เรียกได้ว่าเป็นหนังสือธรรมะเล่มแรก ที่ผมอ่านต่อเนื่องรวดเดียวจบได้ ต้องชมว่าคนเขียนผูกเรื่องเก่ง เรียบเรียงได้น่าติดตาม จนวางไม่ลงเลยทีเดียวครับ
*** รีวิวนี้จะมีสปอยล์นิด ๆ ***
ให้พอได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มันน่าสนุกอย่างไร แต่ผมจะเก็บความสนุกและเนื้อหาที่สำคัญเอาไว้ให้ไปอ่านกันเอง เพราะความตั้งใจที่เขียนรีวิวนี้คือการสร้างแรงกระตุ้นให้ท่านไปซื้อมาอ่านจริง ๆ เพราะผมได้ประโยชน์ทางใจจากหนังสือเล่มนี้มากจนอยากให้คนอื่นได้รับมันด้วยครับ
“จะเชื่อตอนเป็น หรือเห็นตอนตาย” เขียนโดย ณัฐพบธรรม
เป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง สวรรค์ นรก ภูติผี นิพพาน การกำเนิดและแตกดับของมนุษย์ โลก จักรวาล โดยอ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกเป็นหลัก และนำมาเล่าในรูปแบบของนิยาย ทำให้อ่านง่าย น่าติดตาม สนุกไปพร้อม ๆ กับการศึกษาพระไตรปิฎกได้ ซึ่งข้อนี้ผมว่า ณัฐพบธรรม ทำได้ดีมาก และเป็นกุศลมาก ที่นำส่งธรรมะให้ผู้คนได้เข้าถึงกันง่ายขึ้นแบบนี้
ความรู้สึกมันจะไม่เหมือนอ่านหนังสือธรรมะสักเท่าไร แต่เหมือนกำลังอ่านนิยาย ที่เล่าเรื่องชายไทยวัยทำงานคนหนึ่งชื่อกฤต ซึ่งมีบุคคลิกคล้ายตัวผมเองอย่างนึงคือ เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเรื่องสวรรค์ นรก ที่ไม่เคยสัมผัสด้วยประสบการณ์ตัวเองว่ามีอยู่จริงนั้น ผมเองแม้จะเป็นชาวพุทธมาตลอดตั้งแต่เด็ก ได้ยินได้ฟังเรื่องสวรรค์ นรก มาตลอด แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเชื่อ ส่วนกฤตนั้นหนักกว่าผม คือไม่เชื่อเลย จะเป็นสายวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ เลยว่า ทำบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์ ทำบาปเยอะตกนรกหมกไหม้นั้น เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น และกฤตนั้นก็ไม่เชื่อในพระไตรปิฎกด้วย เพราะมันถูกเขียนมานานเป็นพันปี มันพิสูจน์ได้ยากว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เขียนจริง หรือข้อมูลในนั้นจะเป็นเรื่องจริง ในเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่เชื่อ กฤตเป็นคนประมาณนั้น
...
แต่ที่ทำให้เรื่องราวของกฤตมันน่าติดตามก็คือ จู่ ๆ กฤตก็มองเห็นร่างตัวเองนอนอยู่
และมีชายชุดขาวบอกว่า ไม่ต้องตกใจ เธอยังไม่ตาย ซึ่งก็หมายความว่า เป็นการถอดจิต แต่สำหรับกฤตนั้นมันคือความฝันมากกว่า ก็เลยทำตัวให้สนุกไปกับความฝัน กฤตจึงได้ไปเที่ยวสวรรค์ โดยชายชุดขาวเป็นไกด์พาไปทัวร์
และระหว่างเที่ยวชมสววรค์นั้นเอง กฤตจึงได้รู้ที่มาที่ไปว่า เหล่านางฟ้า นางสววรค์เหล่านี้ ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อตอนเป็นมนุษย์ จึงได้เสวยสุขในวิมานบนสวรรค์เช่นนี้ และที่น่าตกใจคือ การได้พบกับคุณย่าที่เสียไปแล้วบนสวรรค์
...
