนึง คือ แพคีรีธารา จะอยู่ต้นๆ เขื่อนหน่อย และยังมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่ 5555
ตกดึกมืดไปทั่วทั้งเขื่อน แถมฝนตกอีกต่างหาก เตรียมนอนเลย ไม่ต้องทำอะไรมาก 555 อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว
วันที่ 2 ของทริป 23 กันยายน 2561 -
06:30
โปรแกรมของแพในเช้าวันนี้ คือ พาไปส่องสัตว์ยามเช้า และชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ด้วยความที่น้ำขึ้นสูงมากๆๆ เลยไม่เจอสัตว์อะไรเลย 5555
ไปไม่นานก็กลับมากินอาหารเช้ากันจนอิ่ม จริงๆ วันนี้ต้องไปจมวิวที่เขา แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ฝนตกหนัก กรมอุทยานเลยปักธงแดงที่จุดเดินขึ้นเขาว่าอันตราย เลยอดชมวิวสวยๆ เลย สรุปวันที่ 2 คือ นอน+กิน+เล่นน้ำ ทั้งวัน
บรรยากาศตอนเช้ามันช่างดีจริงๆ
17:00 ไปแพปลา คือ มีแพที่เลี้ยงอยู่ลึกๆ ในเขื่อน แถมมีแมวด้วย 😽
วันที่ 3 ของทริป 24 กันยายน 2561 -
กินอาหารเช้า เตรียมตัว checkout ตอน 09:00 และเตรียมตัวออกจากเขื่อน ตอนนี้เราจะกลับพนักงานก็ยังคงดูแลพวกเราดีเหมือนเดิม มีบูมส่งลูกค้าด้วย 5555
เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว พี่ป้อมโชเฟอร์คนเดิมก็มารับพวกเรา ซึ่งจริงๆ แล้วพี่เขาจะต้องไปส่งพวกเราที่สนามบิน แต่ด้วยความทีเวลาเหลือเยอะ พวกเราเลยตัดสินใจเช่ารถพี่ป้อมต่อ ให้พาไปสถานที่ท่องเที่ยวของสุราษฎร์ฯ กินอาหารทะเล พระบรมธาตุไชยา สวนโมกข์ฯ และพามาส่งที่สนามบิน ในราคา 2,000 บาท ซึ่งจัดว่าคุ้มค่ามาก เพราะร้าน “พลับพลาซีฟู้ด” ที่ไปนั้น อาหารอร่อยทุกอย่างงงง กรรเชียงปูคือหวาน อร่อย เนื้อแน่นสุดๆ หอยนางรมตัวใหญ่สุดๆ ไปเลย สั่งหลายอย่าง ไม่ผิดหวังสักอย่างเลย 👍🏼
One Day Trip ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จบลง ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน
ค่าใช้จ่ายทั้งทริป
แพคเกจที่พัก 4,790 บาท/คน
ค่าเรือ private 2,300 บาท/ลำ (387 บาท/คน)
ค่าเช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวในจังหวัด 2,000 บาท/ทริป (400 บาท/คน)
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ 1,645 บาท/คน
พลับพลาซีฟู้ด 3,075 บาท/โต๊ะ (615 บาท/คน)
จิปาถะขนมอื่นๆ ไม่เกิน 1,000 บาท/คน
รวม 8,837 บาท/คน (โดยประมาณ)
โดยรวมของทริปนี้ "ดี" กว่าที่คิดไว้มากๆ ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกพักที่ "แพคีรีวาริน" ทั้งการบริการจากพนักงานทุกคน ทั้งฝั่งบก ฝั่งแพ ที่เอาใจใส่ลูกค้าเสมอ สิ่งอำนวยความสะดวกในแพ ในพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไร้ซึ่งไฟฟ้า น้ำประปา สัญญาณโทรศัพท์ทุกชนิด การที่ทำได้ขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ถ้ามีโอกาสจะกลับไปพักผ่อนที่นี้อีกแน่นอน และถ้าหากผู้เกี่ยวข้องผ่านมาอ่าน ขอให้รักษามาตรฐานที่ดีๆ ของตัวเอง และพัฒนาให้ดีๆ อีกยื่งๆ ขึ้นไปนะคะ
ทริป Social Detox ทำให้เรารู้ว่าในวัน 1 วัน พวกเรามีเวลาเยอะมากๆ เราควรจะทำเวลาทุกนาทีของเราให้มีค่า มีประโยชน์ มากกว่าการใช้เวลาไปกับโลก Social การได้ใช้เวลาไปกับเพื่อน คนสำคัญ อย่างคุ้มค่า ช่างเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุขมากจริงๆ
รักนะ เขื่อนรัชประภา รักนะ แพคีรีวาริน
Arr. By Be*Ja*Ko* Group
Photo by Be*Ja*Ko Group
[CR] Social Detox ที่ "แพคีรีวาริน" เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี
ก่อนทริปนี้จะเริ่ม ทำการบ้านมานานพอสมควร เพราะเราแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย มีเพื่อนแนะนำที่พัก "แพคีรีวาริน" ว่าดีงาม เลยปรึกษากับเเพื่อนๆ และสรุปตกลงพักกันที่นี้ เราจองแพคเกจที่พักที่งานไทยเที่ยวไทย โดยจ่าย 1,000 บาท เพื่อจองสิทธิราคาพิเศษในงาน จากนั้นค่อยไปจองตั๋วเครื่องบินในช่วงที่มีโปรโมชั่นดีๆ โดยแพคเกจที่พักมีหลากหลายรูปแบบหลากหลายราคา เราเลือกแพคเกจ 3 วัน 2 คืน ราคารวมค่ารถรับส่งสนามบิน-เขื่อนฯ ค่าเรือรับส่งเขื่อน-แพฯ ค่าอาหาร 6 มื้อ กิจกรรมต่างๆ และค่าประกันภัย ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก นอกจากจะไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่แพฯ
ก่อนเดินทางก็แอบกังวล เพราะบังเอิญไปเจอรีวิวที่พักว่าบริการไม่ดี แต่ก็พยายามไม่สนใจอะไรมาก เพราะคิดว่าการที่เพื่อนมาแนะนำ มันจะต้องโอเคประมาณหนึ่งแหละ ไม่งั้นเพื่อนคงไม่มาแนะนำขนาดนี้ นอกจากจะกังวลเรื่องการบริการแล้ว ยังกังวลเรื่องฟ้าฝนอีกด้วย
วันเดินทาง.... 22 กันยายน 2561 :
ถึงสนามบินสุราษฏร์ธานี ก็มีรถมารับไปที่เขื่อน เป็น private car สามารถแวะซื้อขนม ข้าวของก่อนเจ้าแพได้ พี่ป้อมโชเฟอร์ใจดี ดูแลตลอดการเดินทาง รถนั่งสบายเป็น Hundai H-1 พี่ป้อมพาแวะดูจุดชมวิวเขื่อนก่อน พาไปขึ้นเรือ แถมยังคอยประสานงานกับคุณแจงเรื่องเรือให้ด้วย เพราะพวกเรามาถึงสนามบินก็ 11 โมงกว่า ก็จะไม่ทันเรือเข้าแพรอบ 11:00-12:00 ซึ่งอันนี้ตอนเราจองตั๋วเครื่องบินก็ไม่รู้ว่ามีเรือเป็นรอบๆ 😅 เพราะฉะนั้นเรือที่จะพาเราเข้าแพฯ จะเป็นเรือ private ราคาอยู่ที่ 2,300 บาท
เมื่อถึงจุดขึ้นเรือ เราก็โทรติดต่อคุณแจงที่ ซึ่งรออยู่ที่ท่าเรือพร้อมพาพวกเราก็ไปขึ้นเรือได้เลย ไม่ต้องติดต่อ จนท. อุทยาน เพราะแพคีรีวารินดำเนินการให้หมดแล้ว
ขึ้นเรือนั่งเรือเข้าไปได้ซักครึ่งชั่วโมง สัญญาณโทรศัพท์ก็จะไม่มีละ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ภูเขาและสายน้ำล้วนๆ น้องกัปตันเรือพาพวกเราไปดู Landmark ของเขื่อนเชี่ยวหลานกันก่อน นั่นคือ เขาสามเกลอ ที่วันนี้เหลือแค่ครึ่งเดียว 😂 เพราะน้ำในเขื่อนตอนนี้สูงมากๆๆๆ เรือจะจอดให้พวกเราถ่ายรูปกันก่อนและพาเดินทางต่อไปที่พักของเรา
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางมาถึง ‘แพคีรีวาริน’ ที่พักของเราในทริปนี้ พนักงานทุกๆ คนต้อนรับและดูแลดีมากๆ จัดการดูแลทุกอย่างเป็นอย่างดี รีบเสิร์ฟอาหารกลางวัน เพราะรู้ว่าพวกเราหิวกันแล้ว 5555 อาหารที่นี้จัดเป็น set menu ให้ มีกับข้าว 5 อย่าง แต่เติมได้เรื่อยๆ รสชาติอาหารก็เหมือนกินรสมื้อชาวบ้าน เหมือนมีผู้ใหญ่มาทำให้กิน เมื่อกินอิ่มแล้วก็ไปที่ห้องพักกัน
ทริปนี้มากัน 5 คน นอนชั้นล่าง 2 คน ชั้นบน 3 คน มีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง ชั้นล่างกว้างขวาง นอนสบาย ชั้นสองเพดานจะเตี้ยหน่อย เหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ 555 สภาพบ้านพักเป็นตามภาพที่เห็นในสื่อต่างๆ ห้องน้ำสะอาดเรียบร้อย ไฟฟ้าทั้งบ้านใช้พลังงานาจากแสงอาทิตย์ เป็นห้องพัดลม มีน้ำดื่มให้ มี amenity ให้ตามมาตรฐาน หน้าบ้านจะมีระเบียงให้นอนชิล บ้านแต่ละหลังจะมีเรือคายัคผูกไว้ให้บ้านละ 1 ลำ มีเสื้อชูชีพให้พร้อม แต่ไม้พายต้องยืมที่ Lobby มีค่ามัดจำไม้ละ 500 บาท
