ตอนที่ 1
หวานเดินมาตามทางยาวบนฟุตบาทริมถนนในตอนเช้าด้วยความเร่งรีบ วันนี้เป็นวันอะไรกันแน่นะถึงรถติดกันมหึมาขนาดนี้ เมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วใจก็แทบหล่นไปที่ตาตุ่มนี่มันจะแปดโมงครึ่งแล้วสินะ โถ!! ยัยหวานเอ๋ย ชีวิตช่างน่ารันทดจริงๆ สถิติการขาดลามาสายในวันนี้จะต้องถูกดูดกลืนไปเป็นแน่ ค่าเบี้ยขยันของฉัน สูญมลายลงไปในพริบตา
“ยัยหวาน”
เสียงของ นฤมล หรือ ช่อ เพื่อนสนิทของหวานเรียกขึ้นเมื่อสาวร่างท้วมออกไปทางอ้วนเดินเข้ามาภายในออฟฟิศ หวานที่เหงื่อโทรมกายนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานของตนเองด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“ไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวถึงเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนี้”
“ก็รีบวิ่งมาสิยะ ยัยช่อ”
“แกไปแข่งวิ่งที่ไหนมา หรือไปแอบวิ่งช่วยชาติแบบพี่ตูนมา”
ช่อแอบหัวเราะเบาๆ หวานถอนลมหายใจ
“จะบ้าหรอ กว่าฉันจะได้หุ่นแบบนี้มาได้ ฉันหมดเงินไปเท่าไหร่เรื่องอะไรฉันจะไปวิ่งให้เหนื่อย”
สองสาวหันมาหัวเราะให้กัน
“เบาๆหน่อยสิจ๊ะ”
เสียงของ พัชนก ดังขึ้นสองสาวหันมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวอีกคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้ายืนอยู่
“นี่มันเวลาทำงานนะจ้ะ ไม่ใช่เวลามานั่งเม้ามอย หอยโข่ง หอยขม”
“หวาน ฉันว่าเราหันไปทำงานต่อกันดีกว่า เจ้าของบริษัทเขามาตรวจงานแล้วเดี๋ยวจะโดนไล่ออก”
ช่อหันมาทางหวาน สองสาวเป็นอันรู้กันว่า พัชนก เป็นคนอย่างไร ถึงแม้จะรู้ๆกันดีว่าพัชนกเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เจ้านงเจ้านายแต่อย่างไร
“นี่เธอสองคนประชดฉันหรอ”
พัชนก ตาวาวตวาดเสียงใส่ด้วยความโกรธ
“อ้าว ก็เธอทำตัวเป็นเจ้านาย เจ้ากี้เจ้าการคนโน้นคนนี้ เที่ยวเดินสอดส่องไปทั่ว แล้วจะไม่ให้คนในออฟฟิศเข้าพูดหรอว่าเธอไม่ใช่เจ้านายก็เหมือนเจ้านาย”
“หลอกด่ากันชัดๆ”
พัชนกแทบเต้นๆเร้าๆ เมื่อช่อกระแทกเสียงใส่
“คอยดูฉันจะบอกบอสว่าเธอสองคนอู้งาน มาสาย วันๆเอาแต่นินทาคนอื่น”
“นี่ นก เธอจะหยุดพล่ามได้หรือยัง”
“ฉันไม่หยุด เพราะฉันพูดตามความจริง”
สายตาของคนในออฟฟิศต่างก็หันมามองทางสามสาวเป็นสายตาเดียวกัน พัชนกไม่ยอมหยุด
ช่อกับหวานมองสาวตรงหน้าแบบเอือมระอา สายตาของทุกคน หากเดาไม่ผิด ก็เอือมความระอา
อิดหนาระอาใจกับพัชนกเหมือนกัน
“ฉันว่าเธอเอาเวลาไปทำงานดีกว่าเอาเวลามานั่งสอดส่องคนอื่นเขานะ”
“นี่ยัยหวานแกมายุ่งอะไรด้วย”