ทุกอย่างเป็นเหมือนฝันไป กฤตตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง ในห้องของตัวเอง ออกไปทำงานตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ความเชื่อว่าการไปสวรรค์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงความฝันนั้น ต้องสั่นคลอน คือการได้เห็นข่าวการเสียชีวิตของผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในทีวี และซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่กฤตได้ยินในฝันเมื่อคืนว่า เป็นเทวดาองค์ใหม่ที่กำลังจะจุติบนสววรค์ในอีกไม่ช้า
กฤตจึงเริ่มทำการพิสูจน์บางอย่างทันที โดยการกดโทรศัพท์หาพ่อของเขา เพื่อถามข้อมูลบางอย่างที่ย่าเล่าให้ฟังตอนเจอกันบนสววรค์เมื่อคืนนี้ และพ่อของกฤตก็แสดงท่าทีตกใจ ว่ากฤตรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่พ่อไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่กฤตยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
...
คน Type แบบกฤตและผมเนี่ย ดูเหมือนจะเป็นคนดื้อที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ นะ แต่จริง ๆ เราก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง ขอแค่ตอบข้อสงสัยของเราได้ เอาจริง ๆ เราก็ต้องการแค่คำตอบที่ชัดเจนจนไม่หลงเหลือคำถามคาใจอีก เท่านั้นแหละ
พอเริ่มตอบคำถามได้ว่า สวรรค์ที่ไปเยี่ยมชมมานั้น ไม่น่าจะใช่แค่เพียงความฝัน กฤตก็เลยต้องการพบชายชุดขาวอีกครั้ง จึงลองตั้งจิตก่อนนอนแบบที่ชายชุดขาวแนะนำ แล้วก็ทำให้ได้พบกันอีกจริง ๆ จากนั้นกฤตก็ได้ไปพบกับเทวดา นางฟ้า ยมบาล อีกมากมาย ได้ไปสวรรค์อีกหลายชั้น ได้ไปนรก ได้ไปเห็นนารีผล เห็นเปรต แต่ละฉาก แต่ละบทสนทนานั้น ค่อย ๆ ตอบคำถามกฤตและคนอ่านไปเรื่อย ๆ กฤตจะคอยตั้งคำถามที่คนอ่านอยากรู้ และชายชุดขาวก็จะค่อย ๆ ตอบคำถาม โดยอ้างอิงตามพระไตรปิฎก ไปเรื่อย ๆ จนจบหนังสือเล่มนี้
...
สำหรับผม นอกจากความสนุกที่ได้ร่วมเดินทางไปกับกฤตแล้ว ผมยังได้ค้นพบจิ๊กซอว์ที่หายไป ที่ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับหลายเรื่องที่กำลังอยากรู้อยู่พอดี เช่น ความเกี่ยวข้องระหว่าง คลื่นพลังงานของจิต กับ ภพ หรือทฤษฎีโลกคู่ขนาน
ตั้งแต่มาศึกษาเรื่องพลังงานควอนตัม ผมก็คิดว่า สถานที่อย่างเมืองลับแลนั้น อาจจะมีจริงก็ได้ แต่มันเป็นเหมือนโลกคู่ขนาน ที่อยู่ที่เดียวกันนั่นแหละ แต่เป็นพลังงานในคนละคลื่นความถี่กัน ถ้ามนุษย์คนใด ดันรับคลื่นความถี่ได้ทั้งสองช่วง ก็จะเห็นเมืองลับแลนั้นซ้อนอยู่กับสถานที่ในโลกปัจจุบันอันเป็นคลื่นความถี่หลัก ซึ่งสิ่งที่ผมสรุปความได้จากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเช่นนั้น และมันก็อธิบายเรื่องการมองเห็น ภูติผี ปีศาจได้ด้วย
ถ้าจะให้ลองอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่ผมเข้าใจตอนนี้ ผมจะบอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นจิต ในรูปแบบพลังงานที่อยู่คนละคลื่นความถี่กับเรา ส่วนจิตเรามีคลื่นความถี่แบบนึง และมีภาชนะเป็นร่างกาย ซึ่งก็เป็นพลังงานในคลื่นความถี่นึงในภพของมนุษย์โลก ถ้าจังหวะที่เราและภูติผี ปีคาจ อยู่ ณ สถานที่เดียวกัน แล้วจิตเราสามารถปรับไปรับคลื่นความถี่เดียวกับเค้าได้ เราจะมองเห็น หรือได้ยิน หรือรู้สึก ถึงการมีอยู่ของเค้าได้ ไม่ต่างอะไรจากวิทยุ ที่ปรับไปคลื่น FM89 ก็จะเจอเพลงจาก Chill FM แต่พอปรับไปคลื่น FM100 จะได้ข่าวสารจราจรจาก จส.100 แทน ทั้งที่วิทยุก็ตั้งอยู่ ณ สถานที่เดียวกัน ไม่ได้ขยับไปไหน
