ประวัติโดยละเอียดของคุณปู่ วอร์เรน บัฟเฟต พ่อมดแห่งการลงทุน

วอร์เรน บัฟเฟต ( Warren Edward Buffett ) เกิดวันที่ 30 สิงหาคม ปี 1930 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา เป็นลูกคนกลางโดยมีพี่สาวหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคน คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟต มีหัวการค้าตั้งแต่เด็กๆ โดยธุรกิจแลกของเขาเริ่มขึ้นเมื่อตอนเขาอายุเพียง 6 ขวบ โดยการ " ขายหมากฝรั่ง " ราคา 5 เซนต์ และเงินที่หามาได้นั้น วอร์เรน บัฟเฟต จะมีกล่องเหล็กส่วนอันโปรดของเขาเพื่อเก็บสะสมเงินที่หามาได้และของสะสมเล็กๆน้อยๆอย่างเช่น แสตมป์

นอกจากการขายหมากฝรั่งแล้ว วอร์เรน ยังมีธุรกิจขายน้ำอัดลมยี่ห้อ โคคา โคล่า อีกด้วย โดตขึ้นมาอีกหน่อย เขาก็หันมายึดอาชีพเป็น " เด็กส่งหนังสือพิมพ์ " และพออายุได้ 12 ปี เขาก็ยื่นใบเสียภาษีเป็นครั้งแรก เท่านี้ยังไม่พอ คุณปู่ในวัยเด็กยังมีธุรกิจเก็บลูกกอล์ฟขาย คำนวณหาแต้มต่อและเขียนโพยม้าแข่งเร่ขายตามสนามม้า และที่เด็ดที่สุดก็คือ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่วอชิงตัน วอร์เรนร่วมมือกับเพื่อนของเขาซื้อตู้พินบอลมือสองมาซ่อมแซม แล้วจากนั้นจึงนำไปติดตั้งตามร้านตัดผมตามที่ต่างๆ ธุรกิจนี้ทำเงินให้เขาเป็นกอบเป็นกำ แต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจขายกิจการออกไปเป็นเงิน 12,000 ดอลลาร์ สาเหตุเพราะว่าต้องย้ายกลับโอมาฮาตามพ่อของเขา

วอร์เรน บัฟเฟต ซื้อหุ้นครั้งแรกในปี 1942 หรือตอนนั้นเขาอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น โดยการหุ้นเงินกับพี่สาวและน้องสาวของเขาเป็นเงินคนละ 114.75 ดอลลาร์แล้วใช้ชื่อพ่อของเขาในการซื้อหุ้น เงินทั้งหมดนั้นวอร์เรนได้เอาไปซื้อหุ้นของ City Service ที่ราคา 38.25 ดอลลาร์ต่อหุ้น แต่ด้วยเหตุผลที่ซื้อเพราะเป็นหุ้นตัวโปรดของพ่อเขา วอร์เรนจึงไม่ได้วิเคราะห์หุ้นตัวนี้ให้ดีเสียก่อน เมื่อราคาหุ้นดิ่งลงมาต่ำสุดที่ 27 ดอลลาร์ เขาจึงถูกกดดันจากพี่น้องของเขาอย่างหนัก ก่อนที่ราคาจะดีดกลับขึ้นมา และสุดท้ายเขารีบขายมันออกไปที่ราคา 40 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งทำให้เขาและพี่น้องได้กำไรเพียงนิดหน่อย ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 202 ดอลลาร์ต่อหุ้น เขาจึงได้บทเรียนอันมีค่ามา 2 ข้อด้วยกัน

1.) อย่ามัวแต่ยึดติดกับราคาหุ้นที่จ่ายออกไป
2.) อย่ารีบตะครุบกำไรเล็กๆน้อยๆโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี

จุดเปลี่ยนด้านการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟต เกิดขึ้นเมื่อเขาได้อ่านหนังสือชื่อ " The Intelligent Investor " และ " Security Analysis " ซึ่งเขียนโดย เบนจามิน เกรแฮม และ เดวิด ดอดด์ ทั้งสองคนนี้เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาลัยโคลัมเบีย ( University of Columbia ) เมื่อวอร์เรนรู้เช่นนั้น จึงได้สมัครเข้าเรียนที่มหาลัยนี้ทันที และไม่ต้องแปลกใจเลยที่เขาจะกลายมาเป็นศิษย์เอกของทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเขาจบการศึกษาออกมา แรกๆวอร์เรน บัฟเฟต ยึดอาชีพเป็นนายหน้าค้าหุ้นให้กับบริษัทของพ่อเขา ก่อนจะหันมาเปิดกองทุนเป็นของตัวเอง โดยกองทุนแรกมีชื่อว่า " Buffett Associates, Ltd. " ก่อตั้งขึ้นในปี 1956 ประกอบด้วยหุ้นส่วนทั้งหมด 7 คน ซึ่งสมาชิกเป็นญาติและบรรดาเพื่อนสนิท นแกจากนั้นยังได้ตั้งกองทุนขึ้นมาอีกมากมายจากเงินของลูกค้าที่มีคนแนะนำให้มาหาเขา จากเงินของเดวิด ดอดด์จำนวน 120,000 ดอลลาร์เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในความสามารถของวอร์เรน บัฟเฟต และในที่สุดเมื่อจำนวนกองทุนของวอร์เรน มีมากเกินเขาจึงตัดสินใจยุบกองทุนต่างๆและรวมเข้าไว้เป็นกองทุนเดียวในชื่อ " Buffett Partnership, Ltd " และมีชื่อย่อว่า BBL โดยกองทุนนี้มีเงินตั้งต้นมากถึง 7,200,000 ดอลลาร์เลยที่เดียว

วอร์เรน บัฟเฟต เข้าซื้อหุ้นและบริษัทมากมายหลายบริษัทด้วยกัน แต่มีบริษัทนึงที่เขายอมรับว่าทำผิดพลาดที่ซื้อบริษัทนั้นมา นั่นก็คือ " Berkshire Hathaway " ถูกต้องแล้วครับ บริษัทนี้แรกเริ่มเดิมทีเป็นบริษัทผลิตสิ่งทอ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปจึงทำให้ผลประกอบการของบริษัทแย่ลง ทำให้วอร์เรนต้องตัดใจไล่พนักงานออกหลายร้อยคน รวมทั้งตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆด้วย จนถึงตอนสุดท้ายเขาต้องตัดใจปิดกิจการด้านสิ่งทอและเปลี่ยนมาเป็นบริษัทแม่ ( Holding ) แทน เพราะฉนั้น Berkshire Hathaway จึงเป็นเหมือนกับอนุสรณ์ที่คอยย้ำเตือนคุณปู่วอร์เรนตลอดมา

ตั้งแต่ปี 2000 วอร์เรน บัฟเฟต ถูกจัดอันดับว่าเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 2 ของโลกมาโดยตลอด โดยตัวเขาเองเป็นลองเพียง " บิล เกต " เท่านั้น จนกระทั่งกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกในปี 2008 เบียดแซงเพื่อนซี้ของเขา " บิล เกต " ด้วยทรัพย์สินทั้งสิ้น 62,000,000,000 ดอลลาร์ ก่อนจะตกอันดับลงมาอีกครั้งในปีถัดไป


หุ้นของ American Express เป็นหุ้นที่เขาซื้อมาด้วยเงินจำนวน 13 ล้านดอลลาร์ และหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็ขายหุ้นและได้เงินมาทั้งสิ้น 28 ล้านดอลลาร์


วอร์เรน ซื้อหุ้นของ Washington Post หนังสือพิมพ์ยักษ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี แคทารีน เกรแฮม เป็นเจ้าของอยู่ สุดท้ายทั้งสองก็ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน และวอร์เรนก็กลายมาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของแคทารีน และเขาเองยังได้รับเลือกให้เป็น " กรรมการบริหาร " อีกด้วย

ยังมีเนื้อหาเพิ่มเติมให้ทุกๆคนที่สนใจได้ดูเพิ่มเติ่มกันอีกที่ https://goo.gl/ezAFng บล็อกเกอร์ของผมเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวการซื้อหุ้นต่างๆของวอร์เรน บัฟเฟต หรือ ความมั่งคั่งทั้งหมดของวอร์เรนตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2018 และสุดท้ายก็ขอฝาก 13enj1blogger ( เบนจี้บล็อกเกอร์ ) เอาไว้ในใจของทุกๆคนด้วยนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่