บทที่ 9
https://ppantip.com/topic/38032820
ความเดิมตอนที่แล้ว
ธิดาทะเลบุกขึ้นฝั่ง ถล่มบ่อปลาบ่อกุ้งใหญ่ของเฒ่าหมื่นพันวาสนา
ที่เตรียมรับมืออยู่ด้วยกองกำลังมหาศาล ที่ระดมมาจากทั่วสารทิศ
........
คนพวกนี้คล้ายถูกฝึกปรือมารับมือกับธิดาทะเลโดยเฉพาะ พวกมันลงมือรวดเร็วคล้องจอง ประสานหน้าที่กันอย่างดีเยี่ยม พอตาข่ายโถมใส่ อีกสี่คนจับปลายแหวิ่งวนรอบร่างธิดาทะเล ถึงกับใช้ตาข่ายยักษ์พันใส่หลายทบแนบแน่น
......
เส้นใยร่างแหต่อให้เป็นกระบี่ก็ไม่อาจตัดขาด
ธิดาทะเลไม่มีกระบี่
เงาดำถาโถมลงมาจากยอดตึกใกล้ริมน้ำ
นั่นเป็นจอมพิษเจ็ดก้าวจากตระกูลถัง มันสะบัดมือเท้าถี่ยิบ อาวุธลับจำนวนเจ็ดสิบเจ็ดชิ้นพุ่งออกมาจากทั่วร่าง คนผู้นี้คล้ายสามารถปล่อยอาวุธลับออกมาได้ทั่วตัว กระทั่งก้มศีรษะยังมีอาวุธลับพุ่งออกมาจากเส้นผม
ธิดาทะเลหมุนร่างขึ้นไปเป็นกังหันอยู่กลางอากาศ ลากตาข่ายผืนใหญ่ขึ้นไปด้วย วาดฝ่ามือซ้ายขวาแยกกระชากออกออก ตาข่ายแหที่ทั้งยุ่นเหนียวทั้งแข็งแรง ถึงกับถูกฉีกกระจัดกระจายออกอย่างง่ายดาย ร่างของนางยังคงพุ่งขึ้นต่อไปดั่งพลุไฟ อาวุธลับทั้งหมดของจอมพิษเจ็ดก้าว พลันคล้ายกรวดทรายถาโถมลงสู่ทะเลเวิ้งว้างว่าง เปล่าไร้ประสิทธิภาพไปในทันที
มีเสียงเหมือนเสียงระเบิดติดต่อกันหลายครั้ง แหปากใหญ่ผืนที่สองครอบคลุมลงมาหาธิดาทะเล ที่กำลังพุ่งขึ้นมายังหอสูงตำแหน่งของประธานจัดงาน คราวนี้เป็นแหถักทอด้วยโลหะพิเศษ ทั้งแข็งแรงรวดเร็ว ถ่วงด้วยลูกตุ้มขนาดเท่ากำปั้น เพิ่มความรวดเร็วหนักหน่วงให้มากขึ้นอีก
ธิดาทะเลกวาดมือกระชากอีกครั้ง คราวนี้ไร้ผล ร่างถูกแหพันแน่บแน่น แรงกระแทกส่งร่างของธิดาทะเลหมุนคว้างเป็นลูกข่างลอยร่วงหล่นตูมลงไปในกลางสระน้ำ เสียงผู้คนฮือฮาขึ้นทันที
“จับธิดาทะเลได้แล้ว”
“นางตกลงไปในสระแล้ว เสร็จพวกเราแน่”
จัดการกับธิดาทะเลได้ย่อมเป็นเรื่องตื่นเต้นดีใจสุดแสน นับว่าความเพียรพยายามของเฒ่าหมื่นพันวาสนาไม่สูญเปล่า ดังนั้นมันเริ่มแย้มยิ้ม
ทว่ารอยยิ้มไม่ทันปรากฏเต็มหน้า กลางสระน้ำมีเสียงระเบิดตูมสนั่นหวั่นไหว สายน้ำกระเด็นเซ็นซ่านไปรอบบริเวณ ในสายน้ำมีเศษชิ้นส่วนของเศษแห เล็กบ้างใหญ่บ้าง ปะปนกระจัดกระจายออกมารอบด้าน ท่ามกลางวังวนของความบ้าคลั่งปั่นป่วน ร่างของธิดาทะเลพุ่งขึ้นมาจากกลางสระน้ำราวฝันร้าย
รอยยิ้มของเฒ่าหมื่นพันวาสนากลับกลายเป็นความเย็นเฉียบผนึกค้าง
พึ่บ..!!!