นรก สวรรค์ ชั้นต่าง ๆ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนอย่างเมืองลับแล คือมันก็อยู่ของมันตรงนั้นแหละ แต่เราจะเห็นมันไหม ก็อยู่ที่คลื่นความถี่ของจิตเรา ซึ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จิตเราหยาบมาก เพราะเราไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียด ให้อยู่กับความจริง แต่เราอยู่กับสิ่งปรุงแต่ง อยู่กับกิเลสจนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เราวิ่งตามเงิน ตามเทคโนโลยี ตามความสุขจากการสนองกิเลส กันมาหลายร้อยปี จนจิตมนุษย์เราหยาบขึ้นมาก มนุษย์สมัยก่อนนั้น โอกาสในการเข้าถึงสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นกิเลสมีน้อยกว่าปัจจุบัน จิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคนั้นจึงละเอียดกว่านี้ คนที่เห็นภูติผี ปีศาจ หรือแม้แต่เทพ เทวดา นางฟ้า จึงมีเป็นปกติ และเมื่อพบเห็นกันได้ สัมผัสกันได้ การจะเกิดความรักชอบพอกัน จนเสพกามร่วมกันนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพราะเทวดา นางฟ้าเองก็มีหลายระดับ อาจจะยังคงมีที่ยังละกิเลสไม่ได้อยู่บ้างเป็นธรรมดา แค่คำอธิบายนี้ ก็ทำให้ผมทึ่งแล้วว่า เรื่องราวในวรรณคดีต่าง ๆ ครึ่งคนครึ่งเทพ อะไรเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องจริงในอดีตกาล ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา ก็เป็นได้
ผมจึงรู้สึกว่า ผมเจอจิ๊กซอว์ที่ตอบคำถามผมได้อีกครั้ง ว่าผมจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้นไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อได้มีอิทธิฤทธิ์ สร้างปาฏิหาริย์ มองเห็นนรก สวรรค์ วิญญาณได้ แต่เพื่อมองเห็นความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ด้วยตนเอง เพราะศักยภาพของจิตผมตอนนี้นั้น ยังละกิเลสไม่มากพอ ยังละเอียดไม่มากพอที่จะรับรู้ความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ได้ แม้ว่ามันจะอยู่แค่ตรงหน้าผมก็ตาม ในมุมนี้มัน Inspire ผมให้กลับมานั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนาจริงจัง
...
อีกเรื่องที่ผมได้ค้นพบและอยากแบ่งปันในรีวิวนี้คือ เรื่องของ
กฎแห่งกรรม
แม้มันจะเข้าใจได้ยากในทางวิทยาศาสตร์ ว่าธรรมชาติ ใช้กลไกอะไรในการทำให้สรรพสัตว์ ได้รับผลแห่งการกระทำเสมอ ทำไมคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเยอะ ๆ เวลาเขาตกที่นั่งลำบากก็มักจะมีความช่วยเหลือแบบปาฏิหาริย์ เข้ามาหาเขาเสมอ ทำไมคนที่ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตอื่นมาก ๆ แม้จะมีเงินเยอะ แต่ชีวิตของเขาก็มักถูกเบียดเบียนมากเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ที่เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ที่ฆ่าสัตว์มาเยอะ ว่าเค้าจบชีวิตเช่นไร
แต่ในอีกภพหนึ่งที่เราไม่สามารถใช้อุปกรณ์ในภพนี้ ไปวัดค่าได้ กลไกของนรกสวรรค์ กลับอธิบายเรื่องนี้เอาไว้หมดแล้ว เพียงแต่มันยากที่จะเชื่อ เพราะเราเคยชินกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ที่ถูกสร้างขึ้นในภพนี้ ในคลื่นความถี่นี้เท่านั้น เราแค่ไม่รู้จักความจริงในอีกภพหนึ่ง ซึ่งเคยมีมนุษย์ที่ฝึกจิตจนละเอียดมากพอ จนไปเห็น ไปเข้าใจภพนั้น และนำมาบอกเล่าแก่เราแล้ว แต่เรายังคงถกเถียงกันอยู่ว่า มันจริงเหรอ เชื่อถือได้แค่ไหน มโนหรือเปล่า
ถึงตอนนี้ ผมนึกถึงประโยคหนึ่งจาก นิกาย เซน
“คัมภีร์เหมือนนิ้วที่ชี้ให้เห็นดวงจันทร์”
แต่คนเราส่วนมาก ดันมาโฟกัส มาตั้งคำถามที่นิ้วกันอยู่นั่นแหละ ชี้ให้ตายก็ยังมองไม่เห็นดวงจันทร์ อันเป็นเป้าหมายของนิ้วนั้นเสียที
...
บางเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ในพระไตรปิฎกเรียกว่า อจินไตย ถ้าไปค้น Wikipedia จะเจอว่ามี 4 แบบ
พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจแหละครับ ที่ผมอยากจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ฝึกจิตจนบรรลุธรรมได้ โดยที่จิตยังอยู่ในภาชนะร่างกายมนุษย์ และได้เผยแผ่ จนหลักธรรม คำสอน ยังคงมีบันทึกไว้ในภพมนุษย์โลกนี้ ส่งมารุ่นต่อรุ่นจนทุกวันนี้
และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คนเจ้าตรรกะอย่างผม อยากทำบุญมากขึ้น ปล่อยวางเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ที่เราจะไม่ให้เงินขอทาน มันขอทานจริงหรือปลอมวะ? ยิ่งให้เงินขอทานยิ่งสร้างปัญหาให้สังคมป่าววะ? ฯลฯ ไรพวกนี้ ถ้ามีเมตตา ต้องการจะแบ่งปัน ก็แค่ให้ เท่านั้นพอ หรือบางช่วงที่เราขัดสน มีไม่พอ เราจะยิ่งงก ยิ่งตระหนี่ โดยมีข้ออ้างว่า เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหม ทุกบทสนทนาในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมมีจิตที่เมตตามากขึ้น และต้องการสะสมบุญให้มากขึ้น ในทุก ๆ วินาทีที่เรายังมีโอกาส
...
ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ทำให้ผม “ปล่อยวาง” การตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความจริง” ในพระไตรปิฎก ได้ค่อนข้างมาก
ผมได้เข้าใจว่า การทำแบบนั้น มันเหมือนผมกำลังใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ ไปจับผิดภาพวาด Abstract ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถ้าผมอยากเข้าใจงานชิ้นนั้นจริง ๆ ผมควรละทิ้งความรู้ ความเชื่อทางฟิสิกส์ที่ผมมี แล้วเอาตัวเองก้าวเข้าสู่โลกของงานวาดแบบ Abstract เพื่อสัมผัสมันในมุมมองของศิลปิน ไม่ใช่ใช้มุมมองของนักฟิสิกส์ตัดสินงานศิลป์อยู่ได้
วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ ฯลฯ ล้วนเป็นเป็นเพียงนิ้วที่กำลังชี้ให้ผมมองเห็นพระจันทร์เท่านั้น ผมควรจะเลิกสนใจนิ้ว เลิกตั้งคำถามกับนิ้ว หรือเจ้าของนิ้ว แล้วหันไปศึกษาพระจันทร์จริงจังเสียทีจะดีกว่า
...
หากรีวิวนี้ของผม ทำให้คุณได้คุณค่าบางอย่าง ผมอยากบอกว่า มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ผมได้จากหนังสือเล่มบาง ๆ สองร้อยกว่าหน้า ที่อ่านแป๊ปเดียวก็จบ เล่มนี้เท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ได้อ่านเต็ม ๆ เล่มด้วยตัวเองนะครับ
ผมเชื่อว่า คุณจะสนุกไปกับการได้ร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กฤต แล้วคลื่นความถี่ของจิต จะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่คุณได้ค้นพบใหม่แน่นอน
...