“จะไม่ให้ฉันยุ่งนะหรอ โน โน โน ย่ะ ที่ฉันต้องยุ่งนะก็เพราะเธอกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเขานะสิจ๊ะ นี่เธอไม่เคยรู้ตัวบ้างเลยหรือไงว่า
ใครหลายคนในออฟฟิศเขาเบื่อ เขารำคาน ทนกับพฤติกรรมความมีสาระ แน ของเธอไม่ไหวแล้ว”
หวานตะคอกลุกฮือขึ้นมา มองด้วยความโกรธ ไทยมุงหลายคนต่างก็มองเป็นสายตาเดียวกัน บางคนแอบเชียร์ในใจ บางคนแอบเชียร์กันสองสามคน
อยากให้ยัยพัชนกโดนตบสักเปรี้ยงจริงๆ ช่อลุกห้ามกลัวเกิดเรื่อง พัชนกเสียเปรียบ คิดว่าสองรุมหนึ่งได้แต่ชี้หน้าเต้นเร้าๆเป็นเจ้าเข้า
“แกสองคนจะรุมฉันหรอ นังช้างน้ำ”
คำว่าช้างน้ำ สะกิดความโกรธที่แล่นผ่านเข้ามาในความรู้สึกของเธออย่างจริงใจ หวานไม่ชอบให้ใครมาเรียกเธอว่าช้างน้ำ
ไม่ชอบคือไม่ชอบ!
“โถ่ ไม่ไหวแล้วโว้ย แกสวยตายน่ะสิ นังไม้เสียบผี ไม่ได้ผีธรรมดานะ”
พัชนกเต้นเร้าๆหนักกว่าเดิม
“ผีเปรต” คำว่าผีเปรตดังสนั่น จนหลายคนที่แอบดูการปะทะศึกครั้งนี้แอบหัวเราะ แกมสะใจ
“นังหวาน นังช้างกระทืบโลง อีอ้วน อีพังผืดติดตัว อีเบาหวาน”
ผรุสวาท อีกหลายคำที่หลุดออกมาจากปากของพัชนก ต่างก็เป็นคำด่าที่สะเทือนใจเพราะเป็นการเอาปมด้อยของหวานออกมาด่า และแล้วความโกรธก็ขาดพึ่งลง เมื่อถึงขั้นหนักหน่วงของหวานซัดเข้าใส่ที่เบ้าหน้าของฝ่ายตรงข้าม น็อกกลางอากาศ
พัชนกน็อกกลางอากาศ!!
ร่างของเธอล้มลงไปนอนสลบไม่ได้สติ ภาพทุกภาพถูกตัดไปหลังจากนี้
………………………………………………………………………………………………………………
“แกว่าอย่างไรนะ ยัยหวาน”
เสียงของมารดาพูดเสียงดัง เมื่อหวานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“เรื่องทุกอย่าง มันก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะแม่”
มารดาที่เพิ่งเก็บข้าวของจากการปิดร้านขายอาหารตามสั่งเสร็จนั่งลงอย่างเหนื่อยใจ
“หวาน” น้ำเสียงของแม่อ่อนลง
ดวงตาแดงๆไม่ปรากฏน้ำตาไหลออกมา อาจจะเป็นเพราะเธอเข้มแข็งกว่าที่คิด
แหวว เป็นหญิงสู้ชีวิต
แกร่ง อดทน
เลี้ยงดูบุตรสาวเพียงคนเดียวมาตั้งแต่บิดาของหวาน โดนโจรฆ่าตายไปตั้งแต่หวานลืมตาดูโลกได้ไม่นาน
“แล้วเขาเอาเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมตอนทำไม่คิด”
“แค่ปากแตก ดั้งเบี้ยว เท่านั้นหละค่ะแม่ นอกนั้นหมอบอกว่าครบปกติสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด”
“โล่งใจไปที” แหววผ่อนลมหายใจออกมา
“ทีหน้าทีหลังก็อย่าไปมีเรื่องกับเขาอีกนะลูก เลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลีกได้ก็หลีก อย่าเอาตัวเราเข้าไปเดือดร้อน”
“แม่ แม่ก็รู้อยู่ว่าสมัยนี้นะคะ บางทีเราก็นั่งอยู่เฉยๆเรื่องก็เดินเข้ามาหาเราเองทั้งๆที่เราอยู่ของเราดีๆ”