เสียงดังคล้ายสะบัดผ้าคราหนึ่ง อาวุธลับยิงออกจากกระบอกกลไกสี่ด้าน พุ่งเป็นแนวเฉียงขึ้นไปหาธิดาทะเลผู้กำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ
นั่นเป็นการลงมือของสี่เทพเทวะ จากตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงในการประดิษฐอาวุธลับกลไก
อาวุธลับกลไกยังรุนแรงกว่าการซัดขว้างของยอดฝีมือทั้งแผ่นดิน เห็นชัด ๆ ว่าธิดาทะเลไม่มีทางหลบพ้น ร่างของนางพุ่งขึ้นไปจนสุดล้าแล้วไม่มีทางหลบหลีกเด็ดขาด แต่พริบตานั้นร่างของนางพลิกตัวรวดเร็วคล่องแคล่วปานมัจฉาในสายน้ำร่าง กลับพุ่งแฉลบไปด้านข้างราวประกายไฟ
ความสามารถเช่นนี้นับว่าในยุทธภพมีน้อยกว่าน้อย อย่างไรนางก็เป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่นกกาโผบินตลอดไป ดังนั้นพอพลังสิ้นสุดแนวร่างโค้งโฉบลงพื้น เสียงขวับเคี้ยวถี่ยิบ เกาทัณฑ์กระหน่ำยิงเข้าใส่ปานห่าฝน
นั่นเป็นฝีมือของหน่วยเกาทัณฑ์เหล็กของทหารหลวง ซึ่งได้รับการฝึกปรือมาอย่างดีเยี่ยม สับเปลี่ยนกันยิงต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ธิดาทะเลหมุนตัวดั่งลูกข่าง กรีดมือวาดเท้าปัดลูกเกาทัณฑ์กระจัดกระจายออกไปรอบข้าง เหมือนปัดแมลงก่อความรำคาญให้ ก่อนพุ่งปราดไปยังเพิงที่พักตำแหน่งประธานพิธี
นางคล้ายมีขวัญกล้าแข็งอยู่ทั่วตัวไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ย่อมเป็นที่อยู่ของคนฝีมือสูงล้ำที่สุด
พลังเล็กแหลมสายหนึ่งจี้ปราดเข้าใส่ระหว่างคิ้วนางกลางอากาศ อย่างแม่นยำอำมหิต
ในที่สุดกระบี่เทพเจ้าก็ลงมือแล้ว
เกือบสองปีก่อนมาตรว่าจะปราชัยแก่ธิดากระบี่ม่วงหวาน แต่ในช่วงเวลาเลยผ่านมิสูญเปล่าเป็นไฟไร้เชื้อ มุ่งมั่นฝึกปรือฝีมือรุดหน้าเพิ่มพูน
ธิดาทะเลพลิกตัวกลับกลางอากาศ โฉบพลิกตัวลงแตะพื้น โดยมีกระบี่เทพเจ้าติดตามเป็นเงาตามตัว พริบตาจู่โจมสิบสามกระบี่...สิบสามกระบี่พลิกแพลงเป็นเจ็ดสิบสองกระบี่ ผนึกประสานสี่ทิศแปดทาง ปิดทางหลบสกัดทางถอยกระหน่ำแทงใส่จุดตาย เป็นยอดฝีมือธรรมดาประกันว่าจบสิ้นตั้งแต่กระบี่ที่หนึ่งแล้ว
ธิดาทะเลสลับเท้าพลิ้วร่างหลบเลี่ยง มิทราบว่าเป็นประการใดถึงกับสามารถหลบพ้นทุกกระบี่ ทั้งที่เห็นชัดว่าจะต้องถูกกระบี่แทงใส่กลายเป็นโพรงโลหิต
ขณะก้มศีรษะหลบ ประกายกระบี่ตัดผมยาวสยายของนางหลุดออกมาส่วนหนึ่ง เส้นผมเล็กละเอียดปลิวกระจายบางส่วนปลิวเข้านัยตาน์ตาของกระบี่เทพเจ้า
สภาวะกระบี่ชะงักวูบหนึ่ง
ธิดาทะเลอาศัยช่วงเวลาน้อยนิดกระชั้นสั้น พุ่งร่างขึ้นไปบนตำแหน่งหอประธานอีกครั้ง
