สวัสดีค่ะทุกคน ขอมาแชร์ประสบการณ์และระบายความรู้สึกของชีวิตคู่ที่ไม่ได้มีแค่เราสองคนนะคะ
เรื่องราวแม่ผัวลูกสะใภ้ที่ได้ยินมานาน เราก็ไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเราเอง ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราอายุ 25 ปี เป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบอยู่เงียบๆ มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนน้อย ดื้อและหัวรั้นหน่อยๆ ไม่ค่อยชอบยิ้ม หัวเราะยาก อ้อนไม่เป็น เอาใจไม่เก่ง มีความคิดว่าคนที่อายุมากกว่า ใช่ว่า จะถูกเสมอ เด็กสมัยใหม่ ที่คิดต่างใช่ว่าจะผิดเสมอ ไม่ชอบใครมากำกับ หรือสั่งให้ทำตามในสิ่งที่ไม่ชอบ....ดูจะเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยเนาะ 555 แต่ที่จริงเป็นคนจิตใจดีนะ เราครบกับแฟนคนนี้มา 9 ปีแล้วค่ะ แฟนเราอายุมากกว่า 1 ปี ตลอดระยะเวลาคบกัน มีความสุขดี เข้ากันได้แทบทุกเรื่อง เข้าใจกันดี ทะเลาะกันบ้างแต่น้อยมาก ไม่เคยทะเลาะรุนแรง ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามาด้วยกันมากมาย ช่วยกันแก้ไขตลอด คุยกันได้แทบทุกเรื่อง ไม่เคยมีปัญหานอกใจ “เราคิดว่าเราโชคดีมากที่จะได้ใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้” คนรอบข้าง 99% ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนไม่สนิท ญาติของทุกฝ่าย ครู อาจารย์ ที่รู้จักคู่เรา ชื่นชมคู่เรามาก ดูแลกันมาตลอดไม่เคยทำเรื่องเสียหาย ช่วยกันหาเงิน ทำธุรกิจ บลา บลา บลา
แต่มีอยู่ 1 คน ที่เรารู้สึกมีกำลังภายใน ว่าเขาไม่โอเคกับเรา อาจด้วยนิสัยข้างต้นของเราด้วย ที่ไม่ชอบเอาอก เอาใจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ความเป็นแม่ศรีเรือนน้อย เขาคนนี้ คือแม่ของแฟนเราเอง เราจะเล่าไปทีละเหตุการณ์นะคะ
เหตุการณ์ที่ 1 : เริ่มแรกที่รู้จักกันเลยนะคะ จะว่าเริ่มไม่สวยก็ใช่ ตอนแฟนจีบเราใหม่ๆช่วงนั้นมีปัญหากัน เรายังไม่เลิกกับแฟนเก่า ซึ่งแฟนเก่าเราเขามีผู้หญิงคนอื่น แล้วไม่ยอมเลิกกับเรา มาตามกวน รังควาน แล้วเป็นจังหวะที่แฟนคนปัจจุบันเข้ามาขอคุยพอดี แฟนเก่าเรารู้เรื่อง ก็หาเรื่องไปหมด ทำให้พ่อกับแม่ของแฟนปัจจุบัน ไม่พอใจ ก็ไม่อยากให้ลูกชายมายุ่งกับเรา มองว่าเราไม่ดี ไปต่างๆนานา เวลาเราคุยโทรศัพท์กับแฟนเรา แม่แฟน ก็ด่าเสียงลอดเข้าโทรศัพท์ ว่า “อย่าไปคุยกับมันอี....นั้น” เสียงดังมาก ตอนนั้นเราเด็กมากอยู่ม.ปลาย ได้ยินคำนี้ก็จุกนะ เราเลยไม่อยากคบกับแฟนตั้งแต่แรก พยายามปฏิเสธการติดต่อทุกช่องทาง แค่เริ่มต้นก็ไม่สวยแล้ว เราก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงให้ดีต่อไป เลยจะตัดปัญหาด้วยการไม่คบกับแฟนคนนี้ แต่แฟนก็พยายามขอคุยด้วยในฐานะพี่ชายก็ได้ มาตื้อ อยู่โรงเรียนก็มาเจอ จนสุดท้ายก็ได้เปิดตัวเป็นแฟนกัน แล้วเรากับแฟน ก็เคยคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น ว่า “เราสองคนจะต้องทำให้พ่อแม่เห็นว่าเราดีให้ได้” คือตั้งใจลบภาพลักษณะการเริ่มต้นที่ไม่สวยของเรา แล้วทำตัวดีๆให้ท่านเข้าใจ และนี้คือการทำความรู้จักกันเมื่อ 9 ปีที่แล้วค่ะ