“ก็นั่นแหละ ถ้าเรื่องมันเดินเข้ามาหาเรา เราก็หนีมันซะ”
หวานได้แต่บุ้ยหน้า มารดาลูบหัวลูกสาวร่างท้วมด้วยความรัก
“แม่มีเราคนเดียวนะ เกิดหวานเป็นอะไรขึ้นมาแล้วแม่จะอยู่อย่างไร”
หวานซุกอ้อมอกของมาดาด้วยความรัก
อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่กับมารดา
มารดาของเธอประเสริฐสุด
เป็นผู้หญิงที่น่านับถือ
หากขาดมารดาไป เธอก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“จำคำที่แม่สอนเอาไว้นะลูก”
แหววมองหน้าลูกสาว
“ใครจะด่า จะว่าเราอย่างไรก็ช่าง กรรมมันอยู่ที่เขาไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เขาจะว่าเราเป็นช้าง เป็นหมู หรืออะไรก็แล้วแต่ จงทำตัวเป็นดั่งหินผาที่ใครจะด่าจะว่าอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน”
หวานซึมซับทุกคำพูดไว้ในใจ จงทำตัวเป็นหิน หิน หิน ไม่สะทกสะท้านเวลาใครด่า แต่แม่มันด่าหวานว่าเบาหวานเลยนะแม่ ได้แต่คิดหากพูดไปโดนแม่ด่าแน่ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………
“นี่เธอ ได้ยินข่าวบ้างหรือเปล่าว่าตรงต้นไทรต้นใหญ่นั่นน่ะมีผีสิง มีไอ้โจรสองคนมันกล้าลองดีมาแอบขโมยชุดไทย ขโมยเงินบริจาค จนเจอดี วิ่งหนี้ป่าราบเลยเชียว”
เสียงสนทนาของแม่ค้าขายพวงมาลัยนางหนึ่งดังขึ้น หล่อนกำลังสนทนาอย่างออกรสออกชาติกับแม่ค้าอีกนางหนึ่งที่ปากจัดพอๆกัน
หวานไม่ได้ใส่ใจ เธอกำลังคาบหมูปิ้งที่ติดไม้กินอย่างเอร็ดอร่อย โดยเดินผ่านไปหน้าตาเฉยพอผ่านต้นไทรใหญ่ที่แม่ค้าปากตลาดร่ำลือกัน แรงลมก็ปะทะเข้ามาผ่านทางด้านหน้าจนเธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนขนลุกอย่างไงชอบกล
หวานจึงหยุดเดิน ปากยังคงเคี้ยวหมูปิ้งติดมันอย่างอร่อย ได้แต่คิดแต่ไม่ได้ใส่ใจ ณ เวลานั้นคล้ายกับมีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังแว่วๆผ่านเข้ามา
จับใจความไม่ได้ว่าเป็นเสียงเรียกอะไร หวานได้แต่หยุดเดินและหันไปมองทางต้นไทร
แรงลมพัดวูบเข้ามาทางด้านหน้า
เส้นผมของหวานกระจายปกตามใบหน้า
คล้ายมีเสียงร้องเรียกจากมุมไหนมุมหนึ่ง
ณ เวลานั้น หวานตกใจกลัวภาพทุกอย่างมันหมุนคล้ายกับอะไรมาพัดให้เกิดพายุหมุน เสียงเรียกอะไรบางอย่างดังอยู่รอบตัว หวานหันมองรอบๆมันดังมาจาก มาจาก มาจาก
“อีหวาน”
เสียงนั้นดังแจ่มชัด ทำให้หวานหลุดออกจากภวังค์
“ฉันเรียกแกตั้งหลายรอบแล้วนะ แกเป็นอะไรของแกวะ ยืนแข็งทื่อเหมือนโดนผีหลอก”
เสียงนั้นที่ทำให้หวานหลุดออกมาจากภวังค์ได้ก็คือเสียงของช่อนั่นเอง
เวลาต่อมาที่ออฟฟิศ