ในหอถึงกับไร้ผู้คน ประสาทสัมผัสอันปราดเปรียวของนางพลันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
กลิ่นดินปืนที่กำลังจะปะทุ
บึม..!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หอประธานซุกซ่อนดินปืนเอาไว้มหาศาล ระเบิดออกพังพินาศเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลิ่นกำมะถันกลุ่มควันเปลวไฟพวยพุ่ง ควันไฟสีดำตะลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บางส่วนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นรูปดอกเห็ด
กับดักสำหรับจัดการกับธิดาทะเลวางไว้ทุกที่จริงๆ นี่ย่อมเป็นแผนของพวกเฒ่าหมื่นพันวาสนาวางเอาไว้
พวกมันพากันวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของธิดาทะเลจนสามารถพบว่า เมื่อนางมาปรากฏตัวต้องทำลายสิ่งก่อสร้างทุกส่วนราบเป็นหน้ากลองจึงจะยินยอ
ธิดาทะเลหรือแหลกละเอียดเป็นจุลไปแล้ว
สายลม กับความเหงา
เก็บความเศร้า เป็นที่เขียน
คว้าความเหงา ที่วนเวียน
ลงมาเขียน เป็นเรื่องราว
ลมฝนบนทะเลแปรปรวนรวนรวดเร็ว...ยามสงบเรียบราบงดงามปานใด สามารถแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลมโหมกระหน่ำก็ดุร้ายเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งไม่คาดฝัน
นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าอิสตรีคล้ายทะเล พวกนางแปรปรวนรวดเร็ว....ยามสงบเรียบราบงดงามเร้าใจปานใด ในพริบตาหากแปรเปลี่ยนเป็นโมโหโทสะ ก็คล้ายคลื่นลมโหมกระหน่ำดุร้ายเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง ยามยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน โลกพลันกระจ่างสดใสบันดาลให้ผู้คนคึกคักกระตือรือร้น ยามโกรธขึ้งบึ้งตึงโลกพลันพลิกถล่มโถมทับกระแทกใส่จิตวิญญาณจนแตกตื่นขวัญหนี
ความจริงทะเลไม่ไร้น้ำใจ
สงบราบเรียบบ้าง เกรี้ยวกราดบ้าง แต่ทะเลก็คือทะเล ให้มวลหมู่มนุษยชาติดำรงคงอยู่ รองรับสิ่งสกปรกโสโครกลงอ้อมแขนสู่ทะเล ขัดเกลาบันเทาพิษภัย
อิสตรียิ่งไม่ไร้น้ำใจ
สงบราบเรียบบ้าง เกรี้ยวกราดบ้าง ยิ้มแย้มบ้าง ร่ำไห้บ้าง แต่อิสตรีก็คืออิสตรี ให้มวลหมู่มนุษยชาติดำรงคงอยู่ บางครั้งแปรเปลี่ยนมากมายหลายหลาก แต่บางครั้งก็เป็นอะไรไปได้ไม่มากกว่าอิสตรี บางครั้งเป็นยิ่งกว่าอิสตรี
ทะเลไม่อาจไม่แปรเปลี่ยน อิสตรียิ่งไม่อาจไม่เปลี่ยนแปร
เพราะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวจึงมีชีวิต
เพราะทะเลก็คือทะเล อิสตรีก็คืออิสตรี ทะเลไยมิใช่คล้ายอิสตรีมีชีวิตจริงๆ...?