ถ้าชอบรีวิวประมาณนี้ ตามไปอ่านเรื่องอื่น ๆ ได้ที่ Blog ของผมนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://thirdnuntawat.com
[CR] รีวิวหนังสือธรรมะ | จะเชื่อตอนเป็นหรือเห็นตอนตาย
*** รีวิวนี้จะมีสปอยล์นิด ๆ ***
ให้พอได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มันน่าสนุกอย่างไร แต่ผมจะเก็บความสนุกและเนื้อหาที่สำคัญเอาไว้ให้ไปอ่านกันเอง เพราะความตั้งใจที่เขียนรีวิวนี้คือการสร้างแรงกระตุ้นให้ท่านไปซื้อมาอ่านจริง ๆ เพราะผมได้ประโยชน์ทางใจจากหนังสือเล่มนี้มากจนอยากให้คนอื่นได้รับมันด้วยครับ
“จะเชื่อตอนเป็น หรือเห็นตอนตาย” เขียนโดย ณัฐพบธรรม
เป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง สวรรค์ นรก ภูติผี นิพพาน การกำเนิดและแตกดับของมนุษย์ โลก จักรวาล โดยอ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกเป็นหลัก และนำมาเล่าในรูปแบบของนิยาย ทำให้อ่านง่าย น่าติดตาม สนุกไปพร้อม ๆ กับการศึกษาพระไตรปิฎกได้ ซึ่งข้อนี้ผมว่า ณัฐพบธรรม ทำได้ดีมาก และเป็นกุศลมาก ที่นำส่งธรรมะให้ผู้คนได้เข้าถึงกันง่ายขึ้นแบบนี้
ความรู้สึกมันจะไม่เหมือนอ่านหนังสือธรรมะสักเท่าไร แต่เหมือนกำลังอ่านนิยาย ที่เล่าเรื่องชายไทยวัยทำงานคนหนึ่งชื่อกฤต ซึ่งมีบุคคลิกคล้ายตัวผมเองอย่างนึงคือ เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเรื่องสวรรค์ นรก ที่ไม่เคยสัมผัสด้วยประสบการณ์ตัวเองว่ามีอยู่จริงนั้น ผมเองแม้จะเป็นชาวพุทธมาตลอดตั้งแต่เด็ก ได้ยินได้ฟังเรื่องสวรรค์ นรก มาตลอด แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเชื่อ ส่วนกฤตนั้นหนักกว่าผม คือไม่เชื่อเลย จะเป็นสายวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ เลยว่า ทำบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์ ทำบาปเยอะตกนรกหมกไหม้นั้น เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น และกฤตนั้นก็ไม่เชื่อในพระไตรปิฎกด้วย เพราะมันถูกเขียนมานานเป็นพันปี มันพิสูจน์ได้ยากว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เขียนจริง หรือข้อมูลในนั้นจะเป็นเรื่องจริง ในเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่เชื่อ กฤตเป็นคนประมาณนั้น
...
แต่ที่ทำให้เรื่องราวของกฤตมันน่าติดตามก็คือ จู่ ๆ กฤตก็มองเห็นร่างตัวเองนอนอยู่
และมีชายชุดขาวบอกว่า ไม่ต้องตกใจ เธอยังไม่ตาย ซึ่งก็หมายความว่า เป็นการถอดจิต แต่สำหรับกฤตนั้นมันคือความฝันมากกว่า ก็เลยทำตัวให้สนุกไปกับความฝัน กฤตจึงได้ไปเที่ยวสวรรค์ โดยชายชุดขาวเป็นไกด์พาไปทัวร์
และระหว่างเที่ยวชมสววรค์นั้นเอง กฤตจึงได้รู้ที่มาที่ไปว่า เหล่านางฟ้า นางสววรค์เหล่านี้ ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อตอนเป็นมนุษย์ จึงได้เสวยสุขในวิมานบนสวรรค์เช่นนี้ และที่น่าตกใจคือ การได้พบกับคุณย่าที่เสียไปแล้วบนสวรรค์
...