“แกเป็นอะไรของแกวะหวาน”
“แปลกๆวะแก”
ช่อชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ไม่สบายหรือเปล่าวะแก ไม่สบายลาหยุดได้นะ”
“เปล่า แต่ว่า”
“แต่ว่าอะไรของแกฮะ”
“ฉันมีความรู้สึกแปลกๆหนะสิ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า”
“มันเรื่องอะไรกันแน่วะ ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งงงไปหมดแล้ว จะพูดอะไรก็รีบๆพูดออกมาเหอะ ฉันอยากรู้ใจจะขาดแล้วนะแก”
หวานทำหน้านิ่งๆจะบอกดีไหมหรือจะไม่บอกดี
…………………………………………………………………………………………………………………
วันใหม่
หวานมาทำงานปกติ บรรยากาศภายในที่ทำงานเหมือนคนจะคอยจับตาดูเธอกับนกเป็นพิเศษ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อวันก่อน นกต้องเข้าโรงพยาบาลเจ็บเอาการ แต่ก็เจ็บแค่ที่ใบหน้า สมองไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจนต้องนอนโรงพยาบาล หวานจึงตกเป็นจำเลยของสังคม แต่ก็มีหลายๆคนที่ไม่ชอบหน้านกอยู่แล้วเพราะเธอชอบสาระแน รวมถึงทำตัวเป็นนายคนอื่น ใครหลายต่อหลายคนจึงไม่ชอบหน้านักและยิ่งเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น เชื่อว่าหลายคนในออฟฟิศที่เห็นเหตุการณ์ก็แอบ พอใจที่ยัยจอมจุ้นโดนเล่นงานคืนซะบ้าง
สมน้ำหน้า!
สะใจ!
ทุกคนดีใจ!
แต่ทุกคนเก็บอาการ เพียงเพราะกลัวจะโดนหางเลขไปด้วย หวานเดินดุ่มๆไปตามทางเดิน เวลาเกือบแปดโมงครึ่ง มองดูนาฬิกา อีกห้านาทีเธอจะสายแล้ว มองไปทางลิฟต์ผู้คนต่างก็ต่อแถวขึ้นลิฟต์ยาวเหยียด ลิฟต์มีสามสี่ตัวก็ยังคงไม่เพียงพอ แถมได้ยินมาว่า ลิฟต์เกิดเสียไปหนึ่งตัวจึงทำให้การจราจร
ภายในตึกติดขัด ยิ่งรีบเวลาก็ยิ่งเดินเร็ว เหมือนมันจะรู้ว่าต้องรีบไปทำงาน
คนทยอยกันเข้าไปในลิฟต์ หวานเข้าเป็นคนสุดท้าย
ได้ยินเสียงคนในนั้นไม่รู้ว่าใครพูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางคนในลิฟต์ที่เบียดเสียดกัน
“อัดกันจนจะผสมพันธ์กันอยู่แล้ว”
หวานไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องเข้าไป แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองตัวใหญ่ กว่าจะเบียดเสียดเข้าไปด้านในได้ โชคดีที่ลิฟต์รับน้ำหนักได้ ไม่เกิดสัญญาณส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นเธอคงจะอาย หวานภาวนาให้ถึงที่หมายโดยเร็ว แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ไฟภายในลิฟต์ดับลง ทุกคนตกใจอลเวงละสิ เพราะต่างคนก็ต่างโวยวาย ได้ยินเสียงทุกคนดังระงม เสียงบ่น เสียงด่า จะมาค้างอะไรกันตอนนี้ค้างเวลาทำงาน