หาดทรายขาวสะอาด เวิ้งทะเลกว้างไกลสุดสายตา
คลื่นลมสงบ ทว่าทะเลกลับไม่ราบเรียบ เนื่องเพราะมีเกาะแก่งใหญ่น้อยใกล้ไกลสลับลดหลั่นบนผืนน้ำ คล้ายเป็นค่ายกลจากธรรมชาติ ทิวสนเขียวสะบัดใบไล่รายเรียงโอบโค้งจรดขอบฟ้ากับปากอ่าวสองฝั่งฟาก สร้างทิวทัศน์งดงามราวเทพบรรจงเนรมิต
อ่าวเล็กๆ อยู่เกาะใหญ่ที่สุด กลางหมู่เกาะใหญ่น้อยจำนวนสี่สิบเจ็ดเกาะ เกาะที่เปรียบเหมือนราชันย์แห่งหมู่เกาะ เพราะหากคิดจะมาถึงสถานที่นี้ นับว่าลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรือใหญ่ต้องชนเข้ากับหมู่หินใต้ทะเล เกยสันทราย กระทั่งถูกวังวนของกระแสน้ำพากระแทกใส่ภูเขาหินจมลงสู่ก้นทะเล ถ้าเป็นเรือเล็กยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงเข้าใกล้หมู่เกาะก็ต้องถูกวังวนกระแสน้ำฉุดลงบดขยี้ย่อยยับดับสูญ
ที่อันตรายที่สุดคือปลอดภัยที่สุด คำๆ นี้อาจไม่ใช่ในทุกที่ แต่ที่นี้กลับใช้ได้ ความจริงรอบหมู่เกาะเต็มไปด้วยมหันตภัย อันตรายจากธรรมชาติ แต่สภาพรอบเกาะใหญ่แห่งนี้กลับสงบราบเรียบยิ่ง
ช่วงสายของวันนั้นเรือประมงเล็ก ๆ ลำหนึ่งค่อยแหวกคลื่นน้ำเข้าฝั่ง
บนเรือมีคนแต่งชุดประมงสองคน
เป็นดรุณีน้อยสองนาง แม้ว่าหน้าตารูปร่างสูงต่ำไล่เรื่อยกัน ท่าทางแตกต่างกันอย่างยิ่ง
คนอยู่ท้ายเรือดูคล้ายอายุมากกว่า ท่วงทีเข้มแข็ง ไม้พายอยู่ในมือความจริงออกแบบมาเพื่อบุรุษกำยำแข็งแรงแต่ นางกลับใช้มันพายเข้าฝั่งราวไม่มีน้ำหนัก
ดรุณีน้อยเยาว์วัยกว่า ท่าทางเรียบร้อยยิ่ง เรียบร้อยจนคล้ายคนป่วย หรือบางทีนางอาจเจ็บป่วยจริง ๆ
พอถึงฝั่งดรุณีเยาว์วัยคว้าตะกร้าและอุปกรณ์ออกจากเรือ ขณะสตรีอีกนางลากเรือประมงขึ้นไปเก็บบนฝั่ง เรือประมงลำนี้ไม่ใหญ่โต แต่ต่อให้เป็นบุรุษยังคงต้องใช้อย่างน้อยสี่คนดึงลากขึ้นฝั่ง แต่ดรุณีนางนั้นกลับลากขึ้นมาอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นถึงพละกำลังทั้งภายในภายนอกอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
แสงแดดลมลูบใล้ใบหน้าพวกนางเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ ในความงามงามสองแตกต่าง หนึ่งนุ่มนวลเรียบร้อย หนึ่งคมเข้มเร้าใจ มิว่าผู้ใดก็มิอาจตัดใจเลือกตัดสิน
ดรุณีท่าทางเรียบร้อยป่วยไข้ เหม่อมองกุ้งหอยปูปลาในตะกร้าจนซึมเซา เอ่ยคล้ายรำพึงรำพันว่า
"ปูปลาเหล่าพอนี้เกิดมาก็คล้ายถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอาหารมนุษย์..นี่กระมังคือวงจรวัฏสงสาร ส่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวลไม่ให้ได้หลุดพ้น……พวกมันจะทราบไหมว่าจะต้องอุทิศกายของมันเป็นอาหารพวกเรา"
"เอาอีกแล้ว…ปูน้อยแห่งท้องทะเลเริ่มต้นเทศนาส่ำสัตว์อีกแล้ว น่ากลัวว่าวันนี้ข้าคงรับฟังคำสั่งสอนของเจ้าจนถึงขั้นบรรลุอรหันต์ หรือกลายเป็นเซียนโบยบินขึ้นท้องฟ้าไปแน่"
ดรุณีอีกนางหันมาเหน็บแหนม แต่ประกายตาของนางอ่อนโยนยิ่ง ดรุณีปูน้อยยิ้มเล็กน้อย บอกว่า "ท่านดูสิ…มันลืมตา คล้ายไม่ทราบว่าจะต้องตายในไม่ช้านี้…หากมันกล่าววาจาได้มันจะบอกอะไรแก่เรา"
"ปูน้อย…" มืออีกฝ่ายลูบผมนางเบาๆ อย่างรักใคร่ "ข้ารับประกันว่าจะสังหารพวกมันในมีดเดียวก่อนปรุงเป็นอาหาร พวกมันจะตายอย่างรวดเร็วไม่รู้ตัว พวกมันจะไม่ทุกข์ทรมานทรกรรมแม้แต่น้อย ข้ารับรองได้"
"ท่านแน่ใจ"
"ข้าเคยหลอกเจ้า??"
ดรุณีน้อยยิ้มแย้มออกมาได้ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ซีดเซียว
"ข้าทราบ ท่านไม่เคยหลอกข้า"
.