เหตุการณ์ที่ 2 : แล้วเวลาก็ล่วงเลยมา 2-3 ปี เราสองคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน ช่วงเรียนแรกๆก็สบายใจดี เจอแม่แฟนน้อยมาก ตอนเจอก็มีเกร็งๆบ้าง จนช่วงเราอยู่ปี 4 แฟนเราจบไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนแม่แฟนมาเปิดร้านอาหารที่มหาวิทยาลัย ด้วยต้นทุนที่น้อย เขาไม่ได้จ้างคนเยอะ เลยให้เราไปช่วย แทบทุกวัน เราเรียนก็เหนื่อยแล้ว ทุกเย็นต้องไปช่วยงานที่ร้าน วันไหนปฏิเสธ แฟนเราก็หาว่าไม่ไปช่วยแม่เขา หลังๆเราไม่อยากไปจริงๆ ไม่รับโทรศัพท์เลย เข้าไปแล้วรีบออกมาบ้าง เราก็เริ่มไปแบบไม่เต็มใจ ก็เริ่มไม่มีความสุข เริ่มอึดอัด แฟนให้เราดูแลทำบัญชี เราก็ทำรายได้ กำไร ขาดทุน ละเอียดหยิบ แต่เปิดร้านแรกๆกำไรก็ยังไม่เห็น มีขาดทุนบ้างบางวัน แม่แฟนก็หงุดหงิด บ่นว่าขายของยังไงไม่มีเงิน เราเป็นคนเก็บเงิน เวลาแม่แฟนไปตลาดต้องมาเบิกกับเราเรา ก็บ่นเหมือนว่า เรากับแฟน จ้างแม่เป็นลูกจ้าง แล้วก็พูดลอยๆมาว่า “สูเห็นกูเป็นขี้ค่าสูตี่” (ภาษาอิสาน) เราก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเรา อุ๊บอิ๊บเงิน เราเลยบอกแฟนว่าให้แม่ทำนะ ไม่อยากทำแล้ว เรามาช่วยเรื่องเด็กเสริฟแทน ชวนเพื่อน ชวนน้องคณะ มาทำงานที่ร้านช่วย เพื่อนก็อยู่ไม่ได้ น้องก็เวียนมาบ้างไม่มาบ้าง คือไม่มีใครอยู่ประจำได้ แม่ทำอาหารเอง รับผู้ช่วยมา ก็ไม่มีใครอยู่ด้วยได้นาน ใครทำแบบไหนก็ไม่ถูกใจ ก็จะหน้าบึ่งๆ ชอบพูดเสียงดัง เวลาลูกค้าเยอะ ทำไม่ทันก็อารมณ์เสียใส่ลูกน้อง ตอนนั้นคุยโทรศัพท์ทะเลาะกับพ่อแฟน เด็กเสริฟเต็มร้าน ด่ากันหูดับตับไหม้ เสียงดังเป็นชั่วโมง ทุกคนมองหน้ากัน ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน บอกเลยว่าเราเสียประสาทมาก อายน้อง อายเพื่อนที่เราพามาทำงานมาก ตัวเราเองมาช่วยงานค่าจ้างเราไม่ได้ซักบาท คำชื่นชม คำขอบใจ ไม่เคยได้ยิน เรามีความรู้สึกว่า แม่แฟนคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เราต้องมาช่วย ถ้าไม่มาคือผิด ไม่รู้จักความ อยู่ใกล้แค่นี้ไม่มาช่วยงานที่ร้าน แล้วแฟนเราก็ขยั่นขยอให้เรามาช่วยทุกวัน อารมณ์อยากให้แม่เขาเห็นว่าเรามาช่วยนะ ไม่ได้ทิ้งไปไหน ซึ่งตอนนั้นแฟนทำงานต่างจังหวัด มาได้สัปดาห์ละครั้ง ช่วงนั้นคือเครียดกินประสาทมาก ใจลอยทุกครั้งคือคิดเรื่องนี้ ว่าเราจะอยู่กับแม่แฟนได้หรอ ทำไมอึดอัดจัง ตอนดีก็เป็นปกติสนุกสนานกับลูกๆ แต่ตอนอารมณ์ไม่ดี หรือไม่พอใจ จะหวีน ทำให้สถานการณ์ บรรยากาศทุกอย่างอยู่ยากมาก ไม่มีใครเตือนได้ พ่อแฟนเตือนก็โดนด่า ลูกชายเตือนก็โกรธน้อยใจ ง่ายมาก เราอยากไปกินข้าวร้านอื่นกับแฟนสองคน ตอนแม่เปิดร้าน ไม่ได้เด็ดขาด จะเกิดอาการประชดประชันทันที ต้องแอบไป หรือต้องรอพาไปด้วย เพื่อนที่มาช่วยงานแค่ อาทิตย์เดียว บอกว่า "กูสงสารว่ะ ทนได้ไงวะ" จนเราเรียนจบ ไปทำงานที่อื่น ค่อยผ่านสถานการณ์นี้มาได้
เราเคยคิดเลิกกับแฟนเพราะเรื่องนี้ นี้แค่ยังเป็นแฟนกัน ไม่ได้นอนบ้านเดียวกัน ไม่ได้เจอกันทุกวัน ยังอึดอัดทุกครั้งที่ไปเจอ เมื่อแฟนบอกจะพาไปเจอแม่ ไปเที่ยวเป็นครอบครัว เราก็ต้องไปทุกครั้งนั้นแหละ แต่มันจะมีความรู้สึกไม่อยากไปอยู่ลึกๆ แต่ก็ต้องไป เราก็อดทนมาตลอด เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เป็นคนลืมไม่ลง ฝั่งใจ ไม่รู้ว่านี้เรียกว่าทิฐิ รึป่าว แล้วอาการเราเริ่มออก แม่แฟนบอกหรือพูดด้วย หน้าจะนิ่งๆยิ้มไม่ออก ไม่เชื่อฟัง ทำตามบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำเป็นว่าทำอย่างอื่นอยู่ ทำตัวยุ่งๆ ไม่ว่าง แต่ไม่กล้าปฏิเสธ หลังๆจะบอกผ่านแฟนเรา ให้เราได้ยิน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำหรือไม่ทำ
เราคุยกับแฟนหลายรอบมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แฟนไม่เข้าใจเรา จะบอกเสมอว่าเรามีอัคติ มีทิฐิ ให้ปรับตัว ให้ทำตาม และให้เข้าหาบ่อยๆ ให้ไปทำนู้นนี้นั้นช่วย แต่ไม่รู้ทำไมเราทำไม่ได้ มีความรู้สึกไม่อยากช่วย จะเป็นอารมณ์ ทำใครทำมัน นานทีจะช่วย ถ้าเป็นงานใหญ่จริงๆ เราไม่ชวนคุย แม่แฟนก็ไม่ชวนเราคุย เวลาอยู่กันสองคน โคตรอึดอัด
เราจึง พยายามอยู่ห่างๆให้ลืมความรู้สึก กลับมาเจอกันจะได้ยิ้มออก ซึ่งก็ยิ้มไม่ค่อยออก แล้วพอเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน เราทำงานใกลแฟน มาเจอกัน เดือนละครั้ง เป็นเวลา 3 ปี ความรักก็ไม่มีปัญหาอะไร รักกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคิดถึงกันมากขึ้น
แล้วเมื่อมาถึงวันที่ทุกฝ่ายต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน แฟนเราย้ายที่ทำงานมากที่บ้านเกิด เรากลับมาทำธุรกิจที่บ้าน จึงมาเจอกันบ่อยขึ้น แทบจะนอนบ้านเดียวกันทุกคืน ตอนนั้นพ่อแฟนเสียแล้ว แม่แฟนมาอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน เลิกทำร้านอาหาร มียายอายุ 80 ให้ดูแล ยายป่วย หลงลืม ไปไหนมาไหนลำบาก ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดง่ายขึ้น ปกติแม่แฟนชอบไปหาเพื่อน มีสังคม ของเขา
เหตุการณ์ที่ 3 : เมื่อเราต้องมาอยู่ในบรรยากาศนี้อีกครั้ง แฟนไปทำงานทั้งวัน เราทำธุรกิจ เปิดร้านจ้างคนเฝ้า ไปๆมาๆที่ร้าน ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน เลยต้องช่วยงานบ้านแม่แฟนที่บ้าน เราก็ทำเท่าที่ทำได้ ไม่ได้ช่วยทุกอย่าง บางวันก็เหมือนพอใจ อารมณ์ดี บางวันก็เฉยๆเราถูบ้านไปแล้ว ไม่สะอาดก็มาถูทับอีกครั้ง ไม่พูดไม่จา เราทำกับข้าวไม่เป็น ส่วนมากแฟนเราจะเป็นคนทำ แต่พอแฟนเราทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ไม่อยากทำ เราก็ต้องทำบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งโต๊ะอาหารให้ทุกมื้อ วันไหนกินข้าวก่อน รู้ว่า ยังไม่ถึงเวลาแม่กิน เลยไม่เรียก ไม่ขาน ก็จะโดยว่าว่าไม่มีมารยาท รู้สึกไม่เป็นกันเอง เกร็ง ซะทุกอย่าง มีความอึดอัด เข้าไปอีก เราชอบอยู่เป็นส่วนตัว อยากมีเวลาส่วนตัวกับแฟน ถ้าหายหน้าไปนานๆ เรารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของแม่แฟนมาก ที่ทิ้งแม่แฟน ทำงานบ้าน ดูแลยาย ทำสารพัด อยู่คนเดียว เราจะเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรอย่างมาก พูดจาประชดประชัน ทั้งวันอยู่บ้านด้วยกัน ไม่พูดกันซักคำก็มี ถ้าวันไหนเราตื่นสาย ลุกมาล้างถ้วยจานช้า แม่แฟนจะล้างให้ แล้วทำเสียงดังๆแบบไม่พอใจ แม่แฟนต้องดูแลยาย ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ บางวันยายพูดไม่รู้เรื่อง ฉี่ราดที่นอน ไม่ยอมอาบน้ำ แม่แฟนก็โวยวายอารมณ์เสีย ด่าเสียงดัง แปดบ้าน สิบบ้าน เราอยู่ในบ้านก็ทำตัวไม่ถูก ต้องไปช่วยหรืออยู่ห่างๆ