นิยายใหม่....เรื่อง สื่อรักสัมผัส...อลเวง เริ่มวันนี้ตอนเเรก
หวานเดินมาตามทางยาวบนฟุตบาทริมถนนในตอนเช้าด้วยความเร่งรีบ วันนี้เป็นวันอะไรกันแน่นะถึงรถติดกันมหึมาขนาดนี้ เมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วใจก็แทบหล่นไปที่ตาตุ่มนี่มันจะแปดโมงครึ่งแล้วสินะ โถ!! ยัยหวานเอ๋ย ชีวิตช่างน่ารันทดจริงๆ สถิติการขาดลามาสายในวันนี้จะต้องถูกดูดกลืนไปเป็นแน่ ค่าเบี้ยขยันของฉัน สูญมลายลงไปในพริบตา
“ยัยหวาน”
เสียงของ นฤมล หรือ ช่อ เพื่อนสนิทของหวานเรียกขึ้นเมื่อสาวร่างท้วมออกไปทางอ้วนเดินเข้ามาภายในออฟฟิศ หวานที่เหงื่อโทรมกายนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานของตนเองด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“ไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวถึงเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนี้”
“ก็รีบวิ่งมาสิยะ ยัยช่อ”
“แกไปแข่งวิ่งที่ไหนมา หรือไปแอบวิ่งช่วยชาติแบบพี่ตูนมา”
ช่อแอบหัวเราะเบาๆ หวานถอนลมหายใจ
“จะบ้าหรอ กว่าฉันจะได้หุ่นแบบนี้มาได้ ฉันหมดเงินไปเท่าไหร่เรื่องอะไรฉันจะไปวิ่งให้เหนื่อย”
สองสาวหันมาหัวเราะให้กัน
“เบาๆหน่อยสิจ๊ะ”
เสียงของ พัชนก ดังขึ้นสองสาวหันมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวอีกคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้ายืนอยู่
“นี่มันเวลาทำงานนะจ้ะ ไม่ใช่เวลามานั่งเม้ามอย หอยโข่ง หอยขม”
“หวาน ฉันว่าเราหันไปทำงานต่อกันดีกว่า เจ้าของบริษัทเขามาตรวจงานแล้วเดี๋ยวจะโดนไล่ออก”
ช่อหันมาทางหวาน สองสาวเป็นอันรู้กันว่า พัชนก เป็นคนอย่างไร ถึงแม้จะรู้ๆกันดีว่าพัชนกเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เจ้านงเจ้านายแต่อย่างไร
“นี่เธอสองคนประชดฉันหรอ”
พัชนก ตาวาวตวาดเสียงใส่ด้วยความโกรธ
“อ้าว ก็เธอทำตัวเป็นเจ้านาย เจ้ากี้เจ้าการคนโน้นคนนี้ เที่ยวเดินสอดส่องไปทั่ว แล้วจะไม่ให้คนในออฟฟิศเข้าพูดหรอว่าเธอไม่ใช่เจ้านายก็เหมือนเจ้านาย”
“หลอกด่ากันชัดๆ”
พัชนกแทบเต้นๆเร้าๆ เมื่อช่อกระแทกเสียงใส่
“คอยดูฉันจะบอกบอสว่าเธอสองคนอู้งาน มาสาย วันๆเอาแต่นินทาคนอื่น”
“นี่ นก เธอจะหยุดพล่ามได้หรือยัง”
“ฉันไม่หยุด เพราะฉันพูดตามความจริง”
สายตาของคนในออฟฟิศต่างก็หันมามองทางสามสาวเป็นสายตาเดียวกัน พัชนกไม่ยอมหยุด
ช่อกับหวานมองสาวตรงหน้าแบบเอือมระอา สายตาของทุกคน หากเดาไม่ผิด ก็เอือมความระอา
อิดหนาระอาใจกับพัชนกเหมือนกัน
“ฉันว่าเธอเอาเวลาไปทำงานดีกว่าเอาเวลามานั่งสอดส่องคนอื่นเขานะ”
“นี่ยัยหวานแกมายุ่งอะไรด้วย”