ฮิดาทะเล 10.......................ปูน้อย
https://ppantip.com/topic/38032820
ความเดิมตอนที่แล้ว
ธิดาทะเลบุกขึ้นฝั่ง ถล่มบ่อปลาบ่อกุ้งใหญ่ของเฒ่าหมื่นพันวาสนา
ที่เตรียมรับมืออยู่ด้วยกองกำลังมหาศาล ที่ระดมมาจากทั่วสารทิศ
........
คนพวกนี้คล้ายถูกฝึกปรือมารับมือกับธิดาทะเลโดยเฉพาะ พวกมันลงมือรวดเร็วคล้องจอง ประสานหน้าที่กันอย่างดีเยี่ยม พอตาข่ายโถมใส่ อีกสี่คนจับปลายแหวิ่งวนรอบร่างธิดาทะเล ถึงกับใช้ตาข่ายยักษ์พันใส่หลายทบแนบแน่น
......
เส้นใยร่างแหต่อให้เป็นกระบี่ก็ไม่อาจตัดขาด
ธิดาทะเลไม่มีกระบี่
เงาดำถาโถมลงมาจากยอดตึกใกล้ริมน้ำ
นั่นเป็นจอมพิษเจ็ดก้าวจากตระกูลถัง มันสะบัดมือเท้าถี่ยิบ อาวุธลับจำนวนเจ็ดสิบเจ็ดชิ้นพุ่งออกมาจากทั่วร่าง คนผู้นี้คล้ายสามารถปล่อยอาวุธลับออกมาได้ทั่วตัว กระทั่งก้มศีรษะยังมีอาวุธลับพุ่งออกมาจากเส้นผม
ธิดาทะเลหมุนร่างขึ้นไปเป็นกังหันอยู่กลางอากาศ ลากตาข่ายผืนใหญ่ขึ้นไปด้วย วาดฝ่ามือซ้ายขวาแยกกระชากออกออก ตาข่ายแหที่ทั้งยุ่นเหนียวทั้งแข็งแรง ถึงกับถูกฉีกกระจัดกระจายออกอย่างง่ายดาย ร่างของนางยังคงพุ่งขึ้นต่อไปดั่งพลุไฟ อาวุธลับทั้งหมดของจอมพิษเจ็ดก้าว พลันคล้ายกรวดทรายถาโถมลงสู่ทะเลเวิ้งว้างว่าง เปล่าไร้ประสิทธิภาพไปในทันที
มีเสียงเหมือนเสียงระเบิดติดต่อกันหลายครั้ง แหปากใหญ่ผืนที่สองครอบคลุมลงมาหาธิดาทะเล ที่กำลังพุ่งขึ้นมายังหอสูงตำแหน่งของประธานจัดงาน คราวนี้เป็นแหถักทอด้วยโลหะพิเศษ ทั้งแข็งแรงรวดเร็ว ถ่วงด้วยลูกตุ้มขนาดเท่ากำปั้น เพิ่มความรวดเร็วหนักหน่วงให้มากขึ้นอีก
ธิดาทะเลกวาดมือกระชากอีกครั้ง คราวนี้ไร้ผล ร่างถูกแหพันแน่บแน่น แรงกระแทกส่งร่างของธิดาทะเลหมุนคว้างเป็นลูกข่างลอยร่วงหล่นตูมลงไปในกลางสระน้ำ เสียงผู้คนฮือฮาขึ้นทันที
“จับธิดาทะเลได้แล้ว”
“นางตกลงไปในสระแล้ว เสร็จพวกเราแน่”
จัดการกับธิดาทะเลได้ย่อมเป็นเรื่องตื่นเต้นดีใจสุดแสน นับว่าความเพียรพยายามของเฒ่าหมื่นพันวาสนาไม่สูญเปล่า ดังนั้นมันเริ่มแย้มยิ้ม
ทว่ารอยยิ้มไม่ทันปรากฏเต็มหน้า กลางสระน้ำมีเสียงระเบิดตูมสนั่นหวั่นไหว สายน้ำกระเด็นเซ็นซ่านไปรอบบริเวณ ในสายน้ำมีเศษชิ้นส่วนของเศษแห เล็กบ้างใหญ่บ้าง ปะปนกระจัดกระจายออกมารอบด้าน ท่ามกลางวังวนของความบ้าคลั่งปั่นป่วน ร่างของธิดาทะเลพุ่งขึ้นมาจากกลางสระน้ำราวฝันร้าย
รอยยิ้มของเฒ่าหมื่นพันวาสนากลับกลายเป็นความเย็นเฉียบผนึกค้าง
พึ่บ..!!!
