แก้กรรมไม่ใช่เอาบารมีไปข่มเจ้ากรรมนายเวร
เราแก้กรรมเราต้องแก้ที่เหตุ ไม่ใช่ไปแก้ด้วยการเอาบารมีไปข่มเขา มันคนละเรื่อง ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นการแก้กรรมที่เข้าใจผิด อย่างนี้ไม่ใช่แก้แต่ไปข่มเขา การไปข่มเขาก็จะกลายเป็นว่าเขาไม่ยินยอม กลายเป็นอาฆาตจองเวร
การแก้กรรมไม่ใช่ว่าต้องเป็นพราหมณ์ เป็นพุทธ เป็นคริสต์ หรือสายอื่นๆ แต่เป็นเพราะว่าเราก่อเหตุกรรมเช่นใด เราต้องแก้เหตุเช่นนั้น
ในเมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว เราต้องหมั่นสำนึกในข้อที่เราผิดพลาดบ่อยๆ ก็จะยิ่งดี ไม่ใช่ว่าไม่ให้นึกถึง หรือให้ลืมไปอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าเราบอกว่าให้ลืมไป แล้วเราจะสำนึกตรงไหน
เราแก้ไขกรรมแล้ว เราต้องหมั่นระลึกถึง ถ้าเรายิ่งนึกถึงก็จะทำให้เรายิ่งไม่ได้ทำผิดพลาด ถ้าเราไม่นึกเดี๋ยวเราก็จะไปทำผิดพลาดอีก
ถามว่า ถ้าเรานึกอย่างนี้บ่อยๆ จะกลายเป็นว่าจมปลักกับสิ่งที่เราทำอกุศลกรรมนั้นหรือไม่
เราต้องคิดให้ดีๆ เรานึกหรือระลึกถึงแล้วเราคิดให้ครบองค์ไหม? หรือว่าคิดแค่ครึ่งเดียวก็พอ ก็ต้องคิดให้ครบทั้งองค์ คือ เราต้องยอมรับผิดในสิ่งที่เราทำอกุศลกรรมนั้นๆ จากนั้นก็สำนึกผิด ขอขมากรรม และขอเจ้ากรรมอโหสิกรรมให้ และเราจะหมั่นสร้างบุญกุศลไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรนั้น แก้ไขในสิ่งที่เราทำผิดพลาดอกุศลกรรมนั้นๆ
สิ่งที่เราทำตรงนี้เพื่อแก้ไขวิบากกรรมที่เราทำผิดพลาดไป และเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ทำกรรมเช่นนี้อีก
ถ้าเราทำเช่นนี้แล้วตรงไหนที่เรียกว่าจมปลัก เราทำเช่นนี้เพื่อเป็นอนุสสติระลึกถึงสิ่งที่เราทำผิดพลาด พอเราไม่ทำอกุศลกรรมเช่นนี้อีก แล้วเราจะหลุดพ้นจากอกุศลกรรมเช่นนี้ไหม? ก็หลุดพ้นกรรมตรงนี้ นี่แหละการแก้กรรมอย่างแท้จริง
ถ้าหากว่าคุณไม่นึกถึงอกุศลกรรมที่เราทำ พอเราไม่นึกเดี๋ยวเราก็จะทำกรรมซ้ำอีกโดยไม่รู้ตัว เราต้องคิดให้ครบองค์
จุดประสงค์ที่เราหมั่นระลึกถึงอกุศลกรรมที่เราได้ทำผิดพลาดเพื่อ เราจะได้ระลึกตลอดเราก็จะไม่ทำกรรมซ้ำผิดพลาดในกรรมอันเดิมอีก เราก็จะพ้นจากกรรมวิบากเรื่องนี้แล้ว ถ้าเราไม่คิดไม่นำมาเป็นอุทธาหรณ์เดี๋ยวก็จะทำกรรมเช่นนี้อีก ที่ควรทั่วไปชอบถามผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะว่าลืม
ถ้าเราคิดอย่างนี้ก็จะไม่กลายเป็นจมปลักแน่นอน แถมยังหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ ไม่ทำกรรมนี้อีก ไม่เป็นกรรมเช่นนี้อีก นี่แหละพ้นกรรมไหมล่ะ?