“จะไม่ให้ฉันยุ่งนะหรอ โน โน โน ย่ะ ที่ฉันต้องยุ่งนะก็เพราะเธอกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเขานะสิจ๊ะ นี่เธอไม่เคยรู้ตัวบ้างเลยหรือไงว่า
ใครหลายคนในออฟฟิศเขาเบื่อ เขารำคาน ทนกับพฤติกรรมความมีสาระ แน ของเธอไม่ไหวแล้ว”
หวานตะคอกลุกฮือขึ้นมา มองด้วยความโกรธ ไทยมุงหลายคนต่างก็มองเป็นสายตาเดียวกัน บางคนแอบเชียร์ในใจ บางคนแอบเชียร์กันสองสามคน
อยากให้ยัยพัชนกโดนตบสักเปรี้ยงจริงๆ ช่อลุกห้ามกลัวเกิดเรื่อง พัชนกเสียเปรียบ คิดว่าสองรุมหนึ่งได้แต่ชี้หน้าเต้นเร้าๆเป็นเจ้าเข้า
“แกสองคนจะรุมฉันหรอ นังช้างน้ำ”
คำว่าช้างน้ำ สะกิดความโกรธที่แล่นผ่านเข้ามาในความรู้สึกของเธออย่างจริงใจ หวานไม่ชอบให้ใครมาเรียกเธอว่าช้างน้ำ
ไม่ชอบคือไม่ชอบ!
“โถ่ ไม่ไหวแล้วโว้ย แกสวยตายน่ะสิ นังไม้เสียบผี ไม่ได้ผีธรรมดานะ”
พัชนกเต้นเร้าๆหนักกว่าเดิม
“ผีเปรต” คำว่าผีเปรตดังสนั่น จนหลายคนที่แอบดูการปะทะศึกครั้งนี้แอบหัวเราะ แกมสะใจ
“นังหวาน นังช้างกระทืบโลง อีอ้วน อีพังผืดติดตัว อีเบาหวาน”
ผรุสวาท อีกหลายคำที่หลุดออกมาจากปากของพัชนก ต่างก็เป็นคำด่าที่สะเทือนใจเพราะเป็นการเอาปมด้อยของหวานออกมาด่า และแล้วความโกรธก็ขาดพึ่งลง เมื่อถึงขั้นหนักหน่วงของหวานซัดเข้าใส่ที่เบ้าหน้าของฝ่ายตรงข้าม น็อกกลางอากาศ
พัชนกน็อกกลางอากาศ!!
ร่างของเธอล้มลงไปนอนสลบไม่ได้สติ ภาพทุกภาพถูกตัดไปหลังจากนี้
………………………………………………………………………………………………………………
“แกว่าอย่างไรนะ ยัยหวาน”
เสียงของมารดาพูดเสียงดัง เมื่อหวานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“เรื่องทุกอย่าง มันก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะแม่”
มารดาที่เพิ่งเก็บข้าวของจากการปิดร้านขายอาหารตามสั่งเสร็จนั่งลงอย่างเหนื่อยใจ
“หวาน” น้ำเสียงของแม่อ่อนลง
ดวงตาแดงๆไม่ปรากฏน้ำตาไหลออกมา อาจจะเป็นเพราะเธอเข้มแข็งกว่าที่คิด
แหวว เป็นหญิงสู้ชีวิต
แกร่ง อดทน
เลี้ยงดูบุตรสาวเพียงคนเดียวมาตั้งแต่บิดาของหวาน โดนโจรฆ่าตายไปตั้งแต่หวานลืมตาดูโลกได้ไม่นาน
“แล้วเขาเอาเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมตอนทำไม่คิด”
“แค่ปากแตก ดั้งเบี้ยว เท่านั้นหละค่ะแม่ นอกนั้นหมอบอกว่าครบปกติสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด”
“โล่งใจไปที” แหววผ่อนลมหายใจออกมา
“ทีหน้าทีหลังก็อย่าไปมีเรื่องกับเขาอีกนะลูก เลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลีกได้ก็หลีก อย่าเอาตัวเราเข้าไปเดือดร้อน”