เหตุการณ์ที่ 4 : มีเรื่องที่พีคได้อีก เป็นสิ่งที่ทำให้เราFailedมาก คือเรากับแฟนวางแผนจะแต่งงานกัน เราสองคน อยากสร้างครอบครัวแล้ว อายุก็พอสมควร การงานก็ดี ระยะเวลาการคบกันก็นานมากแล้ว ญาติฝ่ายเราก็เป็นห่วงอยากให้ตบแต่งให้เรียบร้อย เราจึงคุยกับแฟนว่าจะไปคุยกับพ่อเราก่อน พอคุยแล้วพ่อโอเคให้ลูกจัดการได้เลย ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมาย แค่มาคุยกับญาติผู้ใหญ่ไว้หน่อย แล้วปีหน้าค่อยจัดงานแต่ง พ่อก็ไม่มีปัญหา สินสอดพ่อไม่เอาด้วยซักบาท จะยกคืนลูกทั้งสองไปตั้งตัว แต่.....เมื่อเรามาคุยกับแม่แฟน แฟนเราเปิดจังหวังคุยว่า ไปคุยกับพ่อเรา ว่าจะไปขอไปหมั้นเรานะ และปีหน้าค่อยจัดงานแต่ง แค่นี้แหละ น้ำเสียงที่แม่แฟนตอบกลับมา ไม่หน้าฟังมากกกก อ้างว่าพ่อแฟนพึ่งเสียได้ปีเดียว ยังไม่อยากมีงานมงคล ยายก็กำลังป่วย บ้านที่เป็นของตัวเองก็ยังไม่มี เงินเก็บก็ไม่มี เงินจะให้แม่ใช้รายเดือนที่ว่าจะให้ก็ยังไม่เคยให้ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่นุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย และพูดเหมือนพ่อเราเร่งรัดให้แฟนเราไปแต่งไปขอ แต่ที่จริงคือความตั้งใจของเราสองคนที่อยากจะจัดงาน พ่อแค่กำหนดว่าขอสักภายในปีหน้าเพราะก็คบหากันมานานแล้ว พ่อก็แก่แล้ว อยากให้ลูกแต่งกันให้เป็นฝั่งเป็นฝา แต่ฝ่ายแม่แฟนเราไม่เข้าใจอย่างนั้น คิดว่าจะเอาเงินที่ไหนไปแต่ง เหมือนจะเข้าใจว่าลูกชายจะให้แม่หาเงินมาแต่งเมียให้ หรือไม่ก็กลัวว่าลูกแต่งงานแล้วจะเอาเงินไปใช้ในครอบครัวตัวเองหมด หรืออะไรก็ไม่รู้ แต่แม่แฟนยังไม่ฟังคำอธิบายเลย อารมณ์น้ำเสียง มาเต็ม เห็นท่าทางตอนนั้นคือเราไม่โอเคมาก เรื่องนี้เรากับแฟนมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึง งานแต่งเราอยากทำแบบนั้นแบบนี้ วางแผน จัดแจง วาดฝันไว้ วางแผนเก็บเงินไว้แล้ว แต่พอเอาเรื่องนี้มาคุยกับแม่แฟน เหมือนฝันสลาย ทุกอย่างพังหมด ไม่มีกะจิตกะใจพูดถึงอีกเลย ทำให้แฟนเราเสียคำพูดกับพ่อเรา ที่นัดว่าจะไปหมั้นต้นปีที่แล้วก็ต้องเลือนไปอย่างไม่มีกำหนด พ่อเราก็มาคุยกับแม่แฟนให้ว่าเป็นยังไง มีปัญหาอะไรมั้ย ก็นั้นแหละค่ะ คือแม่ยังไม่อยากให้แต่ง และไม่ได้บอกว่าจะให้แต่งเมื่อไร ตอนนี้แฟนเราเลยจะรีบสร้างบ้านให้แม่ และจะเป็นคนผ่อนบ้านทั้งหมด พร้อมให้เงินเดือนแม่ใช้อีกด้วย รวมๆแล้วก็สามหมื่นที่แฟนวางแผนไว้ ทั้งที่เงินเดือนก็ไม่เหลือเก็บเลยด้วยซ้ำ แล้วแฟนจะเอาเงินที่ไหนมาแต่งงาน เราเริ่มเกิดความคิดน้อยใจ แฟนเรารักแม่เขามากเขาไม่มีทางเห็นเราดีกว่าแม่เขาแน่นอน เป็นลูกที่ดีนะ เขาบอกเสมอให้เราปรับ ว่ามีความคิดที่เด็กอยู่ ให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำๆไปเถอะ เขาไม่ได้สั่งให้ไปตายก็ทำไป เขาเห็นแม่เขาลำบากมาตั้งแต่เล็กเขาอยากให้แม่เขาสบาย เรื่องบ้านแฟนก็ตั้งใจไม่แยกบ้าน เพราะแม่แฟนต้องอยู่กับยายแก่ๆ แยกไม่ได้เขาห่วงแม่ นอกจากน้องชายแฟนจะมาอยู่กับแม่ แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
แม่แฟนเราด้านดีก็มีนะคะ แต่ที่เราเจอ เราก็มักจะจำแต่ด้านที่ทำให้เราฝั่งใจ ตราบใดที่เรายังรักลูกชายเขา เราต้องอยู่ให้เป็นใช่มั้ยคะ ซึ่งการอยู่ให้เป็นต้องทำยังไงหรอคะ เมื่อความรู้สึกมันเกิดขึ้นแบบนี้ไปแล้ว พยายามคุยกับแฟน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แฟนไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง อึดอัดคนเดียวมาตลอด แต่เมื่อคืนเพื่อนเรามาทานข้าวที่บ้านแฟนเรา แม่แฟนก็อยู่ เรายังไม่ได้เล่าอะไรเลย เพื่อนก็รู้สึกได้ ถึงความอึดอัดเลยถามเราว่า “ไม่อึดอัดหรอ? กูมาแค่ 2 ชั่วโมง กูโคตรเกร็ง อึดอัดมาก เขาไม่ชอบรึป่าว” เพื่อนถามมาแบบนี้ เราก็อึ้ง แล้วคิดว่าเราควรจะหาทางออก แล้วแหละ จะทนอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ไม่ได้แน่ๆ
เจอแม่ว่าที่สามี แบบนี้ต้องทำตัวยังไง อึดอัดมานาน
เรื่องราวแม่ผัวลูกสะใภ้ที่ได้ยินมานาน เราก็ไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเราเอง ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราอายุ 25 ปี เป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบอยู่เงียบๆ มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนน้อย ดื้อและหัวรั้นหน่อยๆ ไม่ค่อยชอบยิ้ม หัวเราะยาก อ้อนไม่เป็น เอาใจไม่เก่ง มีความคิดว่าคนที่อายุมากกว่า ใช่ว่า จะถูกเสมอ เด็กสมัยใหม่ ที่คิดต่างใช่ว่าจะผิดเสมอ ไม่ชอบใครมากำกับ หรือสั่งให้ทำตามในสิ่งที่ไม่ชอบ....ดูจะเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยเนาะ 555 แต่ที่จริงเป็นคนจิตใจดีนะ เราครบกับแฟนคนนี้มา 9 ปีแล้วค่ะ แฟนเราอายุมากกว่า 1 ปี ตลอดระยะเวลาคบกัน มีความสุขดี เข้ากันได้แทบทุกเรื่อง เข้าใจกันดี ทะเลาะกันบ้างแต่น้อยมาก ไม่เคยทะเลาะรุนแรง ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามาด้วยกันมากมาย ช่วยกันแก้ไขตลอด คุยกันได้แทบทุกเรื่อง ไม่เคยมีปัญหานอกใจ “เราคิดว่าเราโชคดีมากที่จะได้ใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้” คนรอบข้าง 99% ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนไม่สนิท ญาติของทุกฝ่าย ครู อาจารย์ ที่รู้จักคู่เรา ชื่นชมคู่เรามาก ดูแลกันมาตลอดไม่เคยทำเรื่องเสียหาย ช่วยกันหาเงิน ทำธุรกิจ บลา บลา บลา
แต่มีอยู่ 1 คน ที่เรารู้สึกมีกำลังภายใน ว่าเขาไม่โอเคกับเรา อาจด้วยนิสัยข้างต้นของเราด้วย ที่ไม่ชอบเอาอก เอาใจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ความเป็นแม่ศรีเรือนน้อย เขาคนนี้ คือแม่ของแฟนเราเอง เราจะเล่าไปทีละเหตุการณ์นะคะ
เหตุการณ์ที่ 1 : เริ่มแรกที่รู้จักกันเลยนะคะ จะว่าเริ่มไม่สวยก็ใช่ ตอนแฟนจีบเราใหม่ๆช่วงนั้นมีปัญหากัน เรายังไม่เลิกกับแฟนเก่า ซึ่งแฟนเก่าเราเขามีผู้หญิงคนอื่น แล้วไม่ยอมเลิกกับเรา มาตามกวน รังควาน แล้วเป็นจังหวะที่แฟนคนปัจจุบันเข้ามาขอคุยพอดี แฟนเก่าเรารู้เรื่อง ก็หาเรื่องไปหมด ทำให้พ่อกับแม่ของแฟนปัจจุบัน ไม่พอใจ ก็ไม่อยากให้ลูกชายมายุ่งกับเรา มองว่าเราไม่ดี ไปต่างๆนานา เวลาเราคุยโทรศัพท์กับแฟนเรา แม่แฟน ก็ด่าเสียงลอดเข้าโทรศัพท์ ว่า “อย่าไปคุยกับมันอี....นั้น” เสียงดังมาก ตอนนั้นเราเด็กมากอยู่ม.ปลาย ได้ยินคำนี้ก็จุกนะ เราเลยไม่อยากคบกับแฟนตั้งแต่แรก พยายามปฏิเสธการติดต่อทุกช่องทาง แค่เริ่มต้นก็ไม่สวยแล้ว เราก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงให้ดีต่อไป เลยจะตัดปัญหาด้วยการไม่คบกับแฟนคนนี้ แต่แฟนก็พยายามขอคุยด้วยในฐานะพี่ชายก็ได้ มาตื้อ อยู่โรงเรียนก็มาเจอ จนสุดท้ายก็ได้เปิดตัวเป็นแฟนกัน แล้วเรากับแฟน ก็เคยคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น ว่า “เราสองคนจะต้องทำให้พ่อแม่เห็นว่าเราดีให้ได้” คือตั้งใจลบภาพลักษณะการเริ่มต้นที่ไม่สวยของเรา แล้วทำตัวดีๆให้ท่านเข้าใจ และนี้คือการทำความรู้จักกันเมื่อ 9 ปีที่แล้วค่ะ