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
แก้กรรมไม่ใช่เอาบารมีไปข่มเจ้ากรรมนายเวร
เราแก้กรรมเราต้องแก้ที่เหตุ ไม่ใช่ไปแก้ด้วยการเอาบารมีไปข่มเขา มันคนละเรื่อง ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นการแก้กรรมที่เข้าใจผิด อย่างนี้ไม่ใช่แก้แต่ไปข่มเขา การไปข่มเขาก็จะกลายเป็นว่าเขาไม่ยินยอม กลายเป็นอาฆาตจองเวร
การแก้กรรมไม่ใช่ว่าต้องเป็นพราหมณ์ เป็นพุทธ เป็นคริสต์ หรือสายอื่นๆ แต่เป็นเพราะว่าเราก่อเหตุกรรมเช่นใด เราต้องแก้เหตุเช่นนั้น
ในเมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว เราต้องหมั่นสำนึกในข้อที่เราผิดพลาดบ่อยๆ ก็จะยิ่งดี ไม่ใช่ว่าไม่ให้นึกถึง หรือให้ลืมไปอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าเราบอกว่าให้ลืมไป แล้วเราจะสำนึกตรงไหน
เราแก้ไขกรรมแล้ว เราต้องหมั่นระลึกถึง ถ้าเรายิ่งนึกถึงก็จะทำให้เรายิ่งไม่ได้ทำผิดพลาด ถ้าเราไม่นึกเดี๋ยวเราก็จะไปทำผิดพลาดอีก
ถามว่า ถ้าเรานึกอย่างนี้บ่อยๆ จะกลายเป็นว่าจมปลักกับสิ่งที่เราทำอกุศลกรรมนั้นหรือไม่
เราต้องคิดให้ดีๆ เรานึกหรือระลึกถึงแล้วเราคิดให้ครบองค์ไหม? หรือว่าคิดแค่ครึ่งเดียวก็พอ ก็ต้องคิดให้ครบทั้งองค์ คือ เราต้องยอมรับผิดในสิ่งที่เราทำอกุศลกรรมนั้นๆ จากนั้นก็สำนึกผิด ขอขมากรรม และขอเจ้ากรรมอโหสิกรรมให้ และเราจะหมั่นสร้างบุญกุศลไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรนั้น แก้ไขในสิ่งที่เราทำผิดพลาดอกุศลกรรมนั้นๆ
สิ่งที่เราทำตรงนี้เพื่อแก้ไขวิบากกรรมที่เราทำผิดพลาดไป และเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ทำกรรมเช่นนี้อีก
ถ้าเราทำเช่นนี้แล้วตรงไหนที่เรียกว่าจมปลัก เราทำเช่นนี้เพื่อเป็นอนุสสติระลึกถึงสิ่งที่เราทำผิดพลาด พอเราไม่ทำอกุศลกรรมเช่นนี้อีก แล้วเราจะหลุดพ้นจากอกุศลกรรมเช่นนี้ไหม? ก็หลุดพ้นกรรมตรงนี้ นี่แหละการแก้กรรมอย่างแท้จริง
ถ้าหากว่าคุณไม่นึกถึงอกุศลกรรมที่เราทำ พอเราไม่นึกเดี๋ยวเราก็จะทำกรรมซ้ำอีกโดยไม่รู้ตัว เราต้องคิดให้ครบองค์
จุดประสงค์ที่เราหมั่นระลึกถึงอกุศลกรรมที่เราได้ทำผิดพลาดเพื่อ เราจะได้ระลึกตลอดเราก็จะไม่ทำกรรมซ้ำผิดพลาดในกรรมอันเดิมอีก เราก็จะพ้นจากกรรมวิบากเรื่องนี้แล้ว ถ้าเราไม่คิดไม่นำมาเป็นอุทธาหรณ์เดี๋ยวก็จะทำกรรมเช่นนี้อีก ที่ควรทั่วไปชอบถามผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะว่าลืม
ถ้าเราคิดอย่างนี้ก็จะไม่กลายเป็นจมปลักแน่นอน แถมยังหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ ไม่ทำกรรมนี้อีก ไม่เป็นกรรมเช่นนี้อีก นี่แหละพ้นกรรมไหมล่ะ?
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์