“แม่ แม่ก็รู้อยู่ว่าสมัยนี้นะคะ บางทีเราก็นั่งอยู่เฉยๆเรื่องก็เดินเข้ามาหาเราเองทั้งๆที่เราอยู่ของเราดีๆ”
“ก็นั่นแหละ ถ้าเรื่องมันเดินเข้ามาหาเรา เราก็หนีมันซะ”
หวานได้แต่บุ้ยหน้า มารดาลูบหัวลูกสาวร่างท้วมด้วยความรัก
“แม่มีเราคนเดียวนะ เกิดหวานเป็นอะไรขึ้นมาแล้วแม่จะอยู่อย่างไร”
หวานซุกอ้อมอกของมาดาด้วยความรัก
อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่กับมารดา
มารดาของเธอประเสริฐสุด
เป็นผู้หญิงที่น่านับถือ
หากขาดมารดาไป เธอก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“จำคำที่แม่สอนเอาไว้นะลูก”
แหววมองหน้าลูกสาว
“ใครจะด่า จะว่าเราอย่างไรก็ช่าง กรรมมันอยู่ที่เขาไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เขาจะว่าเราเป็นช้าง เป็นหมู หรืออะไรก็แล้วแต่ จงทำตัวเป็นดั่งหินผาที่ใครจะด่าจะว่าอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน”
หวานซึมซับทุกคำพูดไว้ในใจ จงทำตัวเป็นหิน หิน หิน ไม่สะทกสะท้านเวลาใครด่า แต่แม่มันด่าหวานว่าเบาหวานเลยนะแม่ ได้แต่คิดหากพูดไปโดนแม่ด่าแน่ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………
“นี่เธอ ได้ยินข่าวบ้างหรือเปล่าว่าตรงต้นไทรต้นใหญ่นั่นน่ะมีผีสิง มีไอ้โจรสองคนมันกล้าลองดีมาแอบขโมยชุดไทย ขโมยเงินบริจาค จนเจอดี วิ่งหนี้ป่าราบเลยเชียว”
เสียงสนทนาของแม่ค้าขายพวงมาลัยนางหนึ่งดังขึ้น หล่อนกำลังสนทนาอย่างออกรสออกชาติกับแม่ค้าอีกนางหนึ่งที่ปากจัดพอๆกัน
หวานไม่ได้ใส่ใจ เธอกำลังคาบหมูปิ้งที่ติดไม้กินอย่างเอร็ดอร่อย โดยเดินผ่านไปหน้าตาเฉยพอผ่านต้นไทรใหญ่ที่แม่ค้าปากตลาดร่ำลือกัน แรงลมก็ปะทะเข้ามาผ่านทางด้านหน้าจนเธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนขนลุกอย่างไงชอบกล
หวานจึงหยุดเดิน ปากยังคงเคี้ยวหมูปิ้งติดมันอย่างอร่อย ได้แต่คิดแต่ไม่ได้ใส่ใจ ณ เวลานั้นคล้ายกับมีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังแว่วๆผ่านเข้ามา
จับใจความไม่ได้ว่าเป็นเสียงเรียกอะไร หวานได้แต่หยุดเดินและหันไปมองทางต้นไทร
แรงลมพัดวูบเข้ามาทางด้านหน้า
เส้นผมของหวานกระจายปกตามใบหน้า
คล้ายมีเสียงร้องเรียกจากมุมไหนมุมหนึ่ง
ณ เวลานั้น หวานตกใจกลัวภาพทุกอย่างมันหมุนคล้ายกับอะไรมาพัดให้เกิดพายุหมุน เสียงเรียกอะไรบางอย่างดังอยู่รอบตัว หวานหันมองรอบๆมันดังมาจาก มาจาก มาจาก
“อีหวาน”
เสียงนั้นดังแจ่มชัด ทำให้หวานหลุดออกจากภวังค์
“ฉันเรียกแกตั้งหลายรอบแล้วนะ แกเป็นอะไรของแกวะ ยืนแข็งทื่อเหมือนโดนผีหลอก”
เสียงนั้นที่ทำให้หวานหลุดออกมาจากภวังค์ได้ก็คือเสียงของช่อนั่นเอง