ทุกอย่างเป็นเหมือนฝันไป กฤตตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง ในห้องของตัวเอง ออกไปทำงานตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ความเชื่อว่าการไปสวรรค์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงความฝันนั้น ต้องสั่นคลอน คือการได้เห็นข่าวการเสียชีวิตของผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในทีวี และซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่กฤตได้ยินในฝันเมื่อคืนว่า เป็นเทวดาองค์ใหม่ที่กำลังจะจุติบนสววรค์ในอีกไม่ช้า
กฤตจึงเริ่มทำการพิสูจน์บางอย่างทันที โดยการกดโทรศัพท์หาพ่อของเขา เพื่อถามข้อมูลบางอย่างที่ย่าเล่าให้ฟังตอนเจอกันบนสววรค์เมื่อคืนนี้ และพ่อของกฤตก็แสดงท่าทีตกใจ ว่ากฤตรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่พ่อไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่กฤตยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
...
คน Type แบบกฤตและผมเนี่ย ดูเหมือนจะเป็นคนดื้อที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ นะ แต่จริง ๆ เราก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง ขอแค่ตอบข้อสงสัยของเราได้ เอาจริง ๆ เราก็ต้องการแค่คำตอบที่ชัดเจนจนไม่หลงเหลือคำถามคาใจอีก เท่านั้นแหละ
พอเริ่มตอบคำถามได้ว่า สวรรค์ที่ไปเยี่ยมชมมานั้น ไม่น่าจะใช่แค่เพียงความฝัน กฤตก็เลยต้องการพบชายชุดขาวอีกครั้ง จึงลองตั้งจิตก่อนนอนแบบที่ชายชุดขาวแนะนำ แล้วก็ทำให้ได้พบกันอีกจริง ๆ จากนั้นกฤตก็ได้ไปพบกับเทวดา นางฟ้า ยมบาล อีกมากมาย ได้ไปสวรรค์อีกหลายชั้น ได้ไปนรก ได้ไปเห็นนารีผล เห็นเปรต แต่ละฉาก แต่ละบทสนทนานั้น ค่อย ๆ ตอบคำถามกฤตและคนอ่านไปเรื่อย ๆ กฤตจะคอยตั้งคำถามที่คนอ่านอยากรู้ และชายชุดขาวก็จะค่อย ๆ ตอบคำถาม โดยอ้างอิงตามพระไตรปิฎก ไปเรื่อย ๆ จนจบหนังสือเล่มนี้
...
สำหรับผม นอกจากความสนุกที่ได้ร่วมเดินทางไปกับกฤตแล้ว ผมยังได้ค้นพบจิ๊กซอว์ที่หายไป ที่ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับหลายเรื่องที่กำลังอยากรู้อยู่พอดี เช่น ความเกี่ยวข้องระหว่าง คลื่นพลังงานของจิต กับ ภพ หรือทฤษฎีโลกคู่ขนาน
ตั้งแต่มาศึกษาเรื่องพลังงานควอนตัม ผมก็คิดว่า สถานที่อย่างเมืองลับแลนั้น อาจจะมีจริงก็ได้ แต่มันเป็นเหมือนโลกคู่ขนาน ที่อยู่ที่เดียวกันนั่นแหละ แต่เป็นพลังงานในคนละคลื่นความถี่กัน ถ้ามนุษย์คนใด ดันรับคลื่นความถี่ได้ทั้งสองช่วง ก็จะเห็นเมืองลับแลนั้นซ้อนอยู่กับสถานที่ในโลกปัจจุบันอันเป็นคลื่นความถี่หลัก ซึ่งสิ่งที่ผมสรุปความได้จากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเช่นนั้น และมันก็อธิบายเรื่องการมองเห็น ภูติผี ปีศาจได้ด้วย
ถ้าจะให้ลองอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่ผมเข้าใจตอนนี้ ผมจะบอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นจิต ในรูปแบบพลังงานที่อยู่คนละคลื่นความถี่กับเรา ส่วนจิตเรามีคลื่นความถี่แบบนึง และมีภาชนะเป็นร่างกาย ซึ่งก็เป็นพลังงานในคลื่นความถี่นึงในภพของมนุษย์โลก ถ้าจังหวะที่เราและภูติผี ปีคาจ อยู่ ณ สถานที่เดียวกัน แล้วจิตเราสามารถปรับไปรับคลื่นความถี่เดียวกับเค้าได้ เราจะมองเห็น หรือได้ยิน หรือรู้สึก ถึงการมีอยู่ของเค้าได้ ไม่ต่างอะไรจากวิทยุ ที่ปรับไปคลื่น FM89 ก็จะเจอเพลงจาก Chill FM แต่พอปรับไปคลื่น FM100 จะได้ข่าวสารจราจรจาก จส.100 แทน ทั้งที่วิทยุก็ตั้งอยู่ ณ สถานที่เดียวกัน ไม่ได้ขยับไปไหน