เสียงดังคล้ายสะบัดผ้าคราหนึ่ง อาวุธลับยิงออกจากกระบอกกลไกสี่ด้าน พุ่งเป็นแนวเฉียงขึ้นไปหาธิดาทะเลผู้กำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ
นั่นเป็นการลงมือของสี่เทพเทวะ จากตระกูลซึ่งมีชื่อเสียงในการประดิษฐอาวุธลับกลไก
อาวุธลับกลไกยังรุนแรงกว่าการซัดขว้างของยอดฝีมือทั้งแผ่นดิน เห็นชัด ๆ ว่าธิดาทะเลไม่มีทางหลบพ้น ร่างของนางพุ่งขึ้นไปจนสุดล้าแล้วไม่มีทางหลบหลีกเด็ดขาด แต่พริบตานั้นร่างของนางพลิกตัวรวดเร็วคล่องแคล่วปานมัจฉาในสายน้ำร่าง กลับพุ่งแฉลบไปด้านข้างราวประกายไฟ
ความสามารถเช่นนี้นับว่าในยุทธภพมีน้อยกว่าน้อย อย่างไรนางก็เป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่นกกาโผบินตลอดไป ดังนั้นพอพลังสิ้นสุดแนวร่างโค้งโฉบลงพื้น เสียงขวับเคี้ยวถี่ยิบ เกาทัณฑ์กระหน่ำยิงเข้าใส่ปานห่าฝน
นั่นเป็นฝีมือของหน่วยเกาทัณฑ์เหล็กของทหารหลวง ซึ่งได้รับการฝึกปรือมาอย่างดีเยี่ยม สับเปลี่ยนกันยิงต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ธิดาทะเลหมุนตัวดั่งลูกข่าง กรีดมือวาดเท้าปัดลูกเกาทัณฑ์กระจัดกระจายออกไปรอบข้าง เหมือนปัดแมลงก่อความรำคาญให้ ก่อนพุ่งปราดไปยังเพิงที่พักตำแหน่งประธานพิธี
นางคล้ายมีขวัญกล้าแข็งอยู่ทั่วตัวไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ย่อมเป็นที่อยู่ของคนฝีมือสูงล้ำที่สุด
พลังเล็กแหลมสายหนึ่งจี้ปราดเข้าใส่ระหว่างคิ้วนางกลางอากาศ อย่างแม่นยำอำมหิต
ในที่สุดกระบี่เทพเจ้าก็ลงมือแล้ว
เกือบสองปีก่อนมาตรว่าจะปราชัยแก่ธิดากระบี่ม่วงหวาน แต่ในช่วงเวลาเลยผ่านมิสูญเปล่าเป็นไฟไร้เชื้อ มุ่งมั่นฝึกปรือฝีมือรุดหน้าเพิ่มพูน
ธิดาทะเลพลิกตัวกลับกลางอากาศ โฉบพลิกตัวลงแตะพื้น โดยมีกระบี่เทพเจ้าติดตามเป็นเงาตามตัว พริบตาจู่โจมสิบสามกระบี่...สิบสามกระบี่พลิกแพลงเป็นเจ็ดสิบสองกระบี่ ผนึกประสานสี่ทิศแปดทาง ปิดทางหลบสกัดทางถอยกระหน่ำแทงใส่จุดตาย เป็นยอดฝีมือธรรมดาประกันว่าจบสิ้นตั้งแต่กระบี่ที่หนึ่งแล้ว
ธิดาทะเลสลับเท้าพลิ้วร่างหลบเลี่ยง มิทราบว่าเป็นประการใดถึงกับสามารถหลบพ้นทุกกระบี่ ทั้งที่เห็นชัดว่าจะต้องถูกกระบี่แทงใส่กลายเป็นโพรงโลหิต
ขณะก้มศีรษะหลบ ประกายกระบี่ตัดผมยาวสยายของนางหลุดออกมาส่วนหนึ่ง เส้นผมเล็กละเอียดปลิวกระจายบางส่วนปลิวเข้านัยตาน์ตาของกระบี่เทพเจ้า
สภาวะกระบี่ชะงักวูบหนึ่ง
ธิดาทะเลอาศัยช่วงเวลาน้อยนิดกระชั้นสั้น พุ่งร่างขึ้นไปบนตำแหน่งหอประธานอีกครั้ง