เวลาต่อมาที่ออฟฟิศ
“แกเป็นอะไรของแกวะหวาน”
“แปลกๆวะแก”
ช่อชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ไม่สบายหรือเปล่าวะแก ไม่สบายลาหยุดได้นะ”
“เปล่า แต่ว่า”
“แต่ว่าอะไรของแกฮะ”
“ฉันมีความรู้สึกแปลกๆหนะสิ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า”
“มันเรื่องอะไรกันแน่วะ ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งงงไปหมดแล้ว จะพูดอะไรก็รีบๆพูดออกมาเหอะ ฉันอยากรู้ใจจะขาดแล้วนะแก”
หวานทำหน้านิ่งๆจะบอกดีไหมหรือจะไม่บอกดี
…………………………………………………………………………………………………………………
วันใหม่
หวานมาทำงานปกติ บรรยากาศภายในที่ทำงานเหมือนคนจะคอยจับตาดูเธอกับนกเป็นพิเศษ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อวันก่อน นกต้องเข้าโรงพยาบาลเจ็บเอาการ แต่ก็เจ็บแค่ที่ใบหน้า สมองไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจนต้องนอนโรงพยาบาล หวานจึงตกเป็นจำเลยของสังคม แต่ก็มีหลายๆคนที่ไม่ชอบหน้านกอยู่แล้วเพราะเธอชอบสาระแน รวมถึงทำตัวเป็นนายคนอื่น ใครหลายต่อหลายคนจึงไม่ชอบหน้านักและยิ่งเกิดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น เชื่อว่าหลายคนในออฟฟิศที่เห็นเหตุการณ์ก็แอบ พอใจที่ยัยจอมจุ้นโดนเล่นงานคืนซะบ้าง
สมน้ำหน้า!
สะใจ!
ทุกคนดีใจ!
แต่ทุกคนเก็บอาการ เพียงเพราะกลัวจะโดนหางเลขไปด้วย หวานเดินดุ่มๆไปตามทางเดิน เวลาเกือบแปดโมงครึ่ง มองดูนาฬิกา อีกห้านาทีเธอจะสายแล้ว มองไปทางลิฟต์ผู้คนต่างก็ต่อแถวขึ้นลิฟต์ยาวเหยียด ลิฟต์มีสามสี่ตัวก็ยังคงไม่เพียงพอ แถมได้ยินมาว่า ลิฟต์เกิดเสียไปหนึ่งตัวจึงทำให้การจราจร
ภายในตึกติดขัด ยิ่งรีบเวลาก็ยิ่งเดินเร็ว เหมือนมันจะรู้ว่าต้องรีบไปทำงาน
คนทยอยกันเข้าไปในลิฟต์ หวานเข้าเป็นคนสุดท้าย
ได้ยินเสียงคนในนั้นไม่รู้ว่าใครพูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางคนในลิฟต์ที่เบียดเสียดกัน
“อัดกันจนจะผสมพันธ์กันอยู่แล้ว”
หวานไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องเข้าไป แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองตัวใหญ่ กว่าจะเบียดเสียดเข้าไปด้านในได้ โชคดีที่ลิฟต์รับน้ำหนักได้ ไม่เกิดสัญญาณส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นเธอคงจะอาย หวานภาวนาให้ถึงที่หมายโดยเร็ว แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ไฟภายในลิฟต์ดับลง ทุกคนตกใจอลเวงละสิ เพราะต่างคนก็ต่างโวยวาย ได้ยินเสียงทุกคนดังระงม เสียงบ่น เสียงด่า จะมาค้างอะไรกันตอนนี้ค้างเวลาทำงาน