วิวจากห้องพัก ((ตอนฝนยังไม่ตก))
15:00 ที่แพจัดเรือพาไปน้ำตกนางหอย ที่อยู่ไม่ไกลจากแพมากนัก ตอนแรกก็งงๆว่าในเขื่อนจะเป็นน้ำตกแบบไหนกัน ไปถึงนึกว่าจะเล็กๆ ป่าวเลยจ้า สูงประมาณหนึ่ง น้ำเย็นมากกกก ฟินสุดๆ ไปเลย
19:00 อาหารมื้อค่ำ กับข้าว 5 อย่าง มีเครื่องดื่ม cocktail จำหน่ายด้วย ปรุงโดยบาร์เทนเดอร์พี่โก้ ผู้ที่เชียร์แขกเก่งมากๆ พนักงานยังคงดูแลพวกเราดีเหมือนเดิม ไข่เจียวเติมได้เรื่อยๆ 555 เติมจนเขิน และที่แพก็มีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เลยเพิ่งรู้ว่ามีแพในเครืออีกทีนึง คือ แพคีรีธารา จะอยู่ต้นๆ เขื่อนหน่อย และยังมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่ 5555
ตกดึกมืดไปทั่วทั้งเขื่อน แถมฝนตกอีกต่างหาก เตรียมนอนเลย ไม่ต้องทำอะไรมาก 555 อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว
วันที่ 2 ของทริป 23 กันยายน 2561 -
06:30 โปรแกรมของแพในเช้าวันนี้ คือ พาไปส่องสัตว์ยามเช้า และชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ด้วยความที่น้ำขึ้นสูงมากๆๆ เลยไม่เจอสัตว์อะไรเลย 5555 ไปไม่นานก็กลับมากินอาหารเช้ากันจนอิ่ม จริงๆ วันนี้ต้องไปจมวิวที่เขา แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ฝนตกหนัก กรมอุทยานเลยปักธงแดงที่จุดเดินขึ้นเขาว่าอันตราย เลยอดชมวิวสวยๆ เลย สรุปวันที่ 2 คือ นอน+กิน+เล่นน้ำ ทั้งวัน
บรรยากาศตอนเช้ามันช่างดีจริงๆ
17:00 ไปแพปลา คือ มีแพที่เลี้ยงอยู่ลึกๆ ในเขื่อน แถมมีแมวด้วย 😽
วันที่ 3 ของทริป 24 กันยายน 2561 -
กินอาหารเช้า เตรียมตัว checkout ตอน 09:00 และเตรียมตัวออกจากเขื่อน ตอนนี้เราจะกลับพนักงานก็ยังคงดูแลพวกเราดีเหมือนเดิม มีบูมส่งลูกค้าด้วย 5555
เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว พี่ป้อมโชเฟอร์คนเดิมก็มารับพวกเรา ซึ่งจริงๆ แล้วพี่เขาจะต้องไปส่งพวกเราที่สนามบิน แต่ด้วยความทีเวลาเหลือเยอะ พวกเราเลยตัดสินใจเช่ารถพี่ป้อมต่อ ให้พาไปสถานที่ท่องเที่ยวของสุราษฎร์ฯ กินอาหารทะเล พระบรมธาตุไชยา สวนโมกข์ฯ และพามาส่งที่สนามบิน ในราคา 2,000 บาท ซึ่งจัดว่าคุ้มค่ามาก เพราะร้าน “พลับพลาซีฟู้ด” ที่ไปนั้น อาหารอร่อยทุกอย่างงงง กรรเชียงปูคือหวาน อร่อย เนื้อแน่นสุดๆ หอยนางรมตัวใหญ่สุดๆ ไปเลย สั่งหลายอย่าง ไม่ผิดหวังสักอย่างเลย 👍🏼
One Day Trip ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จบลง ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน
ค่าใช้จ่ายทั้งทริป
แพคเกจที่พัก 4,790 บาท/คน
ค่าเรือ private 2,300 บาท/ลำ (387 บาท/คน)
ค่าเช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวในจังหวัด 2,000 บาท/ทริป (400 บาท/คน)
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ 1,645 บาท/คน
พลับพลาซีฟู้ด 3,075 บาท/โต๊ะ (615 บาท/คน)
จิปาถะขนมอื่นๆ ไม่เกิน 1,000 บาท/คน
รวม 8,837 บาท/คน (โดยประมาณ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น