เหตุการณ์ที่ 2 : แล้วเวลาก็ล่วงเลยมา 2-3 ปี เราสองคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน ช่วงเรียนแรกๆก็สบายใจดี เจอแม่แฟนน้อยมาก ตอนเจอก็มีเกร็งๆบ้าง จนช่วงเราอยู่ปี 4 แฟนเราจบไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนแม่แฟนมาเปิดร้านอาหารที่มหาวิทยาลัย ด้วยต้นทุนที่น้อย เขาไม่ได้จ้างคนเยอะ เลยให้เราไปช่วย แทบทุกวัน เราเรียนก็เหนื่อยแล้ว ทุกเย็นต้องไปช่วยงานที่ร้าน วันไหนปฏิเสธ แฟนเราก็หาว่าไม่ไปช่วยแม่เขา หลังๆเราไม่อยากไปจริงๆ ไม่รับโทรศัพท์เลย เข้าไปแล้วรีบออกมาบ้าง เราก็เริ่มไปแบบไม่เต็มใจ ก็เริ่มไม่มีความสุข เริ่มอึดอัด แฟนให้เราดูแลทำบัญชี เราก็ทำรายได้ กำไร ขาดทุน ละเอียดหยิบ แต่เปิดร้านแรกๆกำไรก็ยังไม่เห็น มีขาดทุนบ้างบางวัน แม่แฟนก็หงุดหงิด บ่นว่าขายของยังไงไม่มีเงิน เราเป็นคนเก็บเงิน เวลาแม่แฟนไปตลาดต้องมาเบิกกับเราเรา ก็บ่นเหมือนว่า เรากับแฟน จ้างแม่เป็นลูกจ้าง แล้วก็พูดลอยๆมาว่า “สูเห็นกูเป็นขี้ค่าสูตี่” (ภาษาอิสาน) เราก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเรา อุ๊บอิ๊บเงิน เราเลยบอกแฟนว่าให้แม่ทำนะ ไม่อยากทำแล้ว เรามาช่วยเรื่องเด็กเสริฟแทน ชวนเพื่อน ชวนน้องคณะ มาทำงานที่ร้านช่วย เพื่อนก็อยู่ไม่ได้ น้องก็เวียนมาบ้างไม่มาบ้าง คือไม่มีใครอยู่ประจำได้ แม่ทำอาหารเอง รับผู้ช่วยมา ก็ไม่มีใครอยู่ด้วยได้นาน ใครทำแบบไหนก็ไม่ถูกใจ ก็จะหน้าบึ่งๆ ชอบพูดเสียงดัง เวลาลูกค้าเยอะ ทำไม่ทันก็อารมณ์เสียใส่ลูกน้อง ตอนนั้นคุยโทรศัพท์ทะเลาะกับพ่อแฟน เด็กเสริฟเต็มร้าน ด่ากันหูดับตับไหม้ เสียงดังเป็นชั่วโมง ทุกคนมองหน้ากัน ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน บอกเลยว่าเราเสียประสาทมาก อายน้อง อายเพื่อนที่เราพามาทำงานมาก ตัวเราเองมาช่วยงานค่าจ้างเราไม่ได้ซักบาท คำชื่นชม คำขอบใจ ไม่เคยได้ยิน เรามีความรู้สึกว่า แม่แฟนคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เราต้องมาช่วย ถ้าไม่มาคือผิด ไม่รู้จักความ อยู่ใกล้แค่นี้ไม่มาช่วยงานที่ร้าน แล้วแฟนเราก็ขยั่นขยอให้เรามาช่วยทุกวัน อารมณ์อยากให้แม่เขาเห็นว่าเรามาช่วยนะ ไม่ได้ทิ้งไปไหน ซึ่งตอนนั้นแฟนทำงานต่างจังหวัด มาได้สัปดาห์ละครั้ง ช่วงนั้นคือเครียดกินประสาทมาก ใจลอยทุกครั้งคือคิดเรื่องนี้ ว่าเราจะอยู่กับแม่แฟนได้หรอ ทำไมอึดอัดจัง ตอนดีก็เป็นปกติสนุกสนานกับลูกๆ แต่ตอนอารมณ์ไม่ดี หรือไม่พอใจ จะหวีน ทำให้สถานการณ์ บรรยากาศทุกอย่างอยู่ยากมาก ไม่มีใครเตือนได้ พ่อแฟนเตือนก็โดนด่า ลูกชายเตือนก็โกรธน้อยใจ ง่ายมาก เราอยากไปกินข้าวร้านอื่นกับแฟนสองคน ตอนแม่เปิดร้าน ไม่ได้เด็ดขาด จะเกิดอาการประชดประชันทันที ต้องแอบไป หรือต้องรอพาไปด้วย เพื่อนที่มาช่วยงานแค่ อาทิตย์เดียว บอกว่า "กูสงสารว่ะ ทนได้ไงวะ" จนเราเรียนจบ ไปทำงานที่อื่น ค่อยผ่านสถานการณ์นี้มาได้
เราเคยคิดเลิกกับแฟนเพราะเรื่องนี้ นี้แค่ยังเป็นแฟนกัน ไม่ได้นอนบ้านเดียวกัน ไม่ได้เจอกันทุกวัน ยังอึดอัดทุกครั้งที่ไปเจอ เมื่อแฟนบอกจะพาไปเจอแม่ ไปเที่ยวเป็นครอบครัว เราก็ต้องไปทุกครั้งนั้นแหละ แต่มันจะมีความรู้สึกไม่อยากไปอยู่ลึกๆ แต่ก็ต้องไป เราก็อดทนมาตลอด เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เป็นคนลืมไม่ลง ฝั่งใจ ไม่รู้ว่านี้เรียกว่าทิฐิ รึป่าว แล้วอาการเราเริ่มออก แม่แฟนบอกหรือพูดด้วย หน้าจะนิ่งๆยิ้มไม่ออก ไม่เชื่อฟัง ทำตามบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำเป็นว่าทำอย่างอื่นอยู่ ทำตัวยุ่งๆ ไม่ว่าง แต่ไม่กล้าปฏิเสธ หลังๆจะบอกผ่านแฟนเรา ให้เราได้ยิน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำหรือไม่ทำ
เราคุยกับแฟนหลายรอบมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แฟนไม่เข้าใจเรา จะบอกเสมอว่าเรามีอัคติ มีทิฐิ ให้ปรับตัว ให้ทำตาม และให้เข้าหาบ่อยๆ ให้ไปทำนู้นนี้นั้นช่วย แต่ไม่รู้ทำไมเราทำไม่ได้ มีความรู้สึกไม่อยากช่วย จะเป็นอารมณ์ ทำใครทำมัน นานทีจะช่วย ถ้าเป็นงานใหญ่จริงๆ เราไม่ชวนคุย แม่แฟนก็ไม่ชวนเราคุย เวลาอยู่กันสองคน โคตรอึดอัด
เราจึง พยายามอยู่ห่างๆให้ลืมความรู้สึก กลับมาเจอกันจะได้ยิ้มออก ซึ่งก็ยิ้มไม่ค่อยออก แล้วพอเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน เราทำงานใกลแฟน มาเจอกัน เดือนละครั้ง เป็นเวลา 3 ปี ความรักก็ไม่มีปัญหาอะไร รักกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคิดถึงกันมากขึ้น
แล้วเมื่อมาถึงวันที่ทุกฝ่ายต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน แฟนเราย้ายที่ทำงานมากที่บ้านเกิด เรากลับมาทำธุรกิจที่บ้าน จึงมาเจอกันบ่อยขึ้น แทบจะนอนบ้านเดียวกันทุกคืน ตอนนั้นพ่อแฟนเสียแล้ว แม่แฟนมาอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน เลิกทำร้านอาหาร มียายอายุ 80 ให้ดูแล ยายป่วย หลงลืม ไปไหนมาไหนลำบาก ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดง่ายขึ้น ปกติแม่แฟนชอบไปหาเพื่อน มีสังคม ของเขา
เหตุการณ์ที่ 3 : เมื่อเราต้องมาอยู่ในบรรยากาศนี้อีกครั้ง แฟนไปทำงานทั้งวัน เราทำธุรกิจ เปิดร้านจ้างคนเฝ้า ไปๆมาๆที่ร้าน ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน เลยต้องช่วยงานบ้านแม่แฟนที่บ้าน เราก็ทำเท่าที่ทำได้ ไม่ได้ช่วยทุกอย่าง บางวันก็เหมือนพอใจ อารมณ์ดี บางวันก็เฉยๆเราถูบ้านไปแล้ว ไม่สะอาดก็มาถูทับอีกครั้ง ไม่พูดไม่จา เราทำกับข้าวไม่เป็น ส่วนมากแฟนเราจะเป็นคนทำ แต่พอแฟนเราทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ไม่อยากทำ เราก็ต้องทำบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งโต๊ะอาหารให้ทุกมื้อ วันไหนกินข้าวก่อน รู้ว่า ยังไม่ถึงเวลาแม่กิน เลยไม่เรียก ไม่ขาน ก็จะโดยว่าว่าไม่มีมารยาท รู้สึกไม่เป็นกันเอง เกร็ง ซะทุกอย่าง มีความอึดอัด เข้าไปอีก เราชอบอยู่เป็นส่วนตัว อยากมีเวลาส่วนตัวกับแฟน ถ้าหายหน้าไปนานๆ เรารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของแม่แฟนมาก ที่ทิ้งแม่แฟน ทำงานบ้าน ดูแลยาย ทำสารพัด อยู่คนเดียว เราจะเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรอย่างมาก พูดจาประชดประชัน ทั้งวันอยู่บ้านด้วยกัน ไม่พูดกันซักคำก็มี ถ้าวันไหนเราตื่นสาย ลุกมาล้างถ้วยจานช้า แม่แฟนจะล้างให้ แล้วทำเสียงดังๆแบบไม่พอใจ แม่แฟนต้องดูแลยาย ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ บางวันยายพูดไม่รู้เรื่อง ฉี่ราดที่นอน ไม่ยอมอาบน้ำ แม่แฟนก็โวยวายอารมณ์เสีย ด่าเสียงดัง แปดบ้าน สิบบ้าน เราอยู่ในบ้านก็ทำตัวไม่ถูก ต้องไปช่วยหรืออยู่ห่างๆ
เหตุการณ์ที่ 4 : มีเรื่องที่พีคได้อีก เป็นสิ่งที่ทำให้เราFailedมาก คือเรากับแฟนวางแผนจะแต่งงานกัน เราสองคน อยากสร้างครอบครัวแล้ว อายุก็พอสมควร การงานก็ดี ระยะเวลาการคบกันก็นานมากแล้ว ญาติฝ่ายเราก็เป็นห่วงอยากให้ตบแต่งให้เรียบร้อย เราจึงคุยกับแฟนว่าจะไปคุยกับพ่อเราก่อน พอคุยแล้วพ่อโอเคให้ลูกจัดการได้เลย ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมาย แค่มาคุยกับญาติผู้ใหญ่ไว้หน่อย แล้วปีหน้าค่อยจัดงานแต่ง พ่อก็ไม่มีปัญหา สินสอดพ่อไม่เอาด้วยซักบาท จะยกคืนลูกทั้งสองไปตั้งตัว แต่.....เมื่อเรามาคุยกับแม่แฟน แฟนเราเปิดจังหวังคุยว่า ไปคุยกับพ่อเรา ว่าจะไปขอไปหมั้นเรานะ และปีหน้าค่อยจัดงานแต่ง แค่นี้แหละ น้ำเสียงที่แม่แฟนตอบกลับมา ไม่หน้าฟังมากกกก อ้างว่าพ่อแฟนพึ่งเสียได้ปีเดียว ยังไม่อยากมีงานมงคล ยายก็กำลังป่วย บ้านที่เป็นของตัวเองก็ยังไม่มี เงินเก็บก็ไม่มี เงินจะให้แม่ใช้รายเดือนที่ว่าจะให้ก็ยังไม่เคยให้ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่นุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย และพูดเหมือนพ่อเราเร่งรัดให้แฟนเราไปแต่งไปขอ แต่ที่จริงคือความตั้งใจของเราสองคนที่อยากจะจัดงาน พ่อแค่กำหนดว่าขอสักภายในปีหน้าเพราะก็คบหากันมานานแล้ว พ่อก็แก่แล้ว อยากให้ลูกแต่งกันให้เป็นฝั่งเป็นฝา แต่ฝ่ายแม่แฟนเราไม่เข้าใจอย่างนั้น คิดว่าจะเอาเงินที่ไหนไปแต่ง เหมือนจะเข้าใจว่าลูกชายจะให้แม่หาเงินมาแต่งเมียให้ หรือไม่ก็กลัวว่าลูกแต่งงานแล้วจะเอาเงินไปใช้ในครอบครัวตัวเองหมด หรืออะไรก็ไม่รู้ แต่แม่แฟนยังไม่ฟังคำอธิบายเลย อารมณ์น้ำเสียง มาเต็ม เห็นท่าทางตอนนั้นคือเราไม่โอเคมาก เรื่องนี้เรากับแฟนมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึง งานแต่งเราอยากทำแบบนั้นแบบนี้ วางแผน จัดแจง วาดฝันไว้ วางแผนเก็บเงินไว้แล้ว แต่พอเอาเรื่องนี้มาคุยกับแม่แฟน เหมือนฝันสลาย ทุกอย่างพังหมด ไม่มีกะจิตกะใจพูดถึงอีกเลย ทำให้แฟนเราเสียคำพูดกับพ่อเรา ที่นัดว่าจะไปหมั้นต้นปีที่แล้วก็ต้องเลือนไปอย่างไม่มีกำหนด พ่อเราก็มาคุยกับแม่แฟนให้ว่าเป็นยังไง มีปัญหาอะไรมั้ย ก็นั้นแหละค่ะ คือแม่ยังไม่อยากให้แต่ง และไม่ได้บอกว่าจะให้แต่งเมื่อไร ตอนนี้แฟนเราเลยจะรีบสร้างบ้านให้แม่ และจะเป็นคนผ่อนบ้านทั้งหมด พร้อมให้เงินเดือนแม่ใช้อีกด้วย รวมๆแล้วก็สามหมื่นที่แฟนวางแผนไว้ ทั้งที่เงินเดือนก็ไม่เหลือเก็บเลยด้วยซ้ำ แล้วแฟนจะเอาเงินที่ไหนมาแต่งงาน เราเริ่มเกิดความคิดน้อยใจ แฟนเรารักแม่เขามากเขาไม่มีทางเห็นเราดีกว่าแม่เขาแน่นอน เป็นลูกที่ดีนะ เขาบอกเสมอให้เราปรับ ว่ามีความคิดที่เด็กอยู่ ให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำๆไปเถอะ เขาไม่ได้สั่งให้ไปตายก็ทำไป เขาเห็นแม่เขาลำบากมาตั้งแต่เล็กเขาอยากให้แม่เขาสบาย เรื่องบ้านแฟนก็ตั้งใจไม่แยกบ้าน เพราะแม่แฟนต้องอยู่กับยายแก่ๆ แยกไม่ได้เขาห่วงแม่ นอกจากน้องชายแฟนจะมาอยู่กับแม่ แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
แม่แฟนเราด้านดีก็มีนะคะ แต่ที่เราเจอ เราก็มักจะจำแต่ด้านที่ทำให้เราฝั่งใจ ตราบใดที่เรายังรักลูกชายเขา เราต้องอยู่ให้เป็นใช่มั้ยคะ ซึ่งการอยู่ให้เป็นต้องทำยังไงหรอคะ เมื่อความรู้สึกมันเกิดขึ้นแบบนี้ไปแล้ว พยายามคุยกับแฟน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แฟนไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง อึดอัดคนเดียวมาตลอด แต่เมื่อคืนเพื่อนเรามาทานข้าวที่บ้านแฟนเรา แม่แฟนก็อยู่ เรายังไม่ได้เล่าอะไรเลย เพื่อนก็รู้สึกได้ ถึงความอึดอัดเลยถามเราว่า “ไม่อึดอัดหรอ? กูมาแค่ 2 ชั่วโมง กูโคตรเกร็ง อึดอัดมาก เขาไม่ชอบรึป่าว” เพื่อนถามมาแบบนี้ เราก็อึ้ง แล้วคิดว่าเราควรจะหาทางออก แล้วแหละ จะทนอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ไม่ได้แน่ๆ