ในหอถึงกับไร้ผู้คน ประสาทสัมผัสอันปราดเปรียวของนางพลันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
กลิ่นดินปืนที่กำลังจะปะทุ
บึม..!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หอประธานซุกซ่อนดินปืนเอาไว้มหาศาล ระเบิดออกพังพินาศเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลิ่นกำมะถันกลุ่มควันเปลวไฟพวยพุ่ง ควันไฟสีดำตะลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บางส่วนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นรูปดอกเห็ด
กับดักสำหรับจัดการกับธิดาทะเลวางไว้ทุกที่จริงๆ นี่ย่อมเป็นแผนของพวกเฒ่าหมื่นพันวาสนาวางเอาไว้
พวกมันพากันวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของธิดาทะเลจนสามารถพบว่า เมื่อนางมาปรากฏตัวต้องทำลายสิ่งก่อสร้างทุกส่วนราบเป็นหน้ากลองจึงจะยินยอ
ธิดาทะเลหรือแหลกละเอียดเป็นจุลไปแล้ว
สายลม กับความเหงา
เก็บความเศร้า เป็นที่เขียน
คว้าความเหงา ที่วนเวียน
ลงมาเขียน เป็นเรื่องราว
ลมฝนบนทะเลแปรปรวนรวนรวดเร็ว...ยามสงบเรียบราบงดงามปานใด สามารถแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลมโหมกระหน่ำก็ดุร้ายเกรี้ยวกราดบ้าคลั่งไม่คาดฝัน
นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าอิสตรีคล้ายทะเล พวกนางแปรปรวนรวดเร็ว....ยามสงบเรียบราบงดงามเร้าใจปานใด ในพริบตาหากแปรเปลี่ยนเป็นโมโหโทสะ ก็คล้ายคลื่นลมโหมกระหน่ำดุร้ายเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง ยามยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน โลกพลันกระจ่างสดใสบันดาลให้ผู้คนคึกคักกระตือรือร้น ยามโกรธขึ้งบึ้งตึงโลกพลันพลิกถล่มโถมทับกระแทกใส่จิตวิญญาณจนแตกตื่นขวัญหนี
ความจริงทะเลไม่ไร้น้ำใจ
สงบราบเรียบบ้าง เกรี้ยวกราดบ้าง แต่ทะเลก็คือทะเล ให้มวลหมู่มนุษยชาติดำรงคงอยู่ รองรับสิ่งสกปรกโสโครกลงอ้อมแขนสู่ทะเล ขัดเกลาบันเทาพิษภัย
อิสตรียิ่งไม่ไร้น้ำใจ
สงบราบเรียบบ้าง เกรี้ยวกราดบ้าง ยิ้มแย้มบ้าง ร่ำไห้บ้าง แต่อิสตรีก็คืออิสตรี ให้มวลหมู่มนุษยชาติดำรงคงอยู่ บางครั้งแปรเปลี่ยนมากมายหลายหลาก แต่บางครั้งก็เป็นอะไรไปได้ไม่มากกว่าอิสตรี บางครั้งเป็นยิ่งกว่าอิสตรี
ทะเลไม่อาจไม่แปรเปลี่ยน อิสตรียิ่งไม่อาจไม่เปลี่ยนแปร
เพราะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวจึงมีชีวิต
เพราะทะเลก็คือทะเล อิสตรีก็คืออิสตรี ทะเลไยมิใช่คล้ายอิสตรีมีชีวิตจริงๆ...?