นรก สวรรค์ ชั้นต่าง ๆ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนอย่างเมืองลับแล คือมันก็อยู่ของมันตรงนั้นแหละ แต่เราจะเห็นมันไหม ก็อยู่ที่คลื่นความถี่ของจิตเรา ซึ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จิตเราหยาบมาก เพราะเราไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียด ให้อยู่กับความจริง แต่เราอยู่กับสิ่งปรุงแต่ง อยู่กับกิเลสจนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เราวิ่งตามเงิน ตามเทคโนโลยี ตามความสุขจากการสนองกิเลส กันมาหลายร้อยปี จนจิตมนุษย์เราหยาบขึ้นมาก มนุษย์สมัยก่อนนั้น โอกาสในการเข้าถึงสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นกิเลสมีน้อยกว่าปัจจุบัน จิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคนั้นจึงละเอียดกว่านี้ คนที่เห็นภูติผี ปีศาจ หรือแม้แต่เทพ เทวดา นางฟ้า จึงมีเป็นปกติ และเมื่อพบเห็นกันได้ สัมผัสกันได้ การจะเกิดความรักชอบพอกัน จนเสพกามร่วมกันนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพราะเทวดา นางฟ้าเองก็มีหลายระดับ อาจจะยังคงมีที่ยังละกิเลสไม่ได้อยู่บ้างเป็นธรรมดา แค่คำอธิบายนี้ ก็ทำให้ผมทึ่งแล้วว่า เรื่องราวในวรรณคดีต่าง ๆ ครึ่งคนครึ่งเทพ อะไรเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องจริงในอดีตกาล ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา ก็เป็นได้
ผมจึงรู้สึกว่า ผมเจอจิ๊กซอว์ที่ตอบคำถามผมได้อีกครั้ง ว่าผมจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้นไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อได้มีอิทธิฤทธิ์ สร้างปาฏิหาริย์ มองเห็นนรก สวรรค์ วิญญาณได้ แต่เพื่อมองเห็นความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ด้วยตนเอง เพราะศักยภาพของจิตผมตอนนี้นั้น ยังละกิเลสไม่มากพอ ยังละเอียดไม่มากพอที่จะรับรู้ความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ได้ แม้ว่ามันจะอยู่แค่ตรงหน้าผมก็ตาม ในมุมนี้มัน Inspire ผมให้กลับมานั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนาจริงจัง
...
อีกเรื่องที่ผมได้ค้นพบและอยากแบ่งปันในรีวิวนี้คือ เรื่องของกฎแห่งกรรม
แม้มันจะเข้าใจได้ยากในทางวิทยาศาสตร์ ว่าธรรมชาติ ใช้กลไกอะไรในการทำให้สรรพสัตว์ ได้รับผลแห่งการกระทำเสมอ ทำไมคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเยอะ ๆ เวลาเขาตกที่นั่งลำบากก็มักจะมีความช่วยเหลือแบบปาฏิหาริย์ เข้ามาหาเขาเสมอ ทำไมคนที่ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตอื่นมาก ๆ แม้จะมีเงินเยอะ แต่ชีวิตของเขาก็มักถูกเบียดเบียนมากเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ที่เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ที่ฆ่าสัตว์มาเยอะ ว่าเค้าจบชีวิตเช่นไร
แต่ในอีกภพหนึ่งที่เราไม่สามารถใช้อุปกรณ์ในภพนี้ ไปวัดค่าได้ กลไกของนรกสวรรค์ กลับอธิบายเรื่องนี้เอาไว้หมดแล้ว เพียงแต่มันยากที่จะเชื่อ เพราะเราเคยชินกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ที่ถูกสร้างขึ้นในภพนี้ ในคลื่นความถี่นี้เท่านั้น เราแค่ไม่รู้จักความจริงในอีกภพหนึ่ง ซึ่งเคยมีมนุษย์ที่ฝึกจิตจนละเอียดมากพอ จนไปเห็น ไปเข้าใจภพนั้น และนำมาบอกเล่าแก่เราแล้ว แต่เรายังคงถกเถียงกันอยู่ว่า มันจริงเหรอ เชื่อถือได้แค่ไหน มโนหรือเปล่า
ถึงตอนนี้ ผมนึกถึงประโยคหนึ่งจาก นิกาย เซน
“คัมภีร์เหมือนนิ้วที่ชี้ให้เห็นดวงจันทร์”
แต่คนเราส่วนมาก ดันมาโฟกัส มาตั้งคำถามที่นิ้วกันอยู่นั่นแหละ ชี้ให้ตายก็ยังมองไม่เห็นดวงจันทร์ อันเป็นเป้าหมายของนิ้วนั้นเสียที
...
บางเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ในพระไตรปิฎกเรียกว่า อจินไตย ถ้าไปค้น Wikipedia จะเจอว่ามี 4 แบบ
พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจแหละครับ ที่ผมอยากจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ฝึกจิตจนบรรลุธรรมได้ โดยที่จิตยังอยู่ในภาชนะร่างกายมนุษย์ และได้เผยแผ่ จนหลักธรรม คำสอน ยังคงมีบันทึกไว้ในภพมนุษย์โลกนี้ ส่งมารุ่นต่อรุ่นจนทุกวันนี้
และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คนเจ้าตรรกะอย่างผม อยากทำบุญมากขึ้น ปล่อยวางเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ที่เราจะไม่ให้เงินขอทาน มันขอทานจริงหรือปลอมวะ? ยิ่งให้เงินขอทานยิ่งสร้างปัญหาให้สังคมป่าววะ? ฯลฯ ไรพวกนี้ ถ้ามีเมตตา ต้องการจะแบ่งปัน ก็แค่ให้ เท่านั้นพอ หรือบางช่วงที่เราขัดสน มีไม่พอ เราจะยิ่งงก ยิ่งตระหนี่ โดยมีข้ออ้างว่า เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหม ทุกบทสนทนาในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมมีจิตที่เมตตามากขึ้น และต้องการสะสมบุญให้มากขึ้น ในทุก ๆ วินาทีที่เรายังมีโอกาส
...
ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ทำให้ผม “ปล่อยวาง” การตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความจริง” ในพระไตรปิฎก ได้ค่อนข้างมาก
ผมได้เข้าใจว่า การทำแบบนั้น มันเหมือนผมกำลังใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ ไปจับผิดภาพวาด Abstract ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถ้าผมอยากเข้าใจงานชิ้นนั้นจริง ๆ ผมควรละทิ้งความรู้ ความเชื่อทางฟิสิกส์ที่ผมมี แล้วเอาตัวเองก้าวเข้าสู่โลกของงานวาดแบบ Abstract เพื่อสัมผัสมันในมุมมองของศิลปิน ไม่ใช่ใช้มุมมองของนักฟิสิกส์ตัดสินงานศิลป์อยู่ได้
วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ ฯลฯ ล้วนเป็นเป็นเพียงนิ้วที่กำลังชี้ให้ผมมองเห็นพระจันทร์เท่านั้น ผมควรจะเลิกสนใจนิ้ว เลิกตั้งคำถามกับนิ้ว หรือเจ้าของนิ้ว แล้วหันไปศึกษาพระจันทร์จริงจังเสียทีจะดีกว่า
...
หากรีวิวนี้ของผม ทำให้คุณได้คุณค่าบางอย่าง ผมอยากบอกว่า มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ผมได้จากหนังสือเล่มบาง ๆ สองร้อยกว่าหน้า ที่อ่านแป๊ปเดียวก็จบ เล่มนี้เท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ได้อ่านเต็ม ๆ เล่มด้วยตัวเองนะครับ
ผมเชื่อว่า คุณจะสนุกไปกับการได้ร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กฤต แล้วคลื่นความถี่ของจิต จะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่คุณได้ค้นพบใหม่แน่นอน
...
ถ้าชอบรีวิวประมาณนี้ ตามไปอ่านเรื่องอื่น ๆ ได้ที่ Blog ของผมนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้