หาดทรายขาวสะอาด เวิ้งทะเลกว้างไกลสุดสายตา
คลื่นลมสงบ ทว่าทะเลกลับไม่ราบเรียบ เนื่องเพราะมีเกาะแก่งใหญ่น้อยใกล้ไกลสลับลดหลั่นบนผืนน้ำ คล้ายเป็นค่ายกลจากธรรมชาติ ทิวสนเขียวสะบัดใบไล่รายเรียงโอบโค้งจรดขอบฟ้ากับปากอ่าวสองฝั่งฟาก สร้างทิวทัศน์งดงามราวเทพบรรจงเนรมิต
อ่าวเล็กๆ อยู่เกาะใหญ่ที่สุด กลางหมู่เกาะใหญ่น้อยจำนวนสี่สิบเจ็ดเกาะ เกาะที่เปรียบเหมือนราชันย์แห่งหมู่เกาะ เพราะหากคิดจะมาถึงสถานที่นี้ นับว่าลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรือใหญ่ต้องชนเข้ากับหมู่หินใต้ทะเล เกยสันทราย กระทั่งถูกวังวนของกระแสน้ำพากระแทกใส่ภูเขาหินจมลงสู่ก้นทะเล ถ้าเป็นเรือเล็กยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงเข้าใกล้หมู่เกาะก็ต้องถูกวังวนกระแสน้ำฉุดลงบดขยี้ย่อยยับดับสูญ
ที่อันตรายที่สุดคือปลอดภัยที่สุด คำๆ นี้อาจไม่ใช่ในทุกที่ แต่ที่นี้กลับใช้ได้ ความจริงรอบหมู่เกาะเต็มไปด้วยมหันตภัย อันตรายจากธรรมชาติ แต่สภาพรอบเกาะใหญ่แห่งนี้กลับสงบราบเรียบยิ่ง
ช่วงสายของวันนั้นเรือประมงเล็ก ๆ ลำหนึ่งค่อยแหวกคลื่นน้ำเข้าฝั่ง
บนเรือมีคนแต่งชุดประมงสองคน
เป็นดรุณีน้อยสองนาง แม้ว่าหน้าตารูปร่างสูงต่ำไล่เรื่อยกัน ท่าทางแตกต่างกันอย่างยิ่ง
คนอยู่ท้ายเรือดูคล้ายอายุมากกว่า ท่วงทีเข้มแข็ง ไม้พายอยู่ในมือความจริงออกแบบมาเพื่อบุรุษกำยำแข็งแรงแต่ นางกลับใช้มันพายเข้าฝั่งราวไม่มีน้ำหนัก
ดรุณีน้อยเยาว์วัยกว่า ท่าทางเรียบร้อยยิ่ง เรียบร้อยจนคล้ายคนป่วย หรือบางทีนางอาจเจ็บป่วยจริง ๆ
พอถึงฝั่งดรุณีเยาว์วัยคว้าตะกร้าและอุปกรณ์ออกจากเรือ ขณะสตรีอีกนางลากเรือประมงขึ้นไปเก็บบนฝั่ง เรือประมงลำนี้ไม่ใหญ่โต แต่ต่อให้เป็นบุรุษยังคงต้องใช้อย่างน้อยสี่คนดึงลากขึ้นฝั่ง แต่ดรุณีนางนั้นกลับลากขึ้นมาอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นถึงพละกำลังทั้งภายในภายนอกอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
แสงแดดลมลูบใล้ใบหน้าพวกนางเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ ในความงามงามสองแตกต่าง หนึ่งนุ่มนวลเรียบร้อย หนึ่งคมเข้มเร้าใจ มิว่าผู้ใดก็มิอาจตัดใจเลือกตัดสิน
ดรุณีท่าทางเรียบร้อยป่วยไข้ เหม่อมองกุ้งหอยปูปลาในตะกร้าจนซึมเซา เอ่ยคล้ายรำพึงรำพันว่า
"ปูปลาเหล่าพอนี้เกิดมาก็คล้ายถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอาหารมนุษย์..นี่กระมังคือวงจรวัฏสงสาร ส่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวลไม่ให้ได้หลุดพ้น……พวกมันจะทราบไหมว่าจะต้องอุทิศกายของมันเป็นอาหารพวกเรา"
"เอาอีกแล้ว…ปูน้อยแห่งท้องทะเลเริ่มต้นเทศนาส่ำสัตว์อีกแล้ว น่ากลัวว่าวันนี้ข้าคงรับฟังคำสั่งสอนของเจ้าจนถึงขั้นบรรลุอรหันต์ หรือกลายเป็นเซียนโบยบินขึ้นท้องฟ้าไปแน่"
ดรุณีอีกนางหันมาเหน็บแหนม แต่ประกายตาของนางอ่อนโยนยิ่ง ดรุณีปูน้อยยิ้มเล็กน้อย บอกว่า "ท่านดูสิ…มันลืมตา คล้ายไม่ทราบว่าจะต้องตายในไม่ช้านี้…หากมันกล่าววาจาได้มันจะบอกอะไรแก่เรา"
"ปูน้อย…" มืออีกฝ่ายลูบผมนางเบาๆ อย่างรักใคร่ "ข้ารับประกันว่าจะสังหารพวกมันในมีดเดียวก่อนปรุงเป็นอาหาร พวกมันจะตายอย่างรวดเร็วไม่รู้ตัว พวกมันจะไม่ทุกข์ทรมานทรกรรมแม้แต่น้อย ข้ารับรองได้"
"ท่านแน่ใจ"
"ข้าเคยหลอกเจ้า??"
ดรุณีน้อยยิ้มแย้มออกมาได้ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ซีดเซียว
"ข้าทราบ ท่านไม่เคยหลอกข